ASTVผู้จัดการรายวัน/ศรีสะเกษ - “ประพันธ์” เปิดภาพ ส.ส.ประชาธิปัตย์ กมธ.เจบีซี ไปวัดแก้วฯ ควงแม่ทัพภาค 2-ขรก.บัวแก้ว อี๋อ๋อ! หวานใส่ทหารเขมร จะซ้ำรอยเสียปราสาท พรรคการเมืองใหม่ซัด “เจริญ คันธวงศ์” พิจารณาตัวเอง ขณะที่ "มาร์ค" ตำหนิยูเนสโกดูพระวิหารทำขัดแย้งเพิ่ม "เด็จพี่" อัดขาดวุฒิภาวะผู้นำ ไม่มีน้ำใจลงพื้นที่เยี่ยมราษฎรชายแดน
วานนี้ (13 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานฯ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงถึงกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุในรายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯอภิสิทธิ์ ว่า กลุ่มพันธมิตรฯไม่สนับสนุนการเจรจาแบบทวิภาคีกับกัมพูชา ว่า หากจำกันได้วันที่ 4-6 ก.พ.ที่มีการปะทะกัน และฝ่ายไทยเปิดการเจรจาหยุดยิง ทั้งที่กัมพูชายังยึดพื้นที่ไทยอยู่ ถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง โดยรัฐบาลมาอ้างว่าเป็นผลงานภายใต้ข้อตกลง MOU 2543 แต่การปะทะกันแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลทำผิดพลาดมาตลอด การเจรจาทวิภาคีนั้นมีมาโดยตลอดในอดีตของประเทศที่มีชายแดนติดกัน โดยที่ไม่ต้องสนธิสัญญาใดๆ
นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวเสริมว่า จนถึงขณะนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังไม่เข้าใจปัญหาและสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง ไทย กับ กัมพูชา ดีพอ ทั้งยังไม่มีทีมคณะทำงานของรัฐบาลไทยมาทำหน้าที่ให้ความสำคัญกับกรณีนี้เลย ปัญหาในปัจจุบันพัฒนาไปไกลกว่าที่นายอภิสิทธิ์ จะมาสาละวนอยู่กับการต่อปาก ต่อคำกับพันธมิตรฯ หรือขอพื้นที่คืน
“ นายอภิสิทธิ์ ยังไม่สนใจ ยังเดินหน้าใช้กลไก JBC ให้ทำงานต่อมีการประชุมจนมีบันทึกการประชุมออกมา 3 ฉบับ และพยายามผลักดันให้ผ่านระบบรัฐสภาไทยให้ได้เร็วที่สุด เพื่อเป็นการยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งมาถึงวันนี้กัมพูชาได้เดินแผนงานไปจนครบถ้วนเพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาติที่จะเข้ามาแทรกแซง เพราะเห็นว่าได้เปรียบในเวทีโลก”
**อัดกมธ.เจบีซีเข้าข่ายข่ายชาติ
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลไทยโดยนายอภิสิทธิ์ ยังให้ นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างบันทึกการประชุม JBC ทั้ง 3 ฉบับของรัฐสภา พร้อมด้วย พล.ร.อ.ณรงค์ ยุทธวงศ์ รอง ผบ.สส.ลงพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และวัดแก้วฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.54 โดยไปแสดงพฤติกรรมยอมรับการถือครองพื้นที่ของกัมพูชา ทั้งการตั้งวัด ชุมชนและกำลังทหาร มีการถ่ายภาพกับซุ้มประตูวัดแก้วฯที่มีธงชาติกัมพูชาอยู่ และมีการไปกราบไหว้และมอบเงินปัจจัยให้พระกัมพูชา โดยไม่ทักท้วงแต่ประการใด ซ้ำรอยในคดีปราสาทพระวิหารที่คนไทยเคยไปถ่ายรูปที่มีธงฝรั่งเศสอยู่ เป็นความรู้ไม่เท่าทันเกมของกัมพูชา กลายเป็นพฤติกรรมที่สมาชิกรัฐสภาไทยไปยอมรับการถูกยึดครองพื้นที่ และกลับมาให้สัมภาษณ์ว่าทุกอย่างปกติดี
ก่อนหน้านั้นนายประพันธ์ ได้เปิดภาพถ่ายคณะกรรมาธิการร่วมวิสามัญพิจารณาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ที่มีนายเจริญ เป็นประธานเดินทางไปที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 20 ม.ค.ก่อนมีการทุบป้าย โดยมีนางสาวรัชดา ธนาดิเรก นางผุสดี ตามไท ส.ส.ประชาธิปัตย์ นายธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.เพื่อไทย พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร และเจ้าหน้าที่กรมสนธิสัญญาและเขตแดน กระทรวงการกต่างประเทศเดินทางไปด้วย
“วันนี้กัมพูชาได้รวบรวมหลักฐานนี้เพื่อปิดปากประเทศไทย โดยยกระดับปัญหานี้ไปสู่เวทีสหประชาชาติ ซึ่งกัมพูชาไม่ได้ต้องการเพียงที่ดินโดยรอบปราสาทพระวิหารอีกต่อไป โดยต้องการให้โลกรู้ว่าบัดนี้ไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน และดินแดนที่ปรากฎนี้คือของกัมพูชา รวมทั้งพื้นที่ในทะเลอีกมากมาย แสดงให้เห็นว่าเกมทางการทูตของนายอภิสิทธิ์ยังอ่อนด้อยอยู่มาก และขอประณามประเทศมหาอำนาจที่ต้องการฮุบดินแดนไทยโดยใช้กัมพูชาเป็นเครื่องมือบังหน้า เหมือนสมัยล่าเมืองขึ้น” นายประพันธ์ กล่าว และว่าไทยต้องไม่ยอมรับการเจรจาใดๆ โดยที่ทหารและชุมชนกัมพูชายังอยู่ในแผ่นดินไทย โดยใช้กำลังทหารไทยยึดแผ่นดินคืนให้ได้ทั้งหมด ก่อนที่จะมีการเปิดโต๊ะเจรจา หากกัมพูชาต้องการเจรจากับไทยจริง ต้องถอนกำลังออกไป หากไม่เช่นนั้นก็ต้องมีการปะทะเกิดขึ้น ตามสิทธิในการปกป้องดินแดนและอธิปไตยที่สามารถทำได้ รวมไปถึงการยกเลิก MOU 2543 และพฤติกรรมในการยอมรับการถูกยึดครองดินแดนโดยกัมพูชาในทันที
**รับรองบันทึกเจบีซีเท่ากับขายชาติ
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวถึงแนวคิดการเร่งรัดที่จะนำบันทึกการประชุม JBC ให้ผ่านความเห็นชอบต่อรัฐสภาของนายอภิสิทธิ์ ว่า การที่นายอภิสิทธิ์บอกว่าจะแก้ไขปัญหาโดยนำข้อสังเกตจากภาคประชาชนเข้าสี่ที่ประชุมรัฐสภา และให้ผ่านความเห็นชอบไปพร้อมกันนั้น ตนต้องบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้ไปไกลกว่านั้นมากแล้ว เพราะหากรัฐสภาไปรับรองบันทึกการประชุมของ JBC เท่ากับรับรองว่าไทยเป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชาทันที ตามคำปราศรับของนายวาร์ คิม ฮง ประธาน JBC กัมพูชาที่ระบุอยู่ในบันทึกการประชุมดังกล่าว และกัมพูชาก็ไม่เปิดโอกาสให้ไทยโต้แย้ง เพราะได้ล้มโต๊ะการประชุมครั้งหน้าไปเรียบร้อยแล้ว จึงอันตรายอย่างยิ่ง เพราะกัมพูชาไม่มีเจตนาในการเจรจากับไทยอีกต่อไป ดังนั้หากรับรองเมื่อไรจะเป็นอันตรายมากขึ้นไปอีกเพราะเป็นการรับรองโดยรัฐสภาไทย
**กกม.จี้กมธ.เจบีซีพิจารณาตัวเอง
ที่พรรคการเมืองใหม่ นายสำราญ รอดเพชร รองหัวหน้าและโฆษกพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า การลงพื้นที่ดังกล่าวทั้งบริเวณพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ของคณะของนายเจริญ ซึ่งประกอบด้วยทหารและข้าราชการระดับสูง ที่ไปทำบุญ ไปพูดคุยกับทหารกัมพูชา ทำให้ภาพออกมาเข้าทางปืนกัมพูชา เป็นหลักฐานว่าสมาชิกรัฐสภาไทยยอมรับการถือครองดินแดนของกัมพูชา จะซ้ำรอยประวิติศาสตร์ที่กัมพูชานำภาพที่มีคนไทยไปปราสาทเขาพระวิหาร แล้วกัมพูชาเป็นฝ่ายต้อนรับ ไปเป็นข้อต่อสู้ในศาลโลกเมื่อปี 2505 ดังนั้นพรรคการเมืองใหม่จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการชุดนี้ออกมาชี้แจงและขอโทษหรือพิจารณาตัวเอง เนื่องจากการเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
**ชี้ยูเนสโกดูพระวิหารยิ่งขัดแย้งเพิ่ม
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก)ยืนยันจะส่งทูตพิเศษเดินทางมาตรวจสอบบริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหารว่า ขณะนี้มีการประสานงาน โดยเราจะให้ข้อเท็จจริงต่างๆ และยังยืนยันและแนะนำว่า มันจะเป็นการเพิ่มความตึงเครียดเปล่าๆ น่าจะมาพูดคุยกับทุกฝ่ายให้เรียบร้อยก่อน ในการที่จะเอาข้อมูล แต่ขณะนี้เขาต้องตระหนักว่าเรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้น การดำเนินการอะไรต้องคำนึงถึงความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ ซึ่งรัฐมนตรีทั้ง 2 ของไทยที่เดินทางไป และประธานคณะกรรมมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี)ของเราได้มีการสื่อสารไป
ทั้งนี้ยูเอสโก้ควรจะทำหนังสือมาก่อน เป็นธรรมดา เมื่อยูเนสโก ไปรับจดทะเบียนปราสาทพระวิหาร เขาต้องอยากจะรู้ว่าผลกระทบในพื้นที่เป็นอย่างไร ส่วนความเป็นกลางของผู้อำนวยการศูนย์มรดกโลกนั้น เห็นว่า เราต้องให้ข้อมูลไปเรื่อยๆเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจะต้องเดินหน้าทำความเข้าใจในเวทีระหว่างประเทศ เราถอยไม่ได้เลย เพราะกัมพูชาเดินหน้า เราต้องเดินหน้าในการทำความเข้าใจ
ส่วนที่กัมพูชา แจ้งว่ามาจะขอเลื่อนการถกเจบีซี ไปโดยไม่มีกำหนด นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เขาต้องทำอยู่แล้ว เพราะว่าเขาต้องการจะไปพูดกับคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติว่าไม่สามารถใช้ กลไกทวิภาคีได้ นี่เป็นแนวทางกัมพูชาชัดเจนอยู่แล้ว แต่เรายืนยันว่าเจบีซียังมีอยู่ และเราพร้อมที่จะคุย อาเซียนแสดงจุดยืนว่าอยากให้เราคุยกัน 2 ฝ่าย
ทั้งนี้ตนทราบตั้งแต่วันที่นายกฯ ของกัมพูชาไปปราศรัย แต่คิดว่าเป็นเรื่องการเดินเกมของเขาอย่างชัดเจน เพราะถ้าวันนี้เขาตอบรับมา เขาก็ไม่มีอะไรไปพูดที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(UNSC) เขาไป UNSC เพื่อจะไปบอกว่าเขาไม่มีทางที่จะได้คุยในระดับทวิภาคี
ดังนั้นถ้าทุกองค์กรแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรกลับมาคุยทวิภาคี โดยอาจจะมีคนช่วยประสานงานอำนวยความสะดวกให้ แต่เนื้อหาสาระก็ต้องว่ากัน 2 ฝ่าย เมื่อถามว่า ในมุมกลับกันเจบีซีอาจจะเป็นประโยชน์ในเรื่องของช่องทางทวิภาคีที่จะเจรจาระหว่างกัน แต่มันเหมือนกดดันไทยในเการเร่งรัดผลักดันเรื่องนี้ให้เร็วขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่ามันมีกระบวนการของสภา และบันทึกการประชุมเจบีซีมันก็ช้าค้างมา 2 ปีกว่า แต่ทราบจากประธานกรรมาธิการว่าเราสามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ในอาจจะใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า จริงๆแล้วกระบวนการมันเดินต่อเพียงแต่กัมพูชาคงจะไปร้องว่ามันช้าเหลือเกิน
**อ้างไม่มีนักวิชาการคัดค้าน
ส่วนการทำความเข้าใจกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่คัดค้าน จะเพิ่มแรงกดดันมากขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา กระบวนการการเจรจามันมีในตัวของมันเอง หลายคนนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญซึ่งถูกอ้างว่าต่อต้านตรงนี้นั้นไม่ได้ต่อต้าน เพียงแต่เขาขอให้มีความชัดเจนเท่านั้นเองว่าประเทศไทยไม่ควรไปยอมรับ และขอให้ยึดประโยช์ของประเทศ เช่น บริเวณปราสาทพระวิหาร ให้ยึดสันปันน้ำเขาคิดเท่านี้ แต่การเจรจต้องทำได้เพราะถ้าไม่ทำจะยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ ตนย้ำไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ มีคนไปแสดงความคิดเห็นว่า ไม่ต้องกลัวเรื่องของประเทศอื่นองค์กรอื่นจะเข้ามาแทรกแซง ตอนนี้มันพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง พอมันเกิดเหตุขึ้นในโลกสมัยใหม่ทุกองค์กรก็วิ่งเข้าไม่ว่าจะด้วยเจตนาอะไรก็แล้วแต่ ดังนั้นเราต้องระมัดระวัง และสามารถที่จะปกป้องประโยชน์ของประเทศ แต่ต้องมีความรอบคอบในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
นายกฯ กังวลกับกลุ่มที่ออกมาคัดค้านหรือไม่ว่า ก่อนจะเปิดเจรจาจะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้เราต้องเอาบันทึกการประชุมเข้าสภาทุกครั้งแม้จะมีข้อตกลงอะไรต้องมาผ่านสภา นั้นก็สามารถที่จะตั้งข้อสังเกตุในคณะกรรมาธิการร่วมวิสามัญพิจารณาบันทึกผลการประชุมกรรมาธิการเขตแดนไทยกัมพูชา(เจบีซี) รัฐสภา เข้าใจว่ามีการเชิญผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่เป็นบุคคลที่ร่วมอยู่ในการเคลื่อนไหวด้วย เราบอกแล้วว่าให้รวบรวมข้อเสนอมาทั้งหมดแล้ว เสนอต่อสภา เมื่อถามว่า แต่ขณะนี้บันทึกข้อตกลงไทย-กัมพูชาทั้ง 3 ฉบับที่กรรมาธิการฯส่งให้ศาลรัฐธรมนูญตีความ ดำเนินการไปถึงไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้ส่งไปเลยเห็นว่ามันยังมีปัญหาอยู่ นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา สอบถามท้วงติงเพิ่มเติมมา ตัวญัตติมีปัญหา เป็นเรื่องของผู้เสนอญัตติของทางสภา ตอนนี้ยังไม่ได้ส่งไปตีความ และขึ้นอยู่กับประธานรัฐสภาและผู้เสนอญัตติ
ถ้ามีปัญหาทางด้านกฎหมายที่บอกว่าจะผลักดันกรอบบันทึกข้อตกลงเจบีซี ได้ภายใน 2 สัปดาห์ จะเป็นไปได้อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยกเว้นถูกส่งให้ตีความและก็ถูกระงับ แต่โดยข้อเท็จจริงการประชุมเจบีซี ยังทำได้อยู่โดยไม่ต้องรอ เพียงแต่ก่อนหน้านี้กัมพูชา แสดงท่าทีว่าถ้าประชุมแล้ว บันทึกไม่ได้รับการรับรองเขาอยากประชุม เพราะกังวลว่าจะต้องมาย้อนประชุมใหม่ แต่เรายืนยันว่าเจบีซี สามารถที่จะประชุมได้
**อ้างยังจำเป็นต้องชี้แจงชาวโลก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ว่า ไทยจำเป็นที่จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้ชาวโลก และประชาคมโลกได้รับทราบ รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ ยูเนสโก้ และอาเซียน อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องนี้นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้เดินทางไปยังกรุงปารีส และนครนิวยอร์ค เพื่อชี้แจงต่อคณะมนตรีความมั่นคงขององค์การสหประชาชาติ
ในขณะเดียวนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.สิ่งแวดล้อม และนายอัษฎา ชัยนาม ประธาน JBC ฝ่ายไทย จะดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ด้วย และตนขอยืนยันว่าฝ่ายไทยได้มีการเตรียมข้อมูลเอกสารข้อเท็จจริงไว้ทั้งหมด เพราะเราต้องการบ่งชี้ให้เห็นว่าการปะทะทุกครั้งเป็นการเริ่มต้นมาจากฝ่ายกัมพูชาที่ยิงก่อนทั้งสิ้น โดยจะมีการลำดับเวลาของเหตุการณ์ที่มีความชัดเจน รวมทั้งมีการยืนยันการปฎิบัติการของฝ่ายไทยที่ตอบโต้ไปก็เป็นพื้นที่เป้าหมายที่เป็นพื้นที่ทางการทหารเท่านั้น อีกทั้งมีภาพของประชาชนคนไทยนับหมื่นคนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งฝ่ายกัมพูชาได้ใช้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นที่ปฎิบัติการทางการทหาร
ซึ่งเรื่องนี้เป็นการปฎิบัติที่ขัดกับข้อตกลงระหว่างประเทศ และมรดกอย่างชัดแจ้ง อีกทั้งยังมีการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ให้สัมภาษณ์ด้วยตนเองใครยิงก่อนไม่สำคัญ และทางการทหารกัมพูชาได้ยืนยันว่าเป็นฝ่ายได้ยิงทหารไทยเข้ามาก่อน ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ตนมีความมั่นใจเราจะชี้แจงให้เห็นได้ว่าสิ่งที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามทำให้เห็นว่าฝ่ายไทยเข้าไปรุกราน และเรียกร้องให้หสหประชาชาติ หรือให้มีประเทศที่สามเข้ามานั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
**กมธ.เจบีซี สรุปผลศึกษา 15 ก.พ.
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ฐานะกรรมาธิการวิสามัญเจบีซี เปิดเผยว่า ในวันที่ 15 ก.พ.นี้ จะมีการสรุปความเห็นส่วนตัวมาเสนอ เบื้องต้นมีความเห็นที่ตกผลึกร่วมกันคือ จะต้องไม่นำแผนที่ระวางดงรัก 1 ต่อ 2 แสนมาพิจารณาบนโต๊ะการเจรจา เนื่องจากไม่ใช่เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยามและกัมพูชา
คาดจะยังไม่สรุปว่าจะรับรองรายงานการประชุมเจบีซีทั้ง 3 ฉบับหรือไม่ เนื่องจาก กมธ.วิสามัญที่ตั้งขึ้นเพื่อศึกษาข้อดี ข้อเสีย หรือหาข้อสังเกตเท่านั้น อีกทั้งก่อนหน้านี้กมธ.ได้ทำหนังสือถึงนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เพื่อให้ส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความว่าการรับรองบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเจบีซีนั้น จำเป็นต้องเข้าที่ประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาหรือไม่ ดังนั้นการจะสรุปความเห็นใดๆ ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความออกมาก่อน
**อัดขาดวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าเป็นที่น่าผิดหวังที่นายกรัฐมนตรี ขาดน้ำใจ ในการลงพื้นที่เยี่ยมประชาชน กว่าสามหมื่นคนที่อพยพ ไม่แสดงวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ เพราะหลังจากที่เหตุปะทะเกิดขึ้นมาแล้วกว่าสิบวัน ก็ยังพบการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกลับมีเวลาว่างพอไปรับกีต้าร์สกอร์เปี้ยนและ มีเวลาไปงานวันเกิดสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อีกทั้ง ยังให้แม่ทัพภาคสอง ฝ่ายค้าน นางสาวไทยและศิลปินนักแสดง เป็นฝ่ายลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวศรีสะเกษ
ส่วนกรณีที่นายกษิตจะชี้แจงต่อ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือยูเอ็นเอสซี ในกรณีเหตุปะทะดังกล่าว โดยส่วนตัวมองว่า นายกรัฐมนตรีเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่ไม่เหมาะสมตั้งแต่ต้น ซึ่งการที่ให้นายกษิตเป็นหัวหน้าคณะเจรจา ตนมองว่าน่าจะไม่ประสบผลสำเร็จ โดยตนเห็นว่านายกรัฐมนตรีควรเป็นผู้เดินทางไปเจรจาด้วยตนเองมากกว่า เพราะเชื่อว่า จะมีน้ำหนักมากกว่านายกษิต
**คนภูมิซอลกลับรอบ 2 แล้ว
อีกด้านความเคลื่อนไหวของชาวบ้านภูมิซรอล จ.ศรีสะเกษ รายงานข่าวแจ้งว่าที่หอประชุมที่ว่าการ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ชาวบ้านภูมิซรอล จำนวนประมาณ 100 คน พากันเดินทางกลับไปยังบ้านเรือนของตนเองแล้ว หลังจากทางราชการแจ้งว่า เหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว อีกทั้งทหารและตำรวจได้เข้าไปรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ทำให้ชาวบ้านเกิดความมั่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ ได้มานอนพักค้างคืนด้วย
ขณะที่ชาวบ้านภูมิซรอล และ บ้านซำเม็ง ส่วนหนึ่งได้ช่วยกันทำหลุมหลบภัยขึ้นมาภายในเขตบริเวณบ้านของตัวเอง เนื่องจากไม่เพียงพอกับความต้องการของชาวบ้าน
**ป้อมกอด MOU 43แน่น
วันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางไป จ.ศรีสะเกษ เพื่อร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ ส.อ.ธนากร พูลเพิ่ม ที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะระหว่างไทยและกัมพูชา
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าต้องการให้ทั้ง 2 ประเทศ เจรจากันแบบทวิภาคี โดยขณะนี้ประเทศไทยต้องยึดถือ MOU 43 ซึ่งหากต้องผลักดันให้ทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่พิพาทตามที่กลุ่มพันธมิตรฯ เรียกร้องนั้น จำเป็นต้องตรวจสอบด้วยว่า เป็นการละเมิดหรือไม่ ทั้งนี้ยืนยันว่า ทางไทยจะไม่มีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร โดยได้เตรียมการในพื้นที่อยู่แล้ว แม้ว่าจะมีการขยายกำลังของทหารกัมพูชาก็ตาม ส่วนที่การประชุม JBC เลื่อนออกไปนั้น เป็นเรื่องของรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศ ที่ดำเนินการ
ขณะที่เสียงที่ดังขึ้นในหมู่บ้านภูมิซรอล เมื่อคืนวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ยืนยันอีกว่า เสียงไม่ได้เกิดขึ้นจากฝั่งประเทศไทยอย่างแน่นอน
**รวบ 2 ผู้ต้องสงสัยสปายเขมร
ด้านพ.ต.ท.เปียว ทองแก้ว สว.สส.สภ.บึงมะลู อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ร.ท.ชาตรี ผลนาค หัวหน้าชุดสืบสวนหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 เชิญตัวชายต้องสงสัยคือ นายบุญทิน ปัสสาสุ ชาวบ้านหมู่ 11 ต.ละเอาะ อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ มาทำการสอบสวน ขณะที่นายบุญทินเข้ามาปะปนอยู่กับชาวบ้านที่เพิ่งอพยพกลับเข้ามาอยู่ในบ้าน
โดยนายบุญทินมีพฤติกรรมสอดส่องพื้นที่ตั้งของทหารฝ่ายไทย และจากการตรวจค้นในตัวพบตลับเมตร ความยาวประมาณ 30 เมตร เข็มขนาดใหญ่ พร้อมเชือกวัดระยะ มีดขนาด 4 นิ้ว 2 เล่ม ชุดทำแผลมีน้ำยา ผ้าก๊อซ สำลี กระดาษแผนผังคล้ายกับที่ตั้งทหารอยู่ภายในเป้
นายบุญทินอ้างว่า ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาเพื่อต้องการเข้ามาดูสถานที่เกิดเหตุที่กระสุนปืนใหญ่ตก รวมทั้งอ้างว่าเข้ามาหาปลาในเขตบ้านภูมิซรอล แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากคาดว่าอาจจะเป็นสายลับของฝ่ายกัมพูชา จึงได้ควบคุมตัวนายบุญทินและยึดซิมโทรศัพท์ของนายบุญทินไปตรวจสอบ
ก่อนนั้น เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ทหารพรานหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 เชิญตัวนายพา สุวิชา จาก ต.บึงมะลู อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ สอนสวน หลังจากพบพฤติกรรมว่าได้เข้าไปสอดส่องหาข้อมูลในเขตที่ตั้งทหารและจากการตรวจค้นตัวพบชุดคล้ายกับทหารกัมพูชา 1 ชุด อยู่ในกระเป๋า
อย่างไรก็ตาม นายพาได้ให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าได้มาหาพระที่เคยบวชเป็นพระร่วมกันอยู่ในเขตพื้นที่นี้ หลังจากเกิดเหตุก็ไม่ได้พบหน้ากันและเป็นชาวบ้านบัวลาย จ.นครราชสีมา แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงได้ควบคุมตัวไปสอบสวนเพิ่มเติม เนื่องจากคาดว่าจะเป็นสายลับให้กับกัมพูชาเข้ามาดูที่ตั้งทางทหารฝ่ายไทย
***เขมรตกลงร่วมเจรจาเวทีอาเซียน
นายกอย เกือง โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา เปิดเผยว่า รัฐบาลกัมพูชาได้ตอบตกลงคำเชิญของนายมาร์ตี้ นาตาเลกาว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ที่จะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการที่กรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซียในบ่ายวันที่ 22 กุมภาพันธ์
โดยการประชุมจะมีหัวข้อหารือเกี่ยวกับกรณีการปะทะบริเวณชายแดนกัมพูชาและไทย การเจรจาดังกล่าวจะจัดขึ้นหลังการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ ที่จะเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยและกัมพูชาเข้าชี้แจง โดยมีนายนาตาเลกาว่า ตัวแทนของอินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนเข้าร่วมด้วย
**"กษิต-เฒ่าฮอ" แจงยูเอ็นวันนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า วันที่ 14 ก.พ.นี้ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ จะชี้แจงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ถึงการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ที่ชายแดนด้านจังหวัดศรีสะเกษซึ่งกัมพูชาได้ร้องเรียนเรื่องนี้ไปยัง UNSC ทาง UNSC จึงได้นัดประชุมประเทศสมาชิกทั้ง 15 ประเทศ (ถาวร 5, ไม่ถาวร 10) เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ โดยได้เชิญนายกษิต และนายฮอร์ นัม ฮอง รองนายกฯ รมว.กต.กัมพูชาไปกล่าวถ้อยแถลง เพื่อชี้แจงรายละเอียดทั้งหมด
สำหรับการประชุม UNSC ครั้งนี้จะเริ่มขึ้นเวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (นิวยอร์ค) ตรงกับเวลา 22.00 น.ตามเวลาประเทศไทย โดยประธาน UNSC จะเป็นผู้กล่าวเปิดการประชุม จากนั้นรองเลขาธิการ UNSC ฝ่ายการเมืองจะเป็นผู้กล่าวสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
จากนั้นก็จะเปิดให้นายมาร์ตี้ นาตาเลกาว่า รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียนชี้แจง ก่อนจะให้นายฮอร์ นัม ฮอง กล่าวถ้อยแถลงก่อนในฐานะที่กัมพูชาเป็นผู้ยื่นคำร้อง จากนั้นถึงจะให้นายกษิตกล่าวถ้อยแถลงเป็นคนสุดท้ายคาดว่าหลังได้ฟังถ้อยจากทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว UNSC จะมีความเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา
**ศอ.รส. ออกหมายเรียก แกนนำพธม.
เวลา 16.00น. ที่ศอ.รส. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ศอ.รส. แถลงว่า ที่ประชุมมีมติขอความร่วมมือไปยังทุกหน่วยงานราชการ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยช่วยกันเข้าไปดูแลประชาชนโดยไม่อยากให้ถึงขั้นต้องมาเรียกร้องชุมนุมในกทม.เพิ่มเติมอีก
ศอ.รส.ยังมีมติให้พนักงานสอบสวน ซึ่งมี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น.เป็นหัวหน้า พิจารณารวบรวมข้อมูลหลักฐานเพื่อออกหมายเรียกแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ยังคงปักหลักยืดเยื้อและไม่ยอมเปิดทางการจราจร โดยศอ.รส.ให้เวลา ขีดเส้นตายให้ผู้ชุมนุมถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ หากยังไม่ปฏิบัติตามก็จะดำเนินการออกหมายเรียกก่อน หากไม่มาจะให้โอกาสออกหมายเรียก 2 ครั้ง ก่อนจะออกหมายจับต่อไป แต่ในหนึ่งถึงสองวันนี้ ตำรวจต้องดูสถานการณ์ ปฏิกิริยาของผู้ชุมนุม ซึ่งหลังวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ศอ.รส.ก็อาจมีการดำเนินการเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
อีกประเด็น คือขอความร่วมมือใช้ดุลพินิจในเรื่องการนัดหมาย การเคลื่อนตัว การรวมคน เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย โดยให้ระวังมือที่สามเข้ามาแทรกแซงได้ อย่างกรณีที่มีข่าวพบชาวกัมพูชาเข้าไปแทรกตัวขโมยของในที่ชุมนุมกลุ่มพันธมิตร
**ออกหมายเรียก 21 แกนนำบุกทำเนียบ
มีรายงานว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา (สบ.10) เทียบเท่า รอง ผบ.ตร. ได้มีการสรุปความเห็นพนักงานสอบสวนกรณีที่พันธมิตรฯเคยเข้าปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 21 คน เข้ามาพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา เพื่อสรุปสำนวนสั่งฟ้องต่อพนักงานอัยการภายในสัปดาห์นี้ หากผู้ที่ถูกออกหมายเรียกไม่ยอมเข้าพบพนักงานสอบสวนจะมีการขออนุมัติหมายจับกุมทันที สำหรับรายชื่อแกนนำพันธมิตรฯ ที่พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกได้แก่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสุริยะใส กตะศิลา นายสำราญ รอดเพชร
เวลา 17.00 น. พล.ต.จำลอง แถลงว่า เราสนับสนุนกระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอน เรามีผู้ที่พร้อมทำหน้าที่อีกมาก แต่ขณะนี้ตนยังไม่ได้รับหมายเรียก จึงไม่ทราบว่าจะเรียกใครไปบ้าง หากหมายถึงแกนนำในการชุมนุมครั้งนี้ก็จะเป็นคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดินที่มีทั้งหมด 17 คน
“ในวันที่ 15 ก.พ.นี้หากมีหมายเรียกมา ก็พร้อมที่จะทำตามกระบวนการยุติธรรม และไม่มีมวลชนติดตามไป ไม่มีการกดดันใครทั้งสิ้น” พล.ต.จำลอง กล่าว
พล.ร.อ.ประทีป ชื่นอารมณ์ กรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีหมายเรียกของ ศอ.รส. ว่า ตนยังไม่เห็นหมายเรียก แต่หากมีทางคณะกรรมการฯก็พร้อมที่จะเข้าพบเจ้าหน้าที่ตามหมายตามกระบวนการยุติธรรม.