“มาร์ค” นั่งหัวโต๊ะประชุม ครม. รับฟัง “กษิต” รายงานจากนิวยอร์คถึงผลการประชุม UNSC ที่สนับสนุนให้ไทย-กัมพูชาเจรจาแก้ปัญหาระหว่างกันแบบทวิภาคีตามที่ไทยต้องการ โดยมีอาเซียนเป็นตัวกลาง พร้อมให้ทำข้อตกลงหยุดยิงแบบถาวร ขณะที่ “องอาจ” เสนองบเยียวยา ซ่อมแซมบ้าน-โรงเรียนภูมิซรอลที่เสียหายจากเหตุปะทะ ด้าน “อานันท์” เสนอแนวทางการปฏิรูปการจัดการที่ดินเพื้อการเกษตร 5 ข้อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (15 ก.พ.) ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ประเด็นที่น่าสนใจคือ การแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ จะรายงานจากนครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาถึงผลการประชุม คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ที่ UNSC เสนอให้ทั้ง 2 ประเทศทำข้อตกลงหยุดยิงถาวร ตลอดจนแสวงหาหนทางแก้ปัญหาอย่างสันติ โดยสนับสนุนการเจรจาแบบทวิภาคี โดยมีอาเซียนเป็นผู้สนับสนุน ซึ่งอาเซียนมีแผนจัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อแก้ปัญหาทั้ง 2 ประเทศ
ขณะเดียวกัน ที่ประชุม ครม.จะพิจารณาผลพวงการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ บริเวณบ้านภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรีเพื่อให้กำลังใจประชาชน และตรวจสอบความเสียหายเพื่อเสนอ ครม.จัดสรรงบฯเยียวยา ซ่อมแซมบ้าน โรงเรียน ซึ่งมีทั้งเสียหายบางส่วนและเสียหายทั้งหลัง และการสร้างหลุมหลบภัยและบังเกอร์เพิ่มเติม
ส่วนเรื่องอื่นๆ นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานกรรมการปฏิรูป จะเสนอ ครม.เกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูปการจัดการที่ดินเพื่อการเกษตร 5 ข้อ คือ 1.ให้มีการจำกัดเพดานการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรไว้ไม่เกิน 50 ไร่ต่อครัวเรือน 2.ให้มีการจัดระบบข้อมูลการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรทั้งประเทศเป็นข้อมูล สาธารณะ 3.ให้จัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินเพื่อการเกษตรขึ้น 4. ให้มีการจัดเก็บภาษีที่ดินเกษตรกรรมในอัตราก้าวหน้าที่ดินต่ำขนาดกว่า 10 ไร่ให้เสียภาษี 0.03% ที่ดิน 10-50 ไร่ เสียภาษี 0.1% สำหรับที่ดินปล่อยทิ้งร้างหรือเกินจาก 50% ให้เสียภาษีอัตราก้าวหน้าสูง 5% และ5. ให้มีการกำหนดเขตการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร
ด้าน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ จะเสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบร่างแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2555-2559 มีเป้าหมายเพิ่มอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15 อันดับหรือติด 1 ใน 5 ของเอเชีย รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 5%
ประเด็นที่น่าสนใจคือ กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า ควรให้ความสำคัญต่อการสอดส่องดูแลและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะโฆษณาชวนเชื่อส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านลบ เช่น การท่องเที่ยวทางเพศ หรือเซ็กซ์ทัวร์ การหลอกลวงเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวรวมทั้งจัดทำแผนประชาสัมพันธ์อย่างเป็นระบบ เพื่อบรรเทาภาพลักษณ์เชิงลบของไทย
ด้าน กระทรวงวัฒนธรรม เสนอ ครม.พิจารณาเห็นชอบจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดิน เชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) เป็นองค์การมหาชน และโอนย้ายจากสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ สบร. มาอยู่ในกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ ศูนย์คุณธรรมมีขอบเขตและแนวทางการทำงาน เช่น ส่งเสริมการรวมพลังและขบวนทางสังคม รวมถึงการจัดประชุมสมัชชาคุณธรรม รวมทั้งการสนับสนุนการศึกษา วิจัย ค้นคว้า สร้างองค์ความรู้ใหม่ รวบรวมองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ บริหารจัดการความรู้และเป็นศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาคุณธรรมความดีรูปแบบต่างๆ
ทั้งนี้ งบประมาณของศูนย์คุณธรรมกระทรวงวัฒนธรรม จะเป็นไปตามแผนงบประมาณปี 2555 คาดใกล้เคียงกับงบประมาณที่ศูนย์คุณธรรมได้รับสรรมาทุกปีประมาณ 70-100 ล้านบาท