หลังที่ออกมา “ปล่อยของ” ไว้ในงานสัมมนา “สยาม-แขมร์ คู่รักคู่ชัง คู่กรรมคู่เวร รวมถึงการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ใส่ร้าย-ป้ายสีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯด้วยท่าทีอันไม่เป็นมิตร และเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียวแล้ว
แทนที่ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะได้อยู่รับฟังเสียงสะท้อนกลับจากฝ่ายพันธมิตรฯ ที่ออกมาแสดงความ รักชาติ-ปกป้องอธิปไตยของแผ่นดิน หาใช่ คลั่งชาติ อย่างที่ชาญวิทย์ บิดเบือนเอาไว้
ก็ปรากฏว่า ตอนนี้ชาญวิทย์เปิดตูดเผ่นไปสูดอากาศที่ประเทศสิงคโปร์ จึงพอเข้าใจได้ว่าพฤติกรรม “ตีหัวเข้าบ้าน” เช่นนี้ เป็นงานที่พวก “อีแอบ” เขาถนัดนัก
ทีมข่าวการเมือง ASTV ผู้จัดการ เชื่อว่าทุก “ความเห็นต่าง” คือด้านที่ดีงามของการเคลื่อนไหวการเมือง ที่พันธมิตรฯ พร้อมเปิดใจกว้างรับฟังทุกเสียงสะท้อน เพราะพันธมิตรฯเกิดขึ้นจากการรวมกันของกลุ่มบุคคลหลากหลาย จุดแข็งอย่างหนึ่งที่ทำให้พันธมิตรฯมีความเหนียวแน่นแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่นอยู่ได้ในฐานะกลุ่มพลังการเมืองภาคประชาชนที่ทรงศักยภาพที่สุดในประเทศไทย
ก็เนื่องจากเอาเสียงส่วนใหญ่ของมวลชนเป็นเข็มทิศชี้นำทางการต่อสู้
ทุกการเคลื่อนไหวเมื่อถึงคราวต้องตกผลึกในทิศทางการต่อสู้ แกนนำพันธมิตรฯ จะใช้วิถีประชาธิปไตย โดยจะถามฉันทามติ-เสียงส่วนใหญ่ของมวลชนหรือที่ประชุมใหญ่แกนนำ-เครือข่ายพันธมิตรฯทั้งสิ้น
สำหรับข้อคิดเห็นจากนักวิชาการ-สื่อมวลชนที่จับตามองและวิพากษ์วิจารณ์แนวทางของพันธมิตรฯ แกนนำพันธมิตรฯก็ไม่ปิดกั้นการรับฟัง หากแต่การพร้อมเปิดกว้างรับฟัง ขอเพียงความคิดเห็นนั้น ให้ตั้งอยู่บนสุจริตใจ ไม่มีอคติ ยึดมั่นผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง
แต่กับกรณีการแสดงความคิดเห็นต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร ของ “ชาญวิทย์ และคณะ” ที่ตั้งวงสัมมนา “สยาม-แขมร์ คู่รักคู่ชัง คู่กรรมคู่เวร”ที่จัดโดยชาญวิทย์และคณะในนาม มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
จะพบว่าเนื้อหาการสัมมนา-ความคิดเห็นต่างๆ ของผู้ร่วมสัมมนาล้วนเสนอแนวคิดเพียงด้านเดียวบนอคติว่าพันธมิตรฯ กำลังนำประเทศไปสู่สงครามและปลุกเร้ากระแสคลั่งชาติ แต่กับฝ่ายกัมพูชา-ฮุนเซน ที่เปิดฉากยิงอาวุธสงครามกับไทยก่อน กลับไม่ได้มีการแสดงความคิดเห็นใดๆ จากนักวิชาการกลุ่มเดียวกันนี้ควบคู่กันไปด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ขณะที่ประเทศกำลังเผชิญหน้ากับเขมร แต่ทีมงานกลับไปเชิญ H.E.You Ay เอกอัครราชฑูตกัมพูชาประจำประเทศไทย คือ มาร่วมงานแล้วทูตคนนี้ก็ใช้เวทีดังกล่าวมาเหยียบหน้าคนไทยด้วยกันเอง กับการกล่าวบนเวทีหลายเรื่องที่ไม่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้
อาทิ ที่บอกว่า 13 จังหวัดของไทยเวลานี้อดีตเคยเป็นของกัมพูชามาก่อน, ปราสาทหินพนมรุ้งและปราสาทหินพิมายเป็นสมบัติเก่าของกัมพูชา, กัมพูชายึดแผนที่ 1.2 แสนที่พันธมิตรฯ ประกาศมาตลอดว่าทำให้ไทยเสียดินแดนแต่กัมพูชาบอกว่าแผนที่ดังกล่าวได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
ไม่แปลกหรอกที่ฑูตกัมพูชาจะแสดงความคิดเห็นในเชิงบวกต่อประเทศตัวเอง แต่จะพบว่าเนื้อหาการพูดของ H.E.You Ay แม้ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดของไทยกับกัมพูชาย่ำแย่ลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เพราะสิ่งที่ H.E.You Ay ต้องการสื่อก็คือ การพยายามตะโกนบอกเสียงดังๆ ว่าไทยเอาเปรียบกัมพูชามาหลายร้อยปีแล้วด้วยการโจรกรรมทั้งดินแดนและสมบัติที่เป็นโบราณสถานของกัมพูชาไปครอบครอง และพยายามยึดปราสาทเขาพระวิหารที่เป็นของคนไทยมาก่อนออกไปจากอ้อมอกของกัมพูชา
ส่วน ชาญวิทย์ แน่นอนว่าในฐานะนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ หลายคนให้การยอมรับในภูมิความรู้โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมาแนวคิดของชาญวิทย์ในเรื่อง “รัฐไร้พรมแดน-รัฐสมัยใหม่” ที่พยายามเสนอแนวคิดว่ากลุ่มประเทศอาเซียนที่อีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นเขตเศรษฐกิจเสรีอาเซียนแบบตลาดเดียวเหมือนอียู เรื่องเขตแดน-พรมแดน-ชายแดนระหว่างประเทศจะต้องลดความสำคัญลงไปเหมือนเช่นในยุโรป
แต่ชาญวิทย์ไม่ได้บอกกับสังคมว่า ก่อนที่ยุโรปจะเป็นเช่นนี้ หลายประเทศที่มีชายแดนติดกันหรือพวกมหาอำนาจเขามีการสู้รบกันมาตามแนวชายแดนกันอย่างหนักมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษกับฝรั่งเศส หรือสเปนกับโปรตุเกส
อีกทั้งยังพบว่า ที่ผ่านมาชาญวิทย์ก็ไม่ได้เคยพูดถึงความสำคัญของอธิปไตยบนผืนแผ่นดินไทย ที่กัมพูชาส่งทหารและให้คนเขมรเข้ามาตั้งรกรากในผืนแผ่นดินไทยอันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและกระทบความมั่นคงของประเทศไทย แต่กลับบอกว่าเรื่องเขาพระวิหารเป็นความขัดแย้งของคนที่อยู่ในเมืองหลวงไม่ใช่คนศรีสะเกษกับคนเขตพระวิหาร
แสดงให้เห็นว่า ชาญวิทย์ยังมองเรื่องเขาพระวิหารและการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ โดยยังมีความคิดที่ห่มหุ้มปกคลุมด้วยอคติอย่างหนา แล้วจะสะท้อนกรณีปัญหาเขาพระวิหารด้วยข้อเสนอที่ถูกต้องรอบด้านได้อย่างไร
อย่างไรก็ดี เราเห็นว่า นักวิชาการแบบ “ชาญวิทย์” มีความคิดเห็นที่ ล้าหลังมวลชน อยู่มาก เห็นได้จากการบิดเบือนว่ามวลขนพันธมิตรฯ ที่ออกมาเคลื่อนไหวเป็นพวก คลั่งชาติ และพยายามจะให้เกิดการรัฐประหารทั้งที่ตลอดสองสัปดาห์ของการปักหลักที่มัฆวานรังสรรค์จะเห็นได้ว่า เป็นไปอย่างสงบ ไม่ได้มีความคิดให้เกิดการใช้กำลังและคิดจะสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมืองจนนำมาสู่การรัฐประหาร ตรรกะและวิธีคิดของชาญวิทย์ จึงยังติดกับดักความคิดตัวเองที่มองพันธมิตรฯในแง่ลบมาตลอด
หลายช่วงหลายตอนของความคิดนักวิชาการอย่างชาญวิทย์ เช่นที่บอกว่าพันธมิตรฯ ที่ออกมาครั้งนี้โดยชูประเด็นเรื่องไทยเสียดินแดนเพราะเป็นข้ออ้างปลุกระดมประชาชนได้ง่าย
“เราไม่ได้เสียดินแดน แต่เราไม่ได้ดินแดน การปลุกกระแสในขณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะมีการยึดอำนาจ แล้วจะมีพวกรอส้มหล่น ก็ไม่รู้ว่าส้มจะหล่นที่ใคร”
ถือเป็นการให้ร้ายและปรักปรำมวลชนพันธมิตรฯ อย่างไม่เป็นธรรม
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือการพูดที่แม้ไม่ได้เอ่ยถึงพันธมิตรฯ ตรงๆ แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า พันธมิตรฯ ที่ปักหลักชุมนุมในกรุงเทพมหานครคือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนอำเภอกันทรลักษ์เดือดร้อน ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ก็เห็นๆ กันอยู่ หากพันธมิตรฯ คือต้นเหตุให้เกิดสงคราม ก็ต้องเกิดมาเกือบสองปีแล้วเพราะพันธมิตรเคลื่อนไหวเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2551 หาใช่ตอนนี้ไม่ ชาญวิทย์ จึงพูดโดยขาดความรับผิดชอบอย่างที่ควรจะเป็น กับคำกล่าวบางช่วงบางตอนเช่น
“นี่คือสงครามของคนที่ไม่ได้อยู่ชายแดนก่อ คนก่อคือคนอยู่เมืองหลวง ใช้การเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
เมื่อประเทศเองก็มีความแตกแยกกันมาก ก็อาจนำไปสู่การปฏิวัติได้การผลักดันให้ยกระดับการต่อสู้ เดือดร้อนประชาชนคนอีสานใต้นับหมื่นราย”
ทีมข่าวการเมืองฯ ขอเตือนไปถึงชาญวิทย์ หยุดเถิด หยุดให้ร้ายพันธมิตรฯ หยุดให้ร้ายมวลชน
การออกมาต่อสู้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดินครั้งนี้ พันธมิตรฯมีแต่เสียไม่มีได้ เพราะว่า ถ้าข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ เช่น ให้ยกเลิกเอ็มโอยู 43 หรือให้ผลักดันทหารและคนเขมรที่ล่วงล้ำดินแดนฝั่งไทย ปรากฏว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยอมทำตาม ถามว่าแล้วพันธมิตรฯ จะได้อะไร
คำตอบคือไม่ได้อะไรเลย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง-ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์-ประพันธ์ คูณมี คนเหล่านี้จะได้อะไรถ้าMOU43 ถูกยกเลิก ก็ไม่มี ถ้าข้อเรียกร้องสำเร็จ พันธมิตรฯก็กลับบ้าน
จะได้ก็แค่ความภาคภูมิใจว่า สู้รอบนี้แม้เหนื่อยก็ไม่สูญเปล่าเท่านั้น
แล้วถ้าเกิดปฏิวัติขึ้นมา ถามต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่จะต้องเป็นผู้กุมอำนาจหลัก จะให้อะไรกับพันธมิตร จะตั้งแกนนำให้เป็นรัฐมนตรีหรือ ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะวันนี้ก็เห็นแล้วว่าพันธมิตรฯได้คว่ำขันพลเอกประยุทธ์เรียบร้อยแล้วหลังเห็นว่า ผบ.ทบ.คนนี้ ไม่แสดงท่าทีอันแข็งขันในการปกป้องอธิปไตยผืนแผ่นดินไทย
จึงเห็นได้ว่า การที่ชาญวิทย์และนักวิชาการบางคนให้ร้ายพันธมิตรฯ-มวลชนที่ออกมาชุมนุมด้วยหัวใจรักชาติ ทุกบทวิเคราะห์ล้วนเลื่อนลอยและไม่คู่ควรแก่การให้ความสนใจนับจากวันนี้เป็นต้นไป
ไม่นับรวมกับอีกหลายความคิดของนักวิชาการบนเวทีสัมมนาเดียวกันเช่น มรกต เจวจินดา ไมยเออร์อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ ประสานมิตร บอกได้อย่างไรว่า การเรียกร้องเรื่องยกเลิก MOU 43 ของพันธมิตรฯ ทำให้ไทยจมปลักกับความคิดแบบชาตินิยมที่ข้ามไม่พ้นอธิปไตยในพื้นที่ซึ่งไม่มีชีวิต!
แถมยังบอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชาทำให้ไทยเสียโอกาสในการเปิดเขตเศรษฐกิจเสรีอาเซียนออกไป เพราะติดอยู่กับหน้ากากชาตินิยม
อีกรายหนึ่งก็แสบพอกัน ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ หัวหน้าภาควิชาสังคมศาสตร์ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต พูดได้อย่างไรว่ากำลังมีการสร้างวาทกรรมชาตินิยมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
“เรื่องเอ็มโอยู 43 กำลังถูกสร้างกระแสเรื่องเสียดินแดนทั้งที่มันสาบสูญไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถูกปลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อล้มรัฐบาลหรือประโยชน์ทางการเมืองในประเทศ พระวิหารเป็นที่บูชาบรรพกษัตริย์ของกัมพูชา เราจะไปเอาอะไรกับเขา”
เป็นความบกพร่องอย่างมาก ที่บนเวทีอัปยศอันมีชาญวิทย์เป็นโต้โผกลับไม่มีการเสนอข้อมูลที่รอบด้านเพียงพอเช่น เล่ห์เหลี่ยมการเมืองและการทูตของกัมพูชากับปัญหาที่เกิดขึ้น การปลุกกระแสชาตินิยมของฮุนเซนเพื่อหวังผลการเมืองในประเทศ
มันจึงกลายเป็นเวทีที่ “กลุ่มอีแอบไทยใจเขมร” อาศัยเวทีสัมมนาวิชาการแสดงความคิดเห็น โดยบิดเบือนการต่อสู้ของคนในชาติด้วยกันเองอย่างเลือดเย็นที่สุด
ใส่ร้าย-ป้ายสีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯด้วยท่าทีอันไม่เป็นมิตร และเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียวแล้ว
แทนที่ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะได้อยู่รับฟังเสียงสะท้อนกลับจากฝ่ายพันธมิตรฯ ที่ออกมาแสดงความ รักชาติ-ปกป้องอธิปไตยของแผ่นดิน หาใช่ คลั่งชาติ อย่างที่ชาญวิทย์ บิดเบือนเอาไว้
ก็ปรากฏว่า ตอนนี้ชาญวิทย์เปิดตูดเผ่นไปสูดอากาศที่ประเทศสิงคโปร์ จึงพอเข้าใจได้ว่าพฤติกรรม “ตีหัวเข้าบ้าน” เช่นนี้ เป็นงานที่พวก “อีแอบ” เขาถนัดนัก
ทีมข่าวการเมือง ASTV ผู้จัดการ เชื่อว่าทุก “ความเห็นต่าง” คือด้านที่ดีงามของการเคลื่อนไหวการเมือง ที่พันธมิตรฯ พร้อมเปิดใจกว้างรับฟังทุกเสียงสะท้อน เพราะพันธมิตรฯเกิดขึ้นจากการรวมกันของกลุ่มบุคคลหลากหลาย จุดแข็งอย่างหนึ่งที่ทำให้พันธมิตรฯมีความเหนียวแน่นแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่นอยู่ได้ในฐานะกลุ่มพลังการเมืองภาคประชาชนที่ทรงศักยภาพที่สุดในประเทศไทย
ก็เนื่องจากเอาเสียงส่วนใหญ่ของมวลชนเป็นเข็มทิศชี้นำทางการต่อสู้
ทุกการเคลื่อนไหวเมื่อถึงคราวต้องตกผลึกในทิศทางการต่อสู้ แกนนำพันธมิตรฯ จะใช้วิถีประชาธิปไตย โดยจะถามฉันทามติ-เสียงส่วนใหญ่ของมวลชนหรือที่ประชุมใหญ่แกนนำ-เครือข่ายพันธมิตรฯทั้งสิ้น
สำหรับข้อคิดเห็นจากนักวิชาการ-สื่อมวลชนที่จับตามองและวิพากษ์วิจารณ์แนวทางของพันธมิตรฯ แกนนำพันธมิตรฯก็ไม่ปิดกั้นการรับฟัง หากแต่การพร้อมเปิดกว้างรับฟัง ขอเพียงความคิดเห็นนั้น ให้ตั้งอยู่บนสุจริตใจ ไม่มีอคติ ยึดมั่นผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง
แต่กับกรณีการแสดงความคิดเห็นต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร ของ “ชาญวิทย์ และคณะ” ที่ตั้งวงสัมมนา “สยาม-แขมร์ คู่รักคู่ชัง คู่กรรมคู่เวร”ที่จัดโดยชาญวิทย์และคณะในนาม มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
จะพบว่าเนื้อหาการสัมมนา-ความคิดเห็นต่างๆ ของผู้ร่วมสัมมนาล้วนเสนอแนวคิดเพียงด้านเดียวบนอคติว่าพันธมิตรฯ กำลังนำประเทศไปสู่สงครามและปลุกเร้ากระแสคลั่งชาติ แต่กับฝ่ายกัมพูชา-ฮุนเซน ที่เปิดฉากยิงอาวุธสงครามกับไทยก่อน กลับไม่ได้มีการแสดงความคิดเห็นใดๆ จากนักวิชาการกลุ่มเดียวกันนี้ควบคู่กันไปด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ขณะที่ประเทศกำลังเผชิญหน้ากับเขมร แต่ทีมงานกลับไปเชิญ H.E.You Ay เอกอัครราชฑูตกัมพูชาประจำประเทศไทย คือ มาร่วมงานแล้วทูตคนนี้ก็ใช้เวทีดังกล่าวมาเหยียบหน้าคนไทยด้วยกันเอง กับการกล่าวบนเวทีหลายเรื่องที่ไม่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้
อาทิ ที่บอกว่า 13 จังหวัดของไทยเวลานี้อดีตเคยเป็นของกัมพูชามาก่อน, ปราสาทหินพนมรุ้งและปราสาทหินพิมายเป็นสมบัติเก่าของกัมพูชา, กัมพูชายึดแผนที่ 1.2 แสนที่พันธมิตรฯ ประกาศมาตลอดว่าทำให้ไทยเสียดินแดนแต่กัมพูชาบอกว่าแผนที่ดังกล่าวได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
ไม่แปลกหรอกที่ฑูตกัมพูชาจะแสดงความคิดเห็นในเชิงบวกต่อประเทศตัวเอง แต่จะพบว่าเนื้อหาการพูดของ H.E.You Ay แม้ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดของไทยกับกัมพูชาย่ำแย่ลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เพราะสิ่งที่ H.E.You Ay ต้องการสื่อก็คือ การพยายามตะโกนบอกเสียงดังๆ ว่าไทยเอาเปรียบกัมพูชามาหลายร้อยปีแล้วด้วยการโจรกรรมทั้งดินแดนและสมบัติที่เป็นโบราณสถานของกัมพูชาไปครอบครอง และพยายามยึดปราสาทเขาพระวิหารที่เป็นของคนไทยมาก่อนออกไปจากอ้อมอกของกัมพูชา
ส่วน ชาญวิทย์ แน่นอนว่าในฐานะนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ หลายคนให้การยอมรับในภูมิความรู้โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมาแนวคิดของชาญวิทย์ในเรื่อง “รัฐไร้พรมแดน-รัฐสมัยใหม่” ที่พยายามเสนอแนวคิดว่ากลุ่มประเทศอาเซียนที่อีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นเขตเศรษฐกิจเสรีอาเซียนแบบตลาดเดียวเหมือนอียู เรื่องเขตแดน-พรมแดน-ชายแดนระหว่างประเทศจะต้องลดความสำคัญลงไปเหมือนเช่นในยุโรป
แต่ชาญวิทย์ไม่ได้บอกกับสังคมว่า ก่อนที่ยุโรปจะเป็นเช่นนี้ หลายประเทศที่มีชายแดนติดกันหรือพวกมหาอำนาจเขามีการสู้รบกันมาตามแนวชายแดนกันอย่างหนักมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษกับฝรั่งเศส หรือสเปนกับโปรตุเกส
อีกทั้งยังพบว่า ที่ผ่านมาชาญวิทย์ก็ไม่ได้เคยพูดถึงความสำคัญของอธิปไตยบนผืนแผ่นดินไทย ที่กัมพูชาส่งทหารและให้คนเขมรเข้ามาตั้งรกรากในผืนแผ่นดินไทยอันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและกระทบความมั่นคงของประเทศไทย แต่กลับบอกว่าเรื่องเขาพระวิหารเป็นความขัดแย้งของคนที่อยู่ในเมืองหลวงไม่ใช่คนศรีสะเกษกับคนเขตพระวิหาร
แสดงให้เห็นว่า ชาญวิทย์ยังมองเรื่องเขาพระวิหารและการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ โดยยังมีความคิดที่ห่มหุ้มปกคลุมด้วยอคติอย่างหนา แล้วจะสะท้อนกรณีปัญหาเขาพระวิหารด้วยข้อเสนอที่ถูกต้องรอบด้านได้อย่างไร
อย่างไรก็ดี เราเห็นว่า นักวิชาการแบบ “ชาญวิทย์” มีความคิดเห็นที่ ล้าหลังมวลชน อยู่มาก เห็นได้จากการบิดเบือนว่ามวลขนพันธมิตรฯ ที่ออกมาเคลื่อนไหวเป็นพวก คลั่งชาติ และพยายามจะให้เกิดการรัฐประหารทั้งที่ตลอดสองสัปดาห์ของการปักหลักที่มัฆวานรังสรรค์จะเห็นได้ว่า เป็นไปอย่างสงบ ไม่ได้มีความคิดให้เกิดการใช้กำลังและคิดจะสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมืองจนนำมาสู่การรัฐประหาร ตรรกะและวิธีคิดของชาญวิทย์ จึงยังติดกับดักความคิดตัวเองที่มองพันธมิตรฯในแง่ลบมาตลอด
หลายช่วงหลายตอนของความคิดนักวิชาการอย่างชาญวิทย์ เช่นที่บอกว่าพันธมิตรฯ ที่ออกมาครั้งนี้โดยชูประเด็นเรื่องไทยเสียดินแดนเพราะเป็นข้ออ้างปลุกระดมประชาชนได้ง่าย
“เราไม่ได้เสียดินแดน แต่เราไม่ได้ดินแดน การปลุกกระแสในขณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะมีการยึดอำนาจ แล้วจะมีพวกรอส้มหล่น ก็ไม่รู้ว่าส้มจะหล่นที่ใคร”
ถือเป็นการให้ร้ายและปรักปรำมวลชนพันธมิตรฯ อย่างไม่เป็นธรรม
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือการพูดที่แม้ไม่ได้เอ่ยถึงพันธมิตรฯ ตรงๆ แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า พันธมิตรฯ ที่ปักหลักชุมนุมในกรุงเทพมหานครคือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนอำเภอกันทรลักษ์เดือดร้อน ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ก็เห็นๆ กันอยู่ หากพันธมิตรฯ คือต้นเหตุให้เกิดสงคราม ก็ต้องเกิดมาเกือบสองปีแล้วเพราะพันธมิตรเคลื่อนไหวเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2551 หาใช่ตอนนี้ไม่ ชาญวิทย์ จึงพูดโดยขาดความรับผิดชอบอย่างที่ควรจะเป็น กับคำกล่าวบางช่วงบางตอนเช่น
“นี่คือสงครามของคนที่ไม่ได้อยู่ชายแดนก่อ คนก่อคือคนอยู่เมืองหลวง ใช้การเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
เมื่อประเทศเองก็มีความแตกแยกกันมาก ก็อาจนำไปสู่การปฏิวัติได้การผลักดันให้ยกระดับการต่อสู้ เดือดร้อนประชาชนคนอีสานใต้นับหมื่นราย”
ทีมข่าวการเมืองฯ ขอเตือนไปถึงชาญวิทย์ หยุดเถิด หยุดให้ร้ายพันธมิตรฯ หยุดให้ร้ายมวลชน
การออกมาต่อสู้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดินครั้งนี้ พันธมิตรฯมีแต่เสียไม่มีได้ เพราะว่า ถ้าข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ เช่น ให้ยกเลิกเอ็มโอยู 43 หรือให้ผลักดันทหารและคนเขมรที่ล่วงล้ำดินแดนฝั่งไทย ปรากฏว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยอมทำตาม ถามว่าแล้วพันธมิตรฯ จะได้อะไร
คำตอบคือไม่ได้อะไรเลย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง-ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์-ประพันธ์ คูณมี คนเหล่านี้จะได้อะไรถ้าMOU43 ถูกยกเลิก ก็ไม่มี ถ้าข้อเรียกร้องสำเร็จ พันธมิตรฯก็กลับบ้าน
จะได้ก็แค่ความภาคภูมิใจว่า สู้รอบนี้แม้เหนื่อยก็ไม่สูญเปล่าเท่านั้น
แล้วถ้าเกิดปฏิวัติขึ้นมา ถามต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่จะต้องเป็นผู้กุมอำนาจหลัก จะให้อะไรกับพันธมิตร จะตั้งแกนนำให้เป็นรัฐมนตรีหรือ ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะวันนี้ก็เห็นแล้วว่าพันธมิตรฯได้คว่ำขันพลเอกประยุทธ์เรียบร้อยแล้วหลังเห็นว่า ผบ.ทบ.คนนี้ ไม่แสดงท่าทีอันแข็งขันในการปกป้องอธิปไตยผืนแผ่นดินไทย
จึงเห็นได้ว่า การที่ชาญวิทย์และนักวิชาการบางคนให้ร้ายพันธมิตรฯ-มวลชนที่ออกมาชุมนุมด้วยหัวใจรักชาติ ทุกบทวิเคราะห์ล้วนเลื่อนลอยและไม่คู่ควรแก่การให้ความสนใจนับจากวันนี้เป็นต้นไป
ไม่นับรวมกับอีกหลายความคิดของนักวิชาการบนเวทีสัมมนาเดียวกันเช่น มรกต เจวจินดา ไมยเออร์อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ ประสานมิตร บอกได้อย่างไรว่า การเรียกร้องเรื่องยกเลิก MOU 43 ของพันธมิตรฯ ทำให้ไทยจมปลักกับความคิดแบบชาตินิยมที่ข้ามไม่พ้นอธิปไตยในพื้นที่ซึ่งไม่มีชีวิต!
แถมยังบอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชาทำให้ไทยเสียโอกาสในการเปิดเขตเศรษฐกิจเสรีอาเซียนออกไป เพราะติดอยู่กับหน้ากากชาตินิยม
อีกรายหนึ่งก็แสบพอกัน ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ หัวหน้าภาควิชาสังคมศาสตร์ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต พูดได้อย่างไรว่ากำลังมีการสร้างวาทกรรมชาตินิยมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
“เรื่องเอ็มโอยู 43 กำลังถูกสร้างกระแสเรื่องเสียดินแดนทั้งที่มันสาบสูญไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถูกปลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อล้มรัฐบาลหรือประโยชน์ทางการเมืองในประเทศ พระวิหารเป็นที่บูชาบรรพกษัตริย์ของกัมพูชา เราจะไปเอาอะไรกับเขา”
เป็นความบกพร่องอย่างมาก ที่บนเวทีอัปยศอันมีชาญวิทย์เป็นโต้โผกลับไม่มีการเสนอข้อมูลที่รอบด้านเพียงพอเช่น เล่ห์เหลี่ยมการเมืองและการทูตของกัมพูชากับปัญหาที่เกิดขึ้น การปลุกกระแสชาตินิยมของฮุนเซนเพื่อหวังผลการเมืองในประเทศ
มันจึงกลายเป็นเวทีที่ “กลุ่มอีแอบไทยใจเขมร” อาศัยเวทีสัมมนาวิชาการแสดงความคิดเห็น โดยบิดเบือนการต่อสู้ของคนในชาติด้วยกันเองอย่างเลือดเย็นที่สุด