xs
xsm
sm
md
lg

พธม.ฉะรัฐบาลไทยเสียรู้การทูต ส่อเสียดินแดนหลังหยุดยิงไร้เงื่อนไขขับเขมรพ้นพระวิหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โฆษกพันธมิตรฯ ห่วงรัฐบาลไทยไม่ยืนหยัดเขตแดนในเวทียูเอ็น ทำเสียเปรียบ ซัด “มาร์ค” พูดเท็จ ยันเพื่อนบ้านใช้ MOU อ้างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ชี้ข้อตกลงหยุดยิงส่อเสียดินแดนถาวรที่รับรองโดยยูเอ็น แถมดันเป็นมรดกโลกสำเร็จ ยันถ้าทำต้องมีเงื่อนไขขับเขมรพ้นพื้นที่ก่อน “ประพันธ์” ซัดรัฐไม่ใช้กฎบัตรยูเอ็น เสียรู้การทูต ยันไม่ปฏิเสธเจรจาทวิภาคีแต่ต้องมีเงื่อนไข

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์  

วันนี้ (14 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในการแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชนถึงกรณีที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีการประชุม เมื่อวันที่ 14 ก.พ. และออกข้อเสนอแนะให้ไทยกับกัมพูชาเจรจาปัญหาข้อพิพาทในลักษณะทวิภาคี โดยมีประชาคมอาเซียนเป็นเวทีในการพูดคุยกัน ว่า ถือว่าความพยายามในการจำกัดวงการเจรจาให้อยู่ในระดับทวิภาคีบรรลุผล แต่ก็มีเรื่องที่มีความน่าเป็นห่วง เพราะแม้ว่าไม่มี MOU 2543 ประเทศไทยก็ไม่เคยให้อาเซียนหรือแม้แต่สหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการระหว่างไทย-กัมพูชาเลยตลอด 50 ปีที่ผ่านมา พันธมิตรฯ จึงมีความเป็นห่วงในถ้อยแถลงระหว่างนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศไทย และนายฮอร์ นัมฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ที่พบร่องรอยบางอย่างที่น่าเป็นห่วงในหลายประการ โดยพบว่าทางฝ่ายไทยไม่ยืนหยัดในเรื่องเส้นเขตแดน มีเพียงการต่อสู้ว่าทางกัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน หรือต่อสู้เพียงแค่ว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 นั้น ศาลโลกไม่ได้รับรองในคำพิพากษา รวมทั้งบอกว่าการสำรวจหลักเขตแดนไม่แล้วเสร็จอยู่ระหว่างการเจรจา เหมือนว่าฝ่ายไทยยังไม่รู้ว่าเส้นเขตแดนประเทศไทยอยู่ที่ไหน เมื่อไทยสู้เช่นนี้จึงไม่สามารถเป็นฝ่ายโจทก์ที่จะบอกว่ากัมพูชารุกรานประเทศไทยได้เลย

นายปานเทพกล่าวต่อว่า การที่นายกษิตไม่ระบุเรื่องเขตแดนในการต่อสู้ เนื่องจากกัมพูชาใช้ข้อยืนยันเดิมตามแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 1 ก.พ.54 ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ที่อ้างถึง MOU 2543 ผนวกกับการคำบรรยายคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 ซึ่งหมายถึงไทยรุกรานกัมพูชาตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 แสดงให้เห็นว่ากัมพูชายืนหยัดในประเด็นนี้ ขณะที่ฝ่ายไทยไม่เคยโต้แย้งจนถึงถ้อยแถลงของนายกษิตก็ยังไม่ได้โต้แย้งเลย แม้แต่น้อย เท่ากับว่าฝ่ายไทยอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบอย่างยิ่ง โดยไม่มีกำหนดเวลาว่าสิ่งที่กัมพูชายึดครองพื้นที่ประเทศไทยอยู่นั้นจะออกไปเมื่อไร สะท้อนให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่พยายามกล่าวหาว่าพันธมิตรฯ อยากยกเลิก MOU 2543 เหมือนนายฮุนเซน เป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะเห็นได้ชัดแล้วว่ากัมพูชาใช้ MOU 2543 เพื่อแสดงถึงแผนที่ 1 ต่อ 200,000 รุกมาในดินแดนไทยมากขึ้น ทั้งที่เรื่องแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 นี้จบไปตั้งแต่ปี 2505 แล้ว ที่ศาลโลกตัดสินเฉพาะปราสาทพระวิหาร และไทยก็ไม่ต่ออายุการเป็นสมาชิกที่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก ดังนั้นจึงไม่มีเวทีไหนเลยที่กัมพูชาจะหยิบแผนที่ฉบับนี้ขึ้นมาอ้างใช้ได้อีก

“เมื่อมี MOU 2543 จึงเป็นครั้งแรกที่ทำให้กัมพูชาสบโอกาสในการอ้างถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 รวมทั้งประเด็นอื่นในคำพิพากษาของศาลโลก ซึ่งฝ่ายไทยเสียเปรียบในประเด็นนี้อย่างชัดเจน” นายปานเทพกล่าว

โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า เมื่อมีข้อเสียเปรียบโดยที่ฝ่ายไม่โต้แย้ง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จึงเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาตกลงหยุดยิงถาวร โดยไม่กล่าวถึงการที่กัมพูชารุกรานยึดครองประเทศไทยในจุดที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการยิงและทำร้ายราษฎรไทย ทั้งที่ปราสาทพระวิหาร และที่ภูมะเขือ เท่ากับว่าหากไทยยินยอมในข้อตกลงหยุดยิงนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปจะเกิดผลเสียหายอย่างน้อย 3 ข้อ คือ 1.พื้นที่กัมพูชายึดครองอยู่ โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร กัมพูชาจะสามารถยึดครองต่อไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าการเจรจาจะทำให้กัมพูชาพอใจเท่านั้น เสมือนการสูญเสียดินแดนอย่างถาวร 2.เมื่อมีการหยุดยิงถาวร กัมพูชาก็จะกลับไปใช้วิธีการเดิมในการนำชุมชน ถนน เข้ามายึดครองแผ่นดินไทยเพิ่มเติม โดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากการประท้วงเหมือนตลอดระยะเวลา 11 ปีที่มีการใช้ MOU 2543 มา และ 3.จากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารซึ่งมีเหตุปะทะและทำให้เป็นพื้นที่มรดกโลกอันตราย ยูเนสโกไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ แต่ทันทีที่มีเงื่อนไขหยุดยิงถาวร กัมพูชาก็จะเดินแผนจัดการมรดกโลก โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่สันติภาพแล้ว

“เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยผิดพลาดจากเหตุที่ไม่สามารถโต้แย้งที่กัมพูชาหยิบยก MOU 2543 ผนวกกับคำพิพากษาของศาลโลกได้ ทำให้ไม่สามารถต่อสู้ในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ดังนั้น ความผิดพลาดใน MOU 2543 ทำให้ประเทศไทยถลำลึกและเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการสูญเสียอธิปไตยชนิดที่ไม่สามารถทวงคืนมาได้ โดยมีสหประชาชาติรับรองด้วย” นายปานเทพกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า พันธมิตรฯ ไม่สนับสนุนการเจรจาเพื่อหยุดยิงถาวร นายปานเทพกล่าวว่า การหยุดยิงต้องมีเงื่อนไข โดยกัมพูชาต้องนำกองกำลังและชุมชนออกไปจากพื้นที่ประเทศไทย หากหยุดยิงในสถานการณ์นี้จะเป็นอันตรายมาก ส่วนที่ยึดครองอยู่ก็ไม่ออกอย่างไม่มีกำหนดเวลา และยังจะมีการรุกรานยึดครองเพิ่มเติมด้วยเหมือนที่ทำมาตลอด 11 ปีที่มี MOU 2543 ขึ้นมา ซึ่งเป็นเหตุให้ฝ่ายไทยไม่สามารถโต้แย้งเรื่องเขตแดนได้ เพราะเถียงกัมพูชาไม่ได้ว่า MOU 2543 หมายถึงแผนที่ 1 ต่อ 200,000 กัมพูชาจึงสบโอกาสในการยึดครองดินแดนไทยตามแผนที่ดังกล่าว เห็นได้จากการล้มโต๊ะการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) แต่ไม่ยกเลิก MOU 2543 แสดงว่าตรรกะที่นายอภิสิทธิ์จึงใช้ไม่ได้ ที่ยืนยันว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ระบุใน MOU 2543 นั้นไม่รวมระวางดงรัก ซึ่งมีพื้นที่เขาพระวิหาร

โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า กัมพูชาเดินเกมมานานแล้ว ซึ่งเมื่อมีการปะทะก็คิดว่ากัมพูชาทิ้งความพยายามขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่เมื่อมีการหยุดยิงถาวรทำให้กัมพูชามีข้ออ้างต่อคณะกรรมการมรดกโลกว่า พื้นที่เขาพระวิหารเป็นพื้นที่สันติภาพแล้ว หลุดเงื่อนไขมรดกโลกอันตราย สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนและจัดการตามแผนบริหารได้เลย โดยไม่พูดถึงการรุกรานยึดครองแผ่นดินโดยไม่ชอบ ขณะเดียวกันหากมีการปะทะกัมพูชาก็พร้อมที่จะนำปัญหาเข้าสู่เวทีนานาชาติ ถือเป็นหมากรุกฆาตของรัฐบาลกัมพูชาในการเดินเกมระหว่างประเทศ

ขณะที่ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ไม่ได้ออกเป็นมติที่ประชุม แต่ข้อแนะนำที่ออกมานั้นสะท้อนว่า ประเทศไทยได้ยอมรับการถูกยึดครองดินแดนโดยกัมพูชาในเวทีโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยที่รัฐบาลไทยไม่เคยโต้แย้งทั้งในระดับทวิภาคีหรือในระดับสหประชาชาติเลยว่า กัมพูชารุกรานยึดครองดินแดนไทยโดยไม่ชอบ และไม่มีการพูดถึงข้อเท็จจริงที่ราษฎรไทยได้รับความเสียหายจากความจงใจในการ รุกรานของกัมพูชาแต่อย่างไร รวมทั้งไม่มีการสงวนสิทธิที่จะใช้สิทธิตัวเองในการปกป้องผู้รุกรานตามกฎบัตรของสหประชาชาติ ท้ายที่สุดรัฐบาลจึงเสียรู้ในเชิงการทูตระหว่างประเทศยอมรับการหยุดยิงถาวร โดยที่ไม่สามารถผลักดันกองกำลังกัมพูชาที่ยึดครองแผ่นดินไทยอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้วันหนึ่งกัมพูชาอาจใช้ช่องทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อขอ ให้ศาลโลกหยิบยกขึ้นมาว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 นั้นเป็นของกัมพูชาโดยที่ไทยไม่โต้แย้ง

“รัฐบาลไทยต้องปรับท่าทีใหม่ เรื่องการเจรจาทวิภาคีหรือการที่อาเซียนเข้ามาเกี่ยวข้อง พันธมิตรฯ ไม่เคยปฏิเสธ แต่การเข้าสู่เวทีเจรจาโดยที่ไทยเสียเปรียบนั้น ไม่ใช่วิถีทางที่จะรักษาเอกราชอธิปไตยและผืนแผ่นดินเอาไว้ได้” นายประพันธ์กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น