xs
xsm
sm
md
lg

“จำลอง” ลั่นอยู่ด้วยกันไม่ได้ ขีดเส้น รบ.เลือกเอาจะลาออก หรือสลาย พธม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
พล.ต.จำลอง ขีดเส้น 2 ทางเลือก รบ.ลั่น ไม่ลาออก ก็ต้องสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ เหน็บอย่ามัวงัด กม.กลั่นแกล้ง ชี้ มีแผนเดินขบวน แต่รอการประเมิน คกก.รวมพลังปกป้องแผ่นดินก่อน ซัดวิชามารอย่าเปลืองงบ จ้างนักวิชาการ 7.1 ล้าน มาซักบนเวทีสื่อ “ปานเทพ” ย้ำ เลิกดีเบต ลดความได้เปรียบเสียเปรียบ ซัด “ฮุนเซน” เหลี่ยมจัด อ้างไม่ปล่อย “วีระ-ราตรี” หวังปิดปากไม่ให้ออกมาพูดความจริง ยกเหตุ “ศิวรักษ์” ตบหน้า จี้ “มาร์ค” กดดันช่วย 2 คนไทย

วันนี้ (17 ก.พ.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ร่วมกันแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชนในช่วงเย็น โดย พล.ต.จำลอง กล่าวถึงแนวทางการชุมนุมเกี่ยวกับการเคลื่อนขบวนออกไปกดดันตามสถานที่ราชการ ว่า ยังอยู่ในแผนการ แต่อย่าใจร้อน โดยคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดินจะมีการหารือเพื่อประเมินสถานการณ์โดยตลอด ว่า ทำอย่างไรการชุมนุมได้ผลดียิ่งขึ้น ซึ่งไม่สามารถกำหนดเวลา หรือสถานที่ในตอนนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า การกดดันในพื้นที่นี้รัฐบาลก็ลำบากอยู่แล้ว พยายามกดดันกลั่นแกล้งเราโดยตลอด ส่วนกรณีหมายเรียกจากทางตำรวจนั้น ตนยังไม่ได้รับ

พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า รัฐบาลมีทางเลือก 2 ทาง คือ ลาออกไป หรือสลายการชุมนุม ซึ่งนักการเมืองยอมเลือกทางที่จะสลายเราอยู่แล้ว เพราะต้องการอยู่ในอำนาจนานๆ แต่ตนขอยืนยันว่า ไม่ได้มาชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล เมื่อรัฐบาลไม่ออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินตามที่ภาคประชาชนได้ให้เวลามามากแล้ว ผู้ชุมนุมก็ออกความเห็นว่าให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก เมื่อไม่รับผิดชอบเราก็ชุมนุมอยู่เช่นนี้ และถ้ารัฐบาลลาออกไป เราก็ต้องอยู่ให้แน่นอนว่าจะมีผู้มาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินแล้ว เราจึงจะยุติการชุมนุม ขณะนี้จึงยังไม่สามารถกำหนดเวลาได้

“เราอยู่กันมาเป็นวันที่ 24 ด้วยความเรียบร้อย ซึ่งรัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องการให้เราออกมาจากที่นี่ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลก็ต้องเป็นฝ่ายไป เพราะอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว เนื่องจากเรานำเรื่องจริงมาเปิดโปงมีการถ่ายทอดไปทั่วประเทศ และต่างประเทศ รัฐบาลจึงยอมไม่ได้” พล.ต.จำลอง กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงการใช้แสนยานุภาพทางทหารเพื่อกดดันผลักดันให้กัมพูชาออกจากดินแดนไทยยังมีความจำเป็นหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า มีความจำเป็นทุกขณะ แต่รัฐบาลไม่ทำสิ่งที่เราพูดนี้ไม่ใช่การไปทำร้ายทำลายกัน ต้องเข้าใจว่า ทุกๆ ปีมีการฝึกซ้อมรบที่ต้องเสียงบประมาณอยู่แล้ว เพียงแค่ย้ายที่มาฝึกใกล้ชายแดน เพื่อให้กัมพูชารู้ว่าเรามีกำลังทางอากาศมากกว่าเป็นร้อยเท่า ชาติอื่นๆ ก็ทำเช่นนี้

ในส่วนการเปิดเวทีนำเสนอข้อมูลที่มีสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เหตุใดเราจึงจะไปทำเรื่องที่ล้มเหลวมาแล้วซ้ำอีก พันธมิตรฯจึงเสนอวิธีที่ให้ความเป็นธรรมสองฝ่าย โดยใช้เวลาเท่ากันในเวลาเดียว ซึ่งคนที่จะมาทำหน้าที่ซักถามต้องมีความเป็นกลางไม่อคติ เช่น นักวิชาการที่รับจ้างรัฐบาล 7.1 ล้านบาท มาซักถามเรา

ด้าน นายปานเทพ กล่าวถึงการหารือกับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เกี่ยวกับการเปิดเวทีนำเสนอข้อมูลข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ว่า ทางสมาคมนักข่าวฯเสนอแนวทางจัดเวทีในลักษณะการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลกับภาคประชาชน ซึ่งทางพันธมิตรฯเห็นว่า ณ เวลานี้เลยจุดที่จะพูดคุยเจรจา หรือโต้วาทีแล้ว เพราะกระบวนการที่ทำมาทั้งหมดนั้นไม่มีสิ่งใดคืบหน้า ซ้ำร้ายในการจัดดีเบต นายกฯอภิสิทธิ์ กลับใช้เวลาส่วนใหญ่มากกว่าภาคประชาชน และข้อเท็จจริงขณะนี้รัฐบาลได้ใช้สื่อภาครัฐและสื่อกระแสหลักฝ่ายเดียวมาเป็นเวลานาน โดยที่ภาคประชาชนไม่มีพื้นทีทางสื่อเหล่านั้นแม้แต่น้อย ซึ่งข้อเสนอจากสมาคมนักข่าวฯถือเป็นความปรารถนาดี แต่หากจะให้ดีต้องให้ความเป็นธรรมกับวัตถุประสงค์การชุมนุมของเราด้วย จึงไม่สามารถถอยกลับไปยังกระบวนการเจรจา หรือโต้วาทีได้อีก ดังนั้นเราจึงเสนอให้ฝ่ายรัฐบาลและภาคประชาชนได้ใช้เวลาของตัวเองเต็มที่ 3 ชั่วโมง คนละวัน โดยที่ไม่ต้องมีใครมาแย้ง โดยสมาคมนักข่าวฯควรจัดบุคคลที่เป็นกลางปราศจากอคติ ไม่ใช่ผู้ที่มีประสบการณ์ความรู้แต่มีอคติ รวมทั้งต้องเป็นบุคคลที่ไม่มีผลประโยชน์จากภาครัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าประชาชนได้ประโยชน์จากข้อมูลที่แท้จริง โดยให้ภาคประชาชนที่มีความเห็นขัดแย้งดับรัฐบาลได้มีพื้นที่สื่ออย่างเต็มที่

โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวด้วยว่า เหตุผลที่ต้องใช้เวา 3 ชั่วโมงให้แต่ละฝ่าย เพราะปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชาเป็นปัญหาที่เชื่อมโยงกัน ทั้งเรื่องพื้นที่มรดกโลก MOU 2543 และการผลักดันทหารกัมพูชา ต้องนำเสนอเป็นองค์รวมไม่สามารถแยกทีละหัวข้อหรือโต้วาทีขัดแย้งกันทีละส่วนได้ จึงจำเป็นต้องใช้เวลาติดต่อกัน และเมื่อต่างฝ่ายใช้เวลา 3 ชั่วโมงในวันเดียวกัน ก็ทำให้เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องช่วงเวลา ที่ฝ่ายหนึ่งอาจได้เวลาในช่วงไพร์มไทม์หรือเวลาที่ดี แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ เหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่รัฐบาลมักใช้เวลาในช่วงที่ดี แต่ฝ่ายค้านไม่สามารถใช้ได้ จึงเสนอเป็นคนละวัน โดยน่าจะเป็นวันหยุดเหมือนกัน เช่น เสาร์และอาทิตย์

“ขอย้ำว่า ไม่มีเวทีเจรจาสองฝ่าย ไม่มีเวทีดีเบต หรือโต้วาที มีแต่เวทีที่เราพร้อมพูดกับประชาชนในวงกว้างได้รับทราบข้อมูลมากขึ้น” นายปานเทพ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาออกมาระบุการอภัยโทษ นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ไม่สามารถทำได้เนื่องจากตามกฎหมายกัมพูชาต้องมีการรับโทษ 2 ใน 3 ของโทษทั้งหมดก่อนจะขออภัยโทษได้ นายปานเทพ กล่าวว่า ถือเป็นวิธีที่ไม่ต้องการให้ นายวีระ และ น.ส.ราตรี ออกมาพูดว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงการพิจารณาคดี ซึ่งก่อนหน้านี้ กรณี นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก ก็ได้รับการปล่อยตัวโดยที่ไม่ต้องรับโทษแต่อย่างใด ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวกับระเบียบที่ต้องรับโทษก่อน 2 ใน 3 แต่เกี่ยวกับความพึงพอใจ และการทำอำเภอใจของนายฮุนเซนเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง สิ่งที่น่าเสียใจ คือ รัฐบาลไทยไม่พยายามกดดันเพื่อให้กัมพูชาทำตามที่นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศไว้เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.53 ที่ว่าไม่ว่ากรณีใดคนไทยต้องขึ้นศาลกัมพูชา เพราะมีข้อตกลงกันอยู่ ผลลัพธ์ที่เป็นเช่นนี้ เพราะนายกฯอภิสิทธิ์ไม่เด็ดขาดในการกดดัน

นายปานเทพ กล่าวว่า นายฮุนเซน คงใช้วิธีการบีบคั้นจิตใจ นายวีระ และ น.ส.ราตรี ให้ยอมสารภาพว่าอยู่ในดินแดนกัมพูชา ทั้งที่ทั้งคู่ไม่ยอม และไม่รับว่าอยู่ในพื้นที่กัมพูชา ที่สำคัญศาลกัมพูชาเป็นเรื่องการเมืองที่นายฮุนเซนจะสั่งการอย่างไรก็ได้ ไม่เป็นที่ยอมรับในเวทีสากล ดังนั้น จะสู้อย่างไรก็ไม่มีทางชนะ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลที่ต้องออกมาตรการกดดันที่ชัดเจนให้กัมพูชาทำตามที่ได้ตกลงกันไว้ เมื่อถูกบังคับให้กล่าวเท็จยอมรับว่าอยู่ในดินแดนกัมพูชา โดยใช้ข้อแลกเปลี่ยนว่ามิเช่นนั้นจะต้องถูกจำคุก 6 ปี หรือ 8 ปี เป็นการบังคับขู่เข็ญโดยแท้ อย่างไรก็ตาม เราเห็นใจ นายวีระ และ น.ส.ราตรี ที่ยืนหยัดการต่อสู้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง แต่เพราะคุณแม่ของนายวีระก็อายุมากแล้ว เกิดควมเป็นห่วงบุตรชาย จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นายวีระตัดสินใจ โดยที่รัฐบาลไทยไม่ช่วยเหลือใดๆ แม้แต่เรื่องง่ายๆ อย่างการแปลคำพิพากษา หรือการทำงานของทนาย ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล เป็นการกลั่นแกล้งคนไทยที่เจตนาดีในการพิสูจน์ว่า ราษฎรไทยถูกกัมพูชารุกที่จริง เป็นการสำแดงอำนาจทางศาลเหนือดินแดนไทย ซึ่งรัฐบาลต้องมีมาตรการช่วยเหลือมากกว่านี้

ส่วนกรณีที่ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปชี้แจงที่เวทีคณะกรรมการมรดกโลกและยูเนสโก ให้ชะลอการพิจารณาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก นายปานเทพ กล่าวว่า ได้มีการประสานงานของข้อมูลมาที่ภาคประชาชนเพื่อไปใช้หยุดยั้งในเวทีคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งเราได้ให้ข้อมูลไปบางส่วน โดยเมื่อปีก่อนรัฐบาลไทยได้อาศัยเหตุที่ภาคประชาชนออกมาเรียกร้อง และใช้เหตุการณ์ปะทะตั้งแต่ปี 51 ว่า พื้นที่เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกอันตราย ทำให้ได้เลื่อนมาครั้งหนึ่ง รวมทั้งมาตรการนายสุวิทย์ประกาศจะลาออกกลางที่ประชุม ซึ่งไม่เกี่ยวกับ MOU 2543 แต่อย่างใด ซึ่งเป็นเหตุให้นายอภิสิทธิ์ขอร้องให้นายสุวิทย์ลงนามประนีประนอมให้ยอมรับผลการประชุมย้อนหลังทั้งหมด มาวันนี้ก็ใช้เหตุการปะทะเมื่อวันที่ 4-7 ก.พ.ไปเป็นข้ออ้างกับทางยูเนสโกว่าไม่สมควรเดินหน้าต่อไปในส่วนแผนบริหารจัดการ

โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวด้วยว่า แม้ว่าจะมีเหตุข้ออ้างแล้ว แต่เราก็จำเป็นที่ยืนยันในเรื่องถอนตัวจากภาคีมรดกโลก เนื่องจาก ณ วันนี้การขึ้นทะเบียนได้สำเร็จไปแล้ว 1 ขั้น โดยผืนแผ่นดินไทยได้ถูกนำไปขึ้นทะเบียนด้วย โดยสิทธิ์ของกัมพูชา และการที่ภาคประชาชนกดดันให้ถอนตัวจากภาคีมรดกโลก ก็ทำให้คณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งหากยูเนสโกรู้ว่ามีประชาชนขัดแย้งอยู่ จะถือเป็นหลักประกันที่ทำให้ถอนตัวได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะท่าทีของยูเนสโกในขณะนี้ยังมีการส่งอดีต ผอ.ยูเนสโก ผู้ที่อนุมัติให้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่ขอบๆที่เป็นของไทยมาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่ ซึ่งเห็นได้ว่า เขายังไม่หยุดความพยายาม อีกทั้งข้อตกลงหยุดยิงถาวรที่นายฮุนเซนต้องการอยู่ในขณะนี้ ก็เพราะต้องการให้พทื้นที่มรดกโลกอันตรายกลายเป็นพื้นที่สันติภาพถาวร เพื่อเดินหน้าในเวทีมรดกโลกอีกครั้ง

กำลังโหลดความคิดเห็น