xs
xsm
sm
md
lg

"จำลอง"ลั่นรบ.ต้องเลือกลาออก-สลายพธม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - พันธมิตรฯอัด สันดาน!“ฮุนเซน”หลังประกาศไม่อภัยโทษ เหตุกลัวโดนแฉ!! สับรัฐบาลทอดทิ้ง “วีระ-ราตรี” ต่อสู้โดดเดี่ยว เชื่อ“แม่วีระ”"ถูก “มาร์ค”กล่อม ยืนยันจุดเดิมดีเบตคนละวัน ฝ่ายละ 3 ชั่วโมง ช่วงไพร์มไทม์ ด้าน “พล.ต.จำลอง” ขีดเส้น 2 ทางเลือกให้รัฐบาลเลือก ถ้าไม่ลาออก ก็ต้องสลายการชุมนุม เหน็บอย่ามัวงัด กม.กลั่นแกล้ง ซัดวิชามารอย่าเปลืองงบ จ้างนักวิชาการ มาซักบนเวทีสื่อ “มาร์ค”ไม่ขัดข้องคำเชิญส.นักข่าวฯ ถามถ้ามีความจริงใจก็เอามาคุยกัน แต่ไม่ใช่โชว์ทะเลาะกันให้เขมรดู อ้างการคุยกันเรื่องการต่างประเทศและความมั่นคงมันมีความละเอียดอ่อน

วานนี้ (17 ก.พ.) เวลา 10.45 น. บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายวิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย พร้อมคณะ เดินทางเข้าพบและยื่นหนังสือถึงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน โดยมีนายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน เป็นตัวแทนรับหนังสือ และร่วมหารือถึงแนวทางที่สมาคมนักข่าวฯเสนอตัวขอเป็นผู้จัดเวทีกลางเพื่อหาทางออกปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา โดยเปิดโอกาสให้รัฐบาลและภาคประชาชนนำเสนอข้อมูลต่อประชาชน

นายปานเทพ เปิดเผยว่า ได้แจ้งเงื่อนไข โดยพันธมิตรฯเคยผ่านการพูดคุยกับรัฐบาลผ่านการถ่ายทอดสดเมื่อวันที่ 8 ส.ค.53 รวมทั้งการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยทางสาธารณะ ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล โดยเฉพาะในเวทีถ่ายทอดสดที่ภาคประชาชนมีโอกาสนำเสนอข้อมูลน้อยมาก จนเป็นเหตุให้มีการชุมนุมในขณะนี้ ทำให้ขั้นตอนการเจรจา ดีเบต หรือโต้วาทีระหว่างพันธมิตรฯกับรัฐบาลถือว่าจบแล้ว อีกทั้งคู่กรณีข้อพิพาทไม่ใช่ภาคประชาชนกับรัฐบาล แต่เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลไทยกับทางกัมพูชา ดังนั้นเราจึงเสนอว่าเราพร้อมที่จะให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างเต็มที่ผ่านเวทีของสมาคมนักข่าวฯ เนื่องจากที่ผ่านมานายกฯอภิสิทธิ์ใช้สื่อรัฐและสื่อกระแสหลักในการโต้แย้งข้อมูลภาคประชาชนเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งหากจะให้มีความเป็นธรรมต้องให้ภาคประชาชนมีพื้นที่สื่อบ้าง

“เราก็ไม่ปฏิเสธในการที่จะมีคนกลางที่เป็นผู้รู้เชี่ยวชาญในวงการสื่อมาสอบถามระหว่างที่รัฐบาลและภาคประชาชนให้ข้อมูล และเพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบทั้ง 2 ฝ่ายต้องได้เวลาเท่ากันคือ 3 ชั่วโมง โดยที่มีเวลาให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องและเชื่อมโยงปัญหาทั้งหมด โดย 3 ชั่วโมงนั้นต้องเป็นช่วงไพร์มไทม์เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถเปิดเวทีในวันเดียวกันได้ โดยฝ่ายรัฐบาลควรเป็นผู้เริ่มก่อน เพราะไม่ว่าอย่างไรรัฐบาลก็ยังมีโอกาสใช้สื่อรัฐได้อีกยาวนาน” นายปานเทพกล่าว

นายประพันธ์ กล่าวว่า วิธีที่เรานำเสนอในการแยกเวทีนั้นจะทำให้ประชาชนได้รับข้อเท็จจริงได้ครบถ้วนทั้ง 2 ฝ่าย โดยเป็นการหลีกเลี่ยงการตอบโต้ปะทะกันทางความคิด ซึ่งซ้ำรอยการดีเบตที่เคยผ่านมาแล้ว ทำให้ประชาชนไม่ได้สาระข้อเท็จจริง

ด้าน นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ทางสมาคมนักข่าวฯเข้าใจดีว่าเคยผ่านการดีเบตระหว่างรัฐบาลกับภาคประชาชนมาแล้ว แต่เมื่อสถานการณ์ถึงตอนนี้ที่ได้ฟังเสียงจากประชาชนว่า มีการให้ข้อมูลตอบโต้กัน โดยพูดคนละเวที ทำให้ประเด็นเนื้อหาไม่ตรงกัน ทั้งเรื่อง MOU 2543 หรือพื้นที่พิพาท 4.6 ตร.กม.

ดังนั้น จึงคิดทำอย่างไรจะให้ทั้ง 2 ฝ่ายมาให้ข้อมูลกับประชาชนเพื่อรับรู้ตรงกันในเวทีเดียวกัน ส่วนรูปแบบที่ตั้งใจไว้คือ เปิดเวทีให้มีตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและภาคประชาชน โดยมีสื่อมวลชนอาวุโสที่ติดตามประเด็นนี้มาเป็นผู้ดำเนินรายการและตั้งประเด็นคำถาม ในเบื้องต้นจะมีนายเทพชัย หย่อง ผู้อำนายการสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมด้วยสื่อมวลชนอาวุโสที่รู้เรื่องไทย-กัมพูชาดี อาทิ นายวีระ ธีระภัทร และนายกวี จงกิจถาวร เป็นต้น หวังว่าเป็นเวทีที่ทั้ง 2 ฝ่ายให้ข้อมูล โดยประชาชนคนดูจะเป็นผู้ตัดสินอีกครั้งหนึ่ง จึงเห็นว่าไม่ควรแยกเวทีกัน

**พธม.ย้ำให้เวลาเท่ากันคนละวัน

เวลา 17.00น. พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เหตุใดเราจึงจะไปทำเรื่องที่ล้มเหลวมาแล้วซ้ำอีก พันธมิตรฯจึงเสนอวิธีที่ให้ความเป็นธรรมสองฝ่าย โดยใช้เวลาเท่ากันในเวลาเดียว ซึ่งคนที่จะมาทำหน้าที่ซักถามต้องมีความเป็นกลางไม่อคติ เช่น เอานักวิชาการที่รับจ้างรัฐบาล 7.1 ล้านบาทมาซักถามเรา

ขณะเดียวกัน พล.ต.จำลอง กล่าวถึงแนวทางการชุมนุมเกี่ยวกับการเคลื่อนขบวนออกไปกดดันตามสถานที่ราชการ ว่า ยังอยู่ในแผนการ แต่อย่าใจร้อน โดยคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดินจะหารือเพื่อประเมินสถานการณ์โดยตลอด ว่า ทำอย่างไรการชุมนุมได้ผลดียิ่งขึ้น ซึ่งไม่สามารถกำหนดเวลา หรือสถานที่ในตอนนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า การกดดันในพื้นที่นี้รัฐบาลก็ลำบากอยู่แล้ว พยายามกดดันกลั่นแกล้งเราโดยตลอด ส่วนกรณีหมายเรียกจากทางตำรวจนั้น ตนยังไม่ได้รับ

พล.ต.จำลอง กล่าวว่า รัฐบาลมีทางเลือก 2 ทาง คือ ลาออกไป หรือสลายการชุมนุม ซึ่งนักการเมืองยอมเลือกทางที่จะสลายเราอยู่แล้ว เพราะต้องการอยู่ในอำนาจนานๆ แต่ตนขอยืนยันว่า ไม่ได้มาชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล เมื่อรัฐบาลไม่ออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินตามที่ภาคประชาชนได้ให้เวลามามากแล้ว ผู้ชุมนุมก็ออกความเห็นว่าให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก เมื่อไม่รับผิดชอบเราก็ชุมนุมอยู่เช่นนี้ และถ้ารัฐบาลลาออกไป เราก็ต้องอยู่ให้แน่นอนว่าจะมีผู้มาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินแล้ว เราจึงจะยุติการชุมนุม ขณะนี้จึงยังไม่สามารถกำหนดเวลาได้

“เราอยู่กันมาเป็นวันที่ 24 ด้วยความเรียบร้อย ซึ่งรัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องการให้เราออกมาจากที่นี่ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลก็ต้องเป็นฝ่ายไป เพราะอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว เนื่องจากเรานำเรื่องจริงมาเปิดโปงมีการถ่ายทอดไปทั่วประเทศ และต่างประเทศ รัฐบาลจึงยอมไม่ได้” พล.ต.จำลอง กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงการใช้แสนยานุภาพทางทหารเพื่อกดดันผลักดันให้กัมพูชาออกจากดินแดนไทยยังมีความจำเป็นหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า มีความจำเป็นทุกขณะ แต่รัฐบาลไม่ทำ สิ่งที่เราพูดนี้ไม่ใช่การไปทำร้ายทำลายกัน ต้องเข้าใจว่า ทุกๆ ปีมีการฝึกซ้อมรบที่ต้องเสียงบประมาณอยู่แล้ว เพียงแค่ย้ายที่มาฝึกใกล้ชายแดน เพื่อให้กัมพูชารู้ว่าเรามีกำลังทางอากาศมากกว่าเป็นร้อยเท่า ชาติอื่นๆ ก็ทำเช่นนี้

ส่วนกรณีการจัดเวทีกลางเพื่อหาทางออกปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา โดยเปิดโอกาสให้รัฐบาลและภาคประชาชนนำเสนอข้อมูลต่อประชาชน นายปานเทพ กล่าวว่า ข้อเสนอจากสมาคมนักข่าวฯถือเป็นความปรารถนาดี แต่หากจะให้ดีต้องให้ความเป็นธรรมกับวัตถุประสงค์การชุมนุมของเราด้วย จึงไม่สามารถถอยกลับไปยังกระบวนการเจรจาหรือโต้วาทีได้อีก ดังนั้นเราจึงเสนอให้ฝ่ายรัฐบาลและภาคประชาชนได้ใช้เวลาของตัวเองเต็มที่ 3 ชั่วโมง คนละวัน โดยที่ไม่ต้องมีใครมาแย้ง โดยสมาคมนักข่าวฯควรจัดบุคคลที่เป็นกลางปราศจากอคติ ไม่ใช่ผู้ที่มีประสบการณ์ความรู้แต่มีอคติ รวมทั้งต้องเป็นบุคคลที่ไม่มีผลประโยชน์จากภาครัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม

ทั้งนี้ เหตุผลที่ต้องใช้เวา 3 ชั่วโมงให้แต่ละฝ่าย เพราะปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชาเป็นปัญหาที่เชื่อมโยงกัน ทั้งเรื่องพื้นที่มรดกโลก MOU 2543 และการผลักดันทหารกัมพูชา ต้องนำเสนอเป็นองค์รวมไม่สามารถแยกทีละหัวข้อหรือโต้วาทีขัดแย้งกันทีละส่วนได้ จึงจำเป็นต้องใช้เวลาติดต่อกัน และเมื่อต่างฝ่ายใช้เวลา 3 ชั่วโมงในวันเดียวกัน ก็ทำให้เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องช่วงเวลา ที่ฝ่ายหนึ่งอาจได้เวลาในช่วงไพร์มไทม์หรือเวลาที่ดี แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ เหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่รัฐบาลมักใช้เวลาในช่วงที่ดี แต่ฝ่ายค้านไม่สามารถใช้ได้ จึงเสนอเป็นคนละวัน โดยน่าจะเป็นวันหยุดเหมือนกัน เช่น เสาร์และอาทิตย์

“ขอย้ำว่าไม่มีเวทีเจรจาสองฝ่าย ไม่มีเวทีดีเบตหรือโต้วาที มีแต่เวทีที่เราพร้อมพูดกับประชาชนในวงกว้างได้รับทราบข้อมูลมากขึ้น” นายปานเทพ กล่าว

**“มาร์ค”ยินดีนักข่าวเป็นตัวกลางถก

เวลา 13.30 น. ที่อาคารรัฐสภา 2 นายวิสุทธิ์ นำผู้บริหารสมาคมฯ เข้ายื่นหนังสือเชิญรัฐบาลเข้าร่วมเวทีกลางที่สมาคมฯจัดให้กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หลังจากได้นำหนังสือไปเชิญฝ่ายพันธมิตรเมื่อช่วงเช้าในวันเดียวกัน

นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ในหลักการรัฐบาลไม่ได้ขัดข้องอยู่แล้ว ก็อยู่ที่เรื่องของการกำหนดเวลา แต่ว่ารูปแบบที่รัฐบาลอยากจะเน้นย้ำคืออยากให้มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราอยากจะสร้างความเข้าใจกับความเป็นเอกภาพในส่วนของบ้านเมืองของเรา ไม่ใช่เรื่องที่มาทะเลาะกันให้ประชาชนหรือให้กัมพูชาเห็น และไม่ใช่เวลาที่ต่างฝ่ายต่างมาโฆษณาในโทรทัศน์ ถ้ามีความจริงใจก็เอามาคุยกันเพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจบนความรับผิดชอบ เพราะว่าการคุยกันเรื่องของการต่างประเทศและความมั่นคงมันมีความละเอียดอ่อนระดับหนึ่ง

“ไม่ใช่เรื่องที่จะมาทะเลาะกันให้กัมพูชาดู ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนออกมาแล้วทำให้ไทยเสียเปรียบมากขึ้นอย่างนี้ก็ไม่ควร ถ้าอยู่บนความรับผิดชอบเจตนารมณ์ตรงนี้ รัฐบาลพร้อมและอยากทำมาตลอด ถึงได้บอกว่าปัญหาอยู่ที่ข้อมูลไม่ตรงกันก็เอามาแลกเปลี่ยนกัน มันก็จะทำให้เราเดินหน้าไปได้ คือเรื่องนี้ยิ่งเรามีความเป็นเอกภาพเท่าไร การแก้ไขปัญหาต่างๆก็จะดีขึ้น” นายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่าพันธมิตรอ้างเสมอว่าไม่ได้รับการติดต่อจากรัฐบาล จะมีการส่งเทียบเชิญหรือไม่ นายก กล่าวว่า ไม่จริงครับ

**พธม.เชื่อแม่วีระถูก“มาร์ค” กล่อม

นายปานเทพ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ เนื่องจากนายอภิสิทธิ์เป็นผู้ประกาศเองเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.53 ว่าไม่ว่าจะเป็นกรณีใด จะไม่ปล่อยให้คนไทยถูกนำตัวขึ้นสู่ศาลกัมพูชา แต่ที่ผ่านมาท่าทีของรัฐบาลไทยกลับไม่เอื้ออำนายช่วยเหลือให้ 2 คนไทยได้ออกมาในฐานะผู้บริสุทธิ์ กลับปล่อยให้ทั้งคู่ต่อสู้คดีเพียงลำพัง และต้องถูกแรงกดดันอย่างหนัก โดยรัฐบาลแทบจะลืมไปเลยว่าทั้งคู่ยังถูกคุมขังอยู่ ไม่มีการสนับสนุนเรื่องเอกสารหรือทนายความที่เพียงพอ แล้วยังให้คนในรัฐบาลเน้นว่า 7 คนไทยล้ำเขตแดนเข้าไปในฝั่งกัมพูชาแล้ว ทำให้เกิดความเสียหายกับ 2 คนไทยอย่างไม่น่าให้อภัย เมื่อรัฐบาลไม่ทำอะไรเลย ทำให้ทั้งคู่ไม่มีทางเลือกอื่น

“ผิดหวัง เพราะที่นายวีระต้องถูกตัดสินจำคุกเช่นนี้เพราะรัฐบาลไม่ช่วยเหลืออย่างจริงจังและล่าช้า ทนายความที่กระทรวงการต่างประเทศจัดหามาให้ก่อนหน้านี้ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ค่อยประสานงานกับนายณฐพร แปลเอกสารคำพิพากษาล่าช้า ส่งผลต่อการอุทธรณ์สู้คดี อีกทั้งยังเป็นพลพวงมาจากการที่นางวิไลวรรณ สมความคิด มารดาของ นายวีระเข้าพบนายกรัฐมนตรีเมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งเชื่อว่าอาจมีการโน้มน้าวให้เห็นว่าถึงจะอุทธรณ์อย่างก็ไม่เป็นผล การเปลี่ยนแนวทางให้สอดคล้องกับที่รัฐบาลต้องการน่าจะช่วยเหลือได้เร็วกว่า ทำให้นางวิไลวรรณเกิดความสงสาร จึงไปเกลี้ยกล่อมนายวีระ”

นายปานเทพ กล่าวว่า การที่นายวีระทำเช่นนี้ เป็นสิทธิ์ของครอบครัวนายวีระ พธม. ไม่มีเงื่อนไขใดๆ แต่เชื่อว่าถึงจะเปลี่ยนแนวทางการสู้คดี แต่นายวีระยังคงหลักการเช่นเดิม การออกมาสู้ข้างนอกน่าจะมีโอกาสมากกว่า

“คดีนี้เป็นประเด็นการเมือง นายวีระคงรู้อยู่แล้วว่า หากยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อไปคงไม่เป็นผล เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมตั้งธงแล้วว่าจะลงโทษนายวีระให้ได้ ดังนั้นนายวีระจึงต้องทำให้ตัวเองออกมาจากเรือนจำเสียก่อน ค่อยหาทางสู้ต่อ ” นายปานเทพ กล่าว

ด้าน นายประพันธ์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่านายวีระและนางราตรี แม้ว่าจะขออภัยโทษออกมาแล้ว ก็ยังมีจุดยืนในการต่อสู้เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติต่อไป แต่กลยุทธ์คือการหาทางที่ต้องรอดพ้นจากการถูกจองจำในเรือนจำเสียก่อน

** อัด “ฮุน”ยกเคส“ศิวรักษ์”ไม่ขออภัยโทษ

เวลา 17.00 น.นายปานเทพ กล่าวถึงกรณีที่นายฮุนเซน ปฏิเสธให้อภัยโทษ 2 คนไทยว่า ถือเป็นวิธีที่ไม่ต้องการให้นายวีระและนางราตรีออกมาพูดว่า เกิดอะไรขึ้นในช่วงการพิจารณาคดี ซึ่งก่อนหน้านี้กรณีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก ก็ได้รับการปล่อยตัวโดยที่ไม่ต้องรับโทษแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวกับระเบียบที่ต้องรับโทษก่อน 2 ใน 3 แต่เกี่ยวกับความพึงพอใจและการทำอำเภอใจของนายฮุนเซนเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง

นายฮุนเซนคงใช้วิธีการบีบคั้นจิตใจนายวีระและนางราตรีให้ยอมสารภาพว่าอยู่ในดินแดนกัมพูชา ทั้งที่ทั้งคู่ไม่ยอม และไม่รับว่าอยู่ในพื้นที่กัมพูชา ที่สำคัญศาลกัมพูชาเป็นเรื่องการเมืองที่นายฮุนเซนจะสั่งการอย่างไรก็ได้ ไม่เป็นที่ยอมรับในเวทีสากล ดังนั้นจะสู้อย่างไรก็ไม่มีทางชนะ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลที่ต้องออกมาตรการกดดันที่ชัดเจนให้กัมพูชาทำตามที่ได้ตกลงกันไว้ เมื่อถูกบังคับให้กล่าวเท็จยอมรับว่าอยู่ในดินแดนกัมพูชา โดยใช้ข้อแลกเปลี่ยนว่ามิเช่นนั้นจะต้องถูกจำคุก 6 หรือ 8 ปี เป็นการบังคับขู่เข็ญโดยแท้ อย่างไรก็ตามเราเห็นใจนายวีระและนางราตรีที่ยืนหยัดการต่อสู้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง แต่เพราะคุณแม่ของนายวีระก็อายุมากแล้ว เกิดความเป็นห่วงบุตรชาย จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นายวีระตัดสินใจ

**ยืนยันต้องถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก

ส่วนกรณีที่ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปชี้แจงที่เวทีคณะกรรมการมรดกโลกและยูเนสโก ให้ชะลอการพิจารณาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก นายปานเทพ กล่าวว่า ได้มีการประสานงานขอข้อมูลมาที่ภาคประชาชนเพื่อไปใช้หยุดยั้งในเวทีคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งเราได้ให้ข้อมูลไปบางส่วน โดยเมื่อปีก่อนรัฐบาลไทยได้อาศัยเหตุที่ภาคประชาชนออกมาเรียกร้อง และใช้เหตุการณ์ปะทะตั้งแต่ปี 51 ว่า พื้นที่เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกอันตราย ทำให้ได้เลื่อนมาครั้งหนึ่ง รวมทั้งมาตรการนายสุวิทย์ประกาศจะลาออกกลางที่ประชุม ซึ่งไม่เกี่ยวกับ MOU 2543 แต่อย่างใด ซึ่งเป็นเหตุให้นายอภิสิทธิ์ขอร้องให้นายสุวิทย์ลงนามประนีประนอมให้ยอมรับผลการประชุมย้อนหลังทั้งหมด มาวันนี้ก็ใช้เหตุการปะทะเมื่อวันที่ 4-7 ก.พ.ไปเป็นข้ออ้างกับทางยูเนสโกว่าไม่สมควรเดินหน้าต่อไปในส่วนแผนบริหารจัดการ

โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า แม้ว่าจะมีเหตุข้ออ้างแล้ว แต่เราก็จำเป็นที่จะต้องยืนยันในเรื่องถอนตัวจากภาคีมรดกโลก เนื่องจาก ณ วันนี้การขึ้นทะเบียนได้สำเร็จไปแล้ว 1 ขั้น โดยผืนแผ่นดินไทยได้ถูกนำไปขึ้นทะเบียนด้วย โดยสิทธิ์ของกัมพูชา และการที่ภาคประชาชนกดดันให้ถอนตัวจากภาคีมรดกโลก ก็ทำให้คณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งหากยูเนสโกรู้ว่ามีประชาชนขัดแย้งอยู่ จะถือเป็นหลักประกันที่ทำให้ถอนตัวได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะท่าทีของยูเนสโกในขณะนี้ยังมีการส่งอดีต ผอ.ยูเนสโก ผู้ที่อนุมัติให้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่รอบๆที่เป็นของไทยมาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่ ซึ่งเห็นได้ว่า เขายังไม่หยุดความพยายาม อีกทั้งข้อตกลงหยุดยิงถาวรที่นายฮุนเซนต้องการอยู่ในขณะนี้ ก็เพราะต้องการให้พื้นที่มรดกโลกอันตรายกลายเป็นพื้นที่สันติภาพถาวร เพื่อเดินหน้าในเวทีมรดกโลกอีกครั้ง

**ปานเทพ” จับพิรุธ รบ.สมคบเขมร

นายปานเทพ กล่าวกรณีที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) มีข้อเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาลงนามในข้อตกลงยุติยิงถาวร ว่า ตนได้ศึกษาข้อเสนอแนะดังกล่าวแล้วพบข้อพิรุธว่า รัฐบาลไทยไม่ยืนหยัดต่อกรณีที่กัมพูชารุกรานแผ่นดินไทย โดยละเมิด MOU 2543 มีการขนกองกำลังทหารและชุมชนกัมพูชาเข้ามาในแดนไทย ทำให้ในการแถลงของ UNSC จึงไม่มีเงื่อนไขให้กัมพูชาออกจากดินแดนไทย ก่อนมีการเจรจาหยุดยิงถาวร เหตุใดรัฐบาลจึงไม่ต่อสู้ในประเด็นนี้ พันธมิตรฯจึงตั้งข้อสังเกตเพื่อให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ตอบคำถามถึงสาเหตุการไม่ยืนหยัดในประเด็นที่กัมพูชารุกรานไทย ดังนี้

1.รัฐบาลไม่รู้เท่าทัน หรือหลงลืมในประเด็นที่ต้องให้กัมพูชาถอยออกจากดินแดนไทย ก่อนมีการละเมิด MOU 2543
2.หลังจากการปะทะทางการทูตหลายครั้ง โดยเฉพาะแถลงการณ์กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.54 ซึ่งรัฐบาลไทยไม่สามารถตอบโต้ได้ว่า MOU 2543 หมายถึงแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนจริง
3.รัฐบาลไทยสมรู้ร่วมคิดกับกัมพูชา ทั้งที่สามารถตอบโต้ได้ เพียงเพราะต้องการให้มีการเจรจาหยุดยิงถาวร

“นายอภิสิทธิ์ และนายกษิตต้องตอบให้ได้ว่า เพราะอะไรถึงไม่ยืนหยัดที่จะต่อสู้ในประเด็นที่กัมพูชารุกรานดินแดนไทย โดยละเมิด MOU 2543 เพราะบัดนี้มีผลกระทบที่กำลังจะนำไปสู่การหยุดยิงถาวร โดยที่กัมพูชายังยึดครองดินแดนไทยอยู่” นายปานเทพ กล่าว

"ประพันธ์" สรุปบุคคลิก "อภิสิทธิ์เพิ่มอีก 5 ข้อ

นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขึ้นปราศรัยบนเวทีรวมพลังปกป้องแผ่นดินว่า วันก่อนตนได้สรุปบุคลิกลักษณะของนายอภิสิทธิ์ โดยเขียนได้ 22 ข้อ ตอนนี้มีเพิ่มมาอีก 5 ข้อ คือ

23. นายอภิสิทธิ์มีนิสัยชอบถอนหงอก หลอกใช้ผู้หลักผู้ใหญ่ให้เสียหมาเสียคนหลายคน อย่างนายชวน หลีกภัย, นายแพทย์ประเวศ วะสี, นายอานันท์ ปันยารชุน ฯลฯ
24. ความรู้สึกรักชาติ รักแผ่นดินของนายอภิสิทธิ์นั้นมีน้อย จากพฤติกรรมที่แสดงออกมาไม่ใช่จากคำพูดที่พูดออกมา
25. ชอบสร้างปัญหา ชอบสร้างภาพ น้ำมันปาล์มขาดแคลนจนคนต้องเข้าคิวกันซื้อ และมีราคาแพง สินค้าอื่นๆก็มีราคาแพงขึ้น เช่น ข้าวสาร น้ำตาลทราย รวมถึงปัญหาเสื้อแดงเผาเมือง การประชุมอาเซียน(ที่พัทยา)ที่พังระเนระนาด
26. นายอภิสิทธิ์เป็นคนที่เห็นแก่ตัว ชอบเอาเปรียบผู้อื่น เวลาออกทีวีก็พูดอยู่คนเดียว พูดโกหกไปโกหกมา
27. ชอบเอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้คนอื่น ไม่เคยยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ทหารยิงกันที่ศรีสะเกษก็โทษพันธมิตร คนไทยถูกจับไปขึ้นศาลก็โทษพันธมิตร
กำลังโหลดความคิดเห็น