xs
xsm
sm
md
lg

ไฉนผู้นำรัฐบาลจึงประจานตนเองและประเทศ

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ผมไม่เคยเห็นด้วยที่จะให้คนไทยไม่ว่าจะเป็นผู้ใดประณามผู้นำประเทศตัวเองว่าคนขายชาติหรือต่ำช้าสารเลวจนไม่มีชิ้นดี เว้นเสียแต่ว่าจะต้องทำลายผู้นั้น เนื่องจากพิสูจน์ได้จนสิ้นสงสัยว่าเขาทำลายชาติ และขาดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง

แต่ผมก็พูดแล้วหลายครั้งเหมือนกันว่า การเมืองนั้นต่างกับการอื่นๆ ตรงที่น้ำหนักของความจริงกับความเชื่อ ในการเมืองนั้นบางครั้งความจริงจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญเท่ากับความเชื่อ เช่น ประชาชนจะหลงเชื่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ไม่มีมูลความจริงหรือพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงความเชื่อนี้รวมความไม่เชื่อเข้าไว้ด้วยเสมือนเป็นสิ่งเดียวกัน

ความเชื่อในทางการเมืองนี้เป็นพลังหรือบ่อเครื่องจักรที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมือง การต่อสู้ โศกนาฏกรรมหรือมหันตภัยทางการเมืองบางครั้งหรือหลายครั้งเกิดขึ้นจากความเชื่อที่อาจจะมิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง

ผู้นำหรือรัฐบาลที่ถูกประชาชนเชื่อผิดๆ หรือเชื่อว่าผิด หรือไม่เชื่อถือนั้น ถือว่า เผชิญวิกฤตศรัทธา ถ้าแก้วิกฤตศรัทธาไม่ได้ รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้

วิกฤตศรัทธาหรือความไม่เชื่อถือเป็นภยันตรายที่นายกฯ อภิสิทธิ์และรัฐบาลกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้

วิเคราะห์กรณีตัวอย่าง : วิกฤตศรัทธาหรือการที่ชาวไทยกลุ่มหนึ่งในสหรัฐอเมริกาหมดความเชื่อถือนายกฯ อภิสิทธิ์ แต่เชื่อถือกลุ่มที่รวมพลังปกป้องแผ่นดินมากกว่า

1. เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2554 นายธัชพงศ์ จันทรปรรณิก ประธานชมรมไทย-ดีซี ฟอรั่ม และแพทย์หญิงดวงมาลย์ มาลยมาน ประธานสมาคมแพทย์ไทยในสหรัฐอเมริกากับคณะ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี มีข้อความรุนแรง ลงความเห็นว่านายกรัฐมนตรีเป็นคนดีแต่พูด พูดแล้วไม่เคยทำ จึงเชื่อถือมิได้ ดังนี้

“ท่านนายกฯ ครับ โวหารที่ท่านพล่ามจนเฝือ ตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่งจนบัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสร้างนิติรัฐ เรื่องกฎเหล็ก เรื่องการลอบสังหารผู้นำมวลชน เรื่องการจลาจลครั้งแรกในปี 2552 เรื่องการตายของทหารที่สี่แยกคอกวัว เรื่องการเผาราชประสงค์ เรื่องแก้รัฐธรรมนูญและใช้เล่ห์เหลี่ยมในแบ่งวรรค เรื่องปราสาทพระวิหาร จนถึงเรื่องการลักพาคนไทยไปขึ้นศาลกัมพูชา เป็นเพียงลมปากที่ไม่เคยมีผลเป็นรูปธรรมแล้ว ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ครับ เราต้องการอย่างจริงใจที่จะจดจำท่านไว้ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้นำพาประเทศไทยออกจากภาวะการเมืองที่ล้มเหลว มากกว่าการเป็นผู้นำที่ทำให้คุณค่าของการเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่แตกต่างจากการเป็นนักประชาสัมพันธ์ถุงยางอนามัยหน้าตาดีคนหนึ่งเท่านั้น”

2. ผู้นำชาวไทยในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้มีการศึกษา มีฐานะ กล้าแสดงตัวเองอย่างเปิดเผย และเป็นผู้เคยชื่นชมสนับสนุนนายกรัฐมนตรีมาก่อน

“ท่านเคยได้รับความเชื่อถืออย่างสูงจากเรา เพราะลักษณะภาพของท่าน การมีภาพของนักการเมืองที่มีความคิดก้าวไกลกล้าปฏิเสธความไม่ชอบธรรมและยึดประโยชน์สุขของประเทศชาติประชาชนเหนืออื่นใด บัดนี้ เราสงสัยในความเป็นผู้นำของท่าน เราเห็นว่าการตัดสินใจของท่านได้ย้ายฐานจากประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนไปแล้ว ขณะนี้ความหมายของ ประชาธิปไตย คำว่านิติรัฐ และสัจจะในวาจาของท่าน อยู่ในระนาบเดียวกับนักการเมืองเลวๆ ที่เป็นสาเหตุให้การเมืองล้มเหลว และพบได้อย่างดาษดื่นในสภาของรัฐไทย”

เท่าที่ทราบ นายธัชพงศ์ จันทรปรรณิก ประธานชมรมไทย-ดีซี ฟอรั่ม เป็นผู้บริหารระดับสูงและตัวแทนของบรรษัทขนาดใหญ่ที่เป็นคู่สัญญาบริหารการเดินทางของเจ้าหน้าที่ธนาคารโลก และแพทย์หญิงดวงมาลย์ มาลยมาน ประธานสมาคมแพทย์ไทยในสหรัฐอเมริกาสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งคู่น่าจะต้องมีโอกาสพบปะชนชั้นผู้นำไทยในสหรัฐฯ และผู้แทนจากประเทศไทยที่ไปทำงานหรือประชุมที่กรุงวอชิงตัน หรือคุ้นเคยกับสถานทูตไทยพอสมควร จนน่าที่จะนับได้ว่าเป็นผู้ติดตามข่าวสารเหตุการณ์บ้านเมืองอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งมีข้อมูล เกิดภาวะรับรู้ และสามารถวิเคราะห์เป็นห่วงความเป็นไปของบ้านเมืองได้

3. การติดตามผลงานรัฐบาลและภาวะผู้นำของนายกฯ อภิสิทธิ์ จากข้อ 2 น่าจะอนุมานได้ว่าผู้นำชุมชนไทยในสหรัฐฯ มีข้อมูลพอที่จะตัดสินใจ-จะถูกหรือผิดก็แล้วแต่-ว่า

“ตลอดเวลากว่าสองปีในการบริหารประเทศ ท่านนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเป็นผู้นำที่เชี่ยวชาญในการพูด ในระดับที่ความกล้าหาญและผลงานเทียบไม่ได้ ดังเห็นได้จากการวางกฎเหลว 9 ข้อ การนำนิติรัฐสู่สังคมไทยจนเกิดการลอบสังหารผู้นำมวลชนและระเบิดรายวัน ซึ่งยังไม่สามารถนำผู้บงการมาชำระคดีความได้ ด้วยคำพูดอันวิจิตร “ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะหนีปัญหา หรือปฏิเสธความรับผิดชอบ” ตั้งแต่การบุกทำลายการชุมนุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา จนถึงการส่งทหารไปตายที่สี่แยกคอกวัว จนถึงการเผาราชประสงค์ ในเดือนเมษายน 2553 ที่ผ่านมา ล้วนเป็นความล้มเหลวในภาวะผู้นำของท่านทั้งสิ้น เป็นความล้มเหลวชนิดที่ผู้นำที่มีความกล้าหาญ และเป็นชายชาตรี ต้องละอายจนไม่สามารถออกมาสำแดงโวหารเอาหน้ารอด อย่างที่ท่านกระทำอยู่เป็นนิจ”

4. ฟางเส้นสุดท้าย สิ่งที่ผู้นำคนไทยในสหรัฐฯ เข้าใจ ซึ่งไม่น่าจะแตกต่างกับคนไทยในประเทศส่วนมาก ที่มิได้มีส่วนได้เสียกับการช่วงชิงอำนาจหรือผลประโยชน์ทางการเมืองก็คือ การที่รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ พากันออกมาเป็นทนายหน้อหอให้กัมพูชา

นอกจากการทำลายตนเองของท่านแล้ว ขณะนี้ท่านกำลังทำร้ายศักดิ์ศรีของประเทศชาติไทย ที่สั่งสมดำรงอยู่หลายร้อยปี เพียงเพื่อรักษาสถานภาพและประโยชน์ของตนและพรรค โดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียอันใหญ่หลวงอันจะเกิดต่อประเทศ การปล่อยให้คณะรัฐมนตรีของท่านออกมาสร้างความชอบธรรมให้นายฮุนเซนด้วยการผลักไสพี่น้องไทยทั้ง 7 ให้ตกอยู่ในอำนาจศาลประเทศกัมพูชา ในขณะที่เขตแดนระหว่างประเทศยังไม่ชัดเจน นอกจากเป็นการละเลยหลักกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐบาลของท่านกำลังสร้างความชอบธรรมในการขยายอาณาเขตให้รัฐบาลกัมพูชาในอนาคตอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นความผิดปกติที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในโลกสากล

5. ชาวไทยในสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมกับประชาชนชาวไทย

“เราชาวไทยในสหรัฐอเมริกา สนับสนุนการรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย และขอเรียกร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรี แสดงความจริงใจในการรักษาประโยชน์ของประเทศ ให้ชัดเจนและโปรงใสต่อประชาชน โดยยุติการพูดคลุมเครือบิดเบือนประเด็นจนเกิดความสับสน มาเป็นผู้นำการเรียกร้องศักดิ์ศรีของชาติกลับคืน ด้วยการดำเนินนโยบายต่างประเทศควบคู่กับนโยบายทางการทหาร ในเชิงรุกอย่างเท่าเทียมกันกับประเทศกัมพูชา”

ขณะที่เขียนปรากฏพาดหัวเล็กว่า ““กษิต” ตัดเยื่อใยพันธมิตรฯ ป้อง MOU 43 - ปัดถอนตัวมรดกโลก โวย พธม.ทำตัวเป็นทารก” กษิตเป็นนักพ่น แต่กษิตจะต้องไม่ลือสุภาษิตว่า “การกระทำดังกว่าคำพูด” หากกษิตยังไม่ตกเก้าอี้ เดินทางไปประชุมวอชิงตันที่กษิตเคยเป็นทูต อาจจะเผชิญคำถามและการประท้วงของเพื่อนเก่าว่า กษิตทำอะไรบ้างในการไล่ล่าทักษิณ หรือว่าซูเอี๋ยเพราะเกรงใจสุเทพ ผู้เป็นเจ้าบุญนายคุณให้ตำแหน่งกษิต เพราะสุเทพเป็นผู้ต้องสงสัยว่าไม่เพียงแต่มีเยื่อใยเท่านั้น แต่ยังมีผลประโยชน์บางอย่างร่วมกันกับทักษิณอีกด้วย รวมทั้งกรณีของฮุนเซน กัมพูชา ไอ้มหากุ๊ยของกษิต
กำลังโหลดความคิดเห็น