ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังที่ออกมา “ปล่อยของ” ไว้ในงานสัมมนา “สยาม-ขแมร์ คู่รัก คู่ชัง คู่กรรม คู่เวร”รวมถึงการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
ใส่ร้าย-ป้ายสีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยท่าทีอันไม่เป็นมิตร และเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียวแล้ว
แทนที่ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะได้อยู่รับฟังเสียงสะท้อนกลับจากฝ่ายพันธมิตรฯ ที่ออกมาแสดงความรักชาติ-ปกป้องอธิปไตยของแผ่นดิน หาใช่คลั่งชาติ อย่างที่ชาญวิทย์ บิดเบือนเอาไว้
ก็ปรากฏว่า ตอนนี้ชาญวิทย์ เปิดตูดเผ่นไปสูดอากาศที่ประเทศสิงคโปร์ จึงพอเข้าใจได้ว่าพฤติกรรม “ตีหัวเข้าบ้าน” เช่นนี้ เป็นงานที่พวก “อีแอบ” เขาถนัดนัก
ทีมข่าวการเมืองASTVผู้จัดการ เชื่อว่าทุก “ความเห็นต่าง” คือด้านที่ดีงามของการเคลื่อนไหวการเมือง ที่พันธมิตรฯ พร้อมเปิดใจกว้างรับฟังทุกเสียงสะท้อน เพราะพันธมิตรฯ เกิดขึ้นจากการรวมกันของกลุ่มบุคคลหลากหลาย จุดแข็งอย่างหนึ่งที่ทำให้พันธมิตรฯ มีความเหนียวแน่นแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่นอยู่ได้ในฐานะกลุ่มพลังการเมืองภาคประชาชน ที่ทรงศักยภาพที่สุดในประเทศไทย
ก็เนื่องจากเอาเสียงส่วนใหญ่ของมวลชนเป็นเข็มทิศชี้นำทางการต่อสู้
ทุกการเคลื่อนไหวเมื่อถึงคราวต้องตกผลึกในทิศทางการต่อสู้ แกนนำพันธมิตรฯ จะใช้วิถีประชาธิปไตย โดยจะถามฉันทามติ-เสียงส่วนใหญ่ของมวลชน หรือที่ประชุมใหญ่แกนนำ-เครือข่ายพันธมิตรฯทั้งสิ้น
สำหรับข้อคิดเห็นจากนักวิชาการ-สื่อมวลชนที่จับตามองและวิพากษ์วิจารณ์แนวทางของพันธมิตรฯ แกนนำพันธมิตรฯ ก็ไม่ปิดกั้นการรับฟัง หากแต่การพร้อมเปิดกว้างรับฟัง
ขอเพียงความคิดเห็นนั้นให้ตั้งอยู่บนสุจริตใจ ไม่มีอคติ ยึดมั่นผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง
แต่กับกรณีการแสดงความคิดเห็นต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯของ "ชาญวิทย์ และคณะ" ที่ตั้งวงสัมมนา “สยาม-ขแมร์ คู่รัก คู่ชัง คู่กรรม คู่เวร” ที่จัดโดยชาญวิทย์ และคณะในนาม มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์
จะพบว่าเนื้อหาการสัมมนา-ความคิดเห็นต่างๆ ของผู้ร่วมสัมมนา ล้วนเสนอแนวคิดเพียงด้านเดียวบนอคติว่า พันธมิตรฯ กำลังนำประเทศไปสู่สงคราม และปลุกเร้ากระแสคลั่งชาติ
แต่กับฝ่ายกัมพูชา-ฮุน เซน ที่เปิดฉากยิงอาวุธสงครามกับไทยก่อน กลับไม่ได้มีการแสดงความคิดเห็นใดๆ จากนักวิชาการกลุ่มเดียวกันนี้ ควบคู่กันไปด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ขณะที่ประเทศกำลังเผชิญหน้ากับเขมร แต่ทีมงานกลับไปเชิญ H.E.You Ay เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยคือ มาร่วมงานแล้วทูตคนนี้ก็ใช้เวทีดังกล่าวมาเหยียบหน้าคนไทยด้วยกันเอง กับการกล่าวบนเวทีหลายเรื่องที่ไม่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้
อาทิที่บอกว่า 13 จังหวัดของไทยเวลานี้ อดีตเคยเป็นของกัมพูชามาก่อน , ปราสาทหินพนมรุ้ง และปราสาทหินพิมายเป็นสมบัติเก่าของกัมพูชา , กัมพูชายึดแผนที่ 1.2 แสนที่พันธมิตรฯ ประกาศมาตลอดว่าทำให้ไทยเสียดินแดนแต่กัมพูชาบอกว่าแผนที่ดังกล่าวได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
ไม่แปลกหรอกที่ทูตกัมพูชาจะแสดงความคิดเห็นในเชิงบวกต่อประเทศตัวเอง แต่จะพบว่าเนื้อหาการพูดของ H.E.You Ay แม้ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดของไทยกับกัมพูชาย่ำแย่ลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เพราะสิ่งที่ H.E.You Ay ต้องการสื่อก็คือ การพยายามตะโกนบอกเสียงดังๆว่าไทยเอาเปรียบกัมพูชามาหลายร้อยปีแล้ว ด้วยการโจรกรรมทั้งดินแดนและสมบัติที่เป็นโบราณสถานของกัมพูชาไปครอบครอง และพยายามยึดปราสาทเขาพระวิหารที่เป็นของคนไทยมาก่อน ออกไปจากอ้อมอกของกัมพูชา
ส่วนชาญวิทย์ แน่นอนว่าในฐานะนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ หลายคนให้การยอมรับในภูมิความรู้โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมาแนวคิดของชาญวิทย์ ในเรื่อง “รัฐไร้พรหมแดน-รัฐสมัยใหม่” ที่พยายามเสนอแนวคิดว่ากลุ่มประเทศอาเซียนที่อีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นเขตเศรษฐกิจเสรีอาเซียนแบบตลาดเดียวเหมือนอียู เรื่องเขตแดน-พรมแดน-ชายแดนระหว่างประเทศ จะต้องลดความสำคัญลงไปเหมือนเช่นในยุโรป
แต่ชาญวิทย์ ไม่ได้บอกกับสังคมว่า ก่อนที่ยุโรปจะเป็นเช่นนี้หลายประเทศที่มีชายแดนติดกันหรือพวกมหาอำนาจเขามีการสู้รบกันมาตามแนวชายแดนกันอย่างหนักมาแล้วไม่ว่าจะเป็นอังกฤษกับฝรั่งเศส หรือสเปน กับโปรตุเกส
อีกทั้งยังพบว่า ที่ผ่านมาชาญวิทย์ ก็ไม่ได้เคยพูดถึงความสำคัญของอธิปไตยบนผืนแผ่นดินไทย ที่กัมพูชาส่งทหารและให้คนเขมรเข้ามาตั้งรกรากในผืนแผ่นดินไทยอันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและกระทบความมั่นคงของประเทศไทย แต่กลับบอกว่าเรื่องเขาพระวิหาร เป็นความขัดแย้งของคนที่อยู่ในเมืองหลวง ไม่ใช่คนศรีสะเกษกับคนเขตเขาพระวิหาร
แสดงให้เห็นว่าชาญวิทย์ ยังมองเรื่องเขาพระวิหารและการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯโดยยังมีความคิดที่ห่มหุ้มปกคลุมด้วยอคติอย่างหนา แล้วจะสะท้อนกรณีปัญหาเขาพระวิหารด้วยข้อเสนอที่ถูกต้องรอบด้านได้อย่างไร
อย่างไรก็ดี เราเห็นว่า นักวิชาการแบบ "ชาญวิทย์" มีความคิดเห็นที่ล้าหลังมวลชนอยู่มาก เห็นได้จากการบิดเบือนว่ามวลชนพันธมิตรฯ ที่ออกมาเคลื่อนไหวเป็นพวกคลั่งชาติและพยายามจะให้เกิดการรัฐประหาร ทั้งที่ตลอดสองสัปดาห์ของการปักหลักที่มัฆวานรังสรรค์ จะเห็นได้ว่า เป็นไปอย่างสงบ ไม่ได้มีความคิดให้เกิดการใช้กำลังและคิดจะสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมืองจนนำมาสู่การรัฐประหาร ตรรกะและวิธีคิดของชาญวิทย์ จึงยังติดกับดักความคิดตัวเองที่มองพันธมิตรฯ ในแง่ลบมาตลอด
หลายช่วงหลายตอนของความคิดนักวิชาการอย่างชาญวิทย์ เช่นที่บอกว่า พันธมิตรฯที่ออกมาครั้งนี้โดยชูประเด็นเรื่องไทยเสียดินแดน เพราะเป็นข้ออ้างปลุกระดมประชาชนได้ง่าย
"เราไม่ได้เสียดินแดน แต่เราไม่ได้ดินแดน การปลุกกระแสในขณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะมีการยึดอำนาจ แล้วจะมีพวกรอส้มหล่น ก็ไม่รู้ว่า ส้มจะหล่นที่ใคร"
ถือเป็นการให้ร้ายและปรักปรำมวลชนพันธมิตรฯ อย่างไม่เป็นธรรม
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ การพูดที่แม้ไม่ได้เอ่ยถึงพันธมิตรฯ ตรงๆ แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า พันธมิตรฯที่ปักหลักชุมนุมในกรุงเทพมหานคร คือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนอำเภอกันทรลักษ์เดือดร้อน ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ก็เห็นๆกันอยู่ หากพันธมิตรฯ คือต้นเหตุให้เกิดสงคราม ก็ต้องเกิดมาเกือบสองปีแล้วเพราะพันธมิตรฯ เคลื่อนไหวเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2551 หาใช่ตอนนี้ไม่ ชาญวิทย์ จึงพูดโดยขาดความรับผิดชอบอย่างที่ควรจะเป็น กับคำกล่าวบางช่วงบางตอน เช่น
"นี่คือสงครามของคนที่ไม่ได้อยู่ชายแดนก่อ คนก่อคือคนอยู่เมืองหลวง ใช้การเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
เมื่อประเทศเองก็มีความแตกแยกกันมาก ก็อาจนำไปสู่การปฏิวัติได้ การผลักดันให้ยกระดับการต่อสู้ เดือดร้อนประชาชนคนอีสานใต้ นับหมื่นราย"
ทีมข่าวการเมืองฯ ขอเตือนไปถึง ชาญวิทย์ หยุดเถิด หยุดให้ร้ายพันธมิตรฯ หยุดให้ร้ายมวลชน
การออกมาต่อสู้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดินครั้งนี้ พันธมิตรฯ มีแต่เสีย ไม่มีได้ เพราะว่าถ้าข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ เช่น ให้ยกเลิกเอ็มโอยู 43 หรือให้ผลักดันทหาร และคนเขมรที่ล่วงล้ำดินแดนฝั่งไทย ปรากฏว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยอมทำตาม ถามว่า แล้วพันธมิตรฯ จะได้อะไร
คำตอบคือไม่ได้อะไรเลย พลตรีจำลอง ศรีเมือง-ปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ -ประพันธ์ คูณมี คนเหล่านี้จะได้อะไร ถ้า MOU 43 ถูกยกเลิก ก็ไม่มี ถ้าข้อเรียกร้องสำเร็จ พันธมิตรฯ ก็กลับบ้าน
จะได้ก็แค่ความภาคภูมิใจว่า สู้รอบนี้แม้เหนื่อย ก็ไม่สูญเปล่าเท่านั้น
แล้วถ้าเกิดปฏิวัติขึ้นมา ถามต่อว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่จะต้องเป็นผู้กุมอำนาจหลัก จะให้อะไรกับพันธมิตรฯ จะตั้งแกนนำให้เป็นรัฐมนตรีหรือ ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะวันนี้ก็เห็นแล้วว่า พันธมิตรฯได้คว่ำขัน พลเอกประยุทธ์ เรียบร้อยแล้ว หลังเห็นว่าผบ.ทบ.คนนี้ ไม่แสดงท่าทีอันแข็งขันในการปกป้องอธิปไตยผืนแผ่นดินไทย
จึงเห็นได้ว่า การที่ ชาญวิทย์ และนักวิชาการบางคนให้ร้ายพันธมิตรฯ-มวลชน ที่ออกมาชุมนุมด้วยหัวใจรักชาติ ทุกบทวิเคราะห์ ล้วนเลื่อนลอย และไม่คู่ควรแก่การให้ความสนใจนับจากวันนี้เป็นต้นไป
ไม่นับรวมกับอีกหลายความคิดของนักวิชาการบนเวทีสัมมนาเดียวกัน เช่น มรกต เจวจินดา ไมยเออร์ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร บอกได้อย่างไรว่า การเรียกร้องเรื่องยกเลิก MOU 43 ของพันธมิตรฯ ทำให้ไทยจมปลักกับความคิดแบบชาตินิยมที่ข้ามไม่พ้นอธิปไตยในพื้นที่ ซึ่งไม่มีชีวิต !
แถมยังบอกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้ไทยเสียโอกาสในการเปิดเขตเศรษฐกิจเสรีอาเซียนออกไป เพราะติดอยู่กับหน้ากากชาตินิยม
อีกรายหนึ่งก็แสบพอกัน ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ หัวหน้าภาควิชาสังคมศาสตร์ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต พูดได้อย่างไรว่า กำลังมีการสร้างวาทกรรมชาตินิยม เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
"เรื่องเอ็มโอยู 43 กำลังถูกสร้างกระแสเรื่องเสียดินแดน ทั้งที่มันสาบสูญไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถูกปลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อล้มรัฐบาล หรือประโยชน์ทางการเมืองในประเทศ พระวิหาร เป็นที่บูชาบรรพกษัตริย์ของกัมพูชา เราจะไปเอาอะไรกับเขา"
เป็นความบกพร่องอย่างมาก ที่บนเวทีอัปยศอันมี ชาญวิทย์ เป็นโต้โผ กลับไม่มีการเสนอข้อมูลที่รอบด้านเพียงพอ เช่น เล่ห์เหลี่ยมการเมือง และการทูตของกัมพูชา กับปัญหาที่เกิดขึ้น การปลุกกระแสชาตินิยมของฮุน เซน เพื่อหวังผลการเมืองในประเทศ
มันจึงกลายเป็นเวทีที่ “กลุ่มอีแอบไทยใจเขมร” อาศัยเวทีสัมมนาวิชาการ แสดงความคิดเห็น โดยบิดเบือนการต่อสู้ของคนในชาติด้วยกันเองอย่างเลือดเย็นที่สุด