00 ปัญหาอุทกภัยในภาคใต้ ซึ่งถือว่าเป็น “มหาภัยพิบัติ” อีกครั้งหนึ่งของประเทศ เพราะคราวนี้เป็นผลมาจากสภาพของธรรมชาติที่วิปริต ผิดเพี้ยน แต่ส่วนใหญ่ก็มีต้นเหตุมาจากน้ำมือของมนุษย์นั่นแหละไปทำร้ายธรรมชาติก่อน อย่างไรก็ดี ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้เห็นน้ำใจคนไทยอีกครั้งว่า เมื่ออยู่ในยามยากก็ไม่มีใครทอดทิ้งกัน ไม่เลือกเขาเลือกเรา น่านับถือน้ำใจจริงๆ โดยเฉพาะเพื่อนพี่น้อง “สื่อ” ต่างๆ ก็ต้องยอมรับว่ารวมพลังกันเป็นศูนย์กลางรับบริจาค และส่งไปถึงพื้นที่ประสบภัยได้ทันท่วงที อย่างน้อยก็พอประทังชีวิตเอาให้รอดแบบเฉพาะหน้าไปก่อน
00 เพราะถ้ามัวรอความช่วยเหลือจากภาครัฐบาล ก็คง “จมน้ำตาย” ไปแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้แม้ว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องคนในรัฐบาล หรือแม้แต่ท่าทางของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชาวบ้านในพื้นที่ ดูแล้วมันยัง“ขัดเขิน” ไม่เป็นธรรมชาติ ประเดี๋ยวประด๋าว เหมือนกับให้ผ่านๆไป ทำให้เห็นว่าได้ลงไปช่วย ไปดูแล้วนะ จากนั้นก็รีบขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ก็สมแล้วที่ฝ่ายตรงข้ามค่อนขอดว่า “ไม่เข้าใจชาวบ้าน” หรือ “ตีนไม่ติดดิน” แทนที่จะ “พลิกวิกฤติเป็นโอกาส” กลายเป็นซ้ำเติมให้ดิ่งลงไปอีก
00 ปัญหา “สภาล่ม” ทำเอา มาร์ค-ปชป. ผวากันไปทั้งขบวน เพราะนี่คือสัญญาณอันตรายกำลังมาเยือน เป็นการเตือนให้เห็นว่า มีสมาชิกรัฐสภาไม่น้อยที่แสดงออกชัดเจนว่า “ไม่เอาด้วย” โดยเฉพาะมีการประท้วงหลายรูปแบบ ทั้งประเภท “โดดประชุม” ไม่เสียบบัตรแสดงตัว ทำให้องค์ประชุมไม่ครบ “สภาล่ม” ก็เพราะไม่อยากติดร่างแหมีความผิดติดตัว หากรับรอง บันทึกเจบีซี “อัปยศ” ตามความต้องการของ นายกฯอภิสิทธิ์ ล่าสุดกลายเป็นว่าต้อง “ถอย” ไม่ดันเข้าสภาในวันอังคารที่ 5 เม.ย.แล้ว
00 ถ้าออกมารูปนี้ มันก็ยิ่งเห็นธาตุแท้มากขึ้นไปอีกว่า ที่ผ่านมา “ขี้หกทั้งเพ” เพราะหากยังจำกันได้ตอนที่ นายกฯอภิสิทธิ์ และ รมว.ต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ลุกขึ้นออดอ้อนต่อสภา ขอให้เห็นชอบพร้อมทั้งขู่ว่าไม่เช่นนั้นจะทำให้เขมร “ฮุนเซน” นำไปอ้าง ดึงเอาประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซงได้ ทั้งที่ในปัจจุบันมันเสียหายจนย่อยยับแล้ว เพราะมีการดึงเอาอินโดฯ เข้ามาจุ้น ทำตัวเป็น “พี่เลี้ยง” ทำให้ชาติเสียศักดิ์ศรี ไม่มียุคไหนที่ไทยต้องสิ้นไร้ไม้ตอก ต้องมีประเทศอื่นมาไกล่เกลี่ยปัญหากับเขมร ทุด !!
00 นี่ก็โยนระเบิดเข้ามาโครมใหญ่ ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้ มันย่อมมีอะไร “ซ่อนเร้น” อยู่แน่นอน สำหรับ “น้องบรรหาร” ชุมพล ศิลปอาชา ที่ถูกเชิดเข้ามารักษาเก้าอี้หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาชั่วคราว เพราะการออกมาระบุว่ามี “อำนาจมืด” ล็อกสเป็ก เลือกส.ว.สรรหา มันก็เหมือนกับการ “ตีหัวเข้าบ้าน” ประเภทหาหลักฐานไม่ได้ แต่ทำให้ชาวบ้านเหลียวหน้ามามองที่ “บางคน” เป็นตาเดียว ซึ่งจริงไม่จริงไม่รู้ แต่ทำให้คนเชื่อและคนๆ นั้นก็เสียหายไปเรียบร้อยแล้ว
00 ขณะที่คนที่ออกมาพูด ทั้ง ชุมพล และพรรคชาติไทยพัฒนา มันก็ได้ประโยชน์ทางการเมือง พูดง่ายๆ ก็คือ “ได้พวก” เพิ่มพลังต่อรองให้กับพรรคตัวเอง อย่างน้อยเป้าหมายที่พูดออกมาเพื่อส่งสัญญาณออกไปแตะมืออย่างหลวมๆ กับทุกขั้ว ทั้งขั้วเดิมคือ ปชป. และขั้วใหม่ ก็คือ พรรคเพื่อไทย ของ ทักษิณ ชินวัตร เพราะการเปิดเผยผลโพลที่ออกมาระบุว่า พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำปชป. มันก็มีคำตอบให้เห็นว่าในอนาคตหลังเลือกตั้งจะ มีคนพวกนี้ไปเกาะแข้งเกาะขาใคร แต่อย่าไปคิดอะไรมาก เพราะขึ้นชื่อว่า “ปลาไหล” มันก็ลื่นจับยากอยู่แล้ว อะไรก็ได้ ขอให้ตัวเองและครอบครัวได้ประโยชน์ ได้กำไรเป็นพอ !!
00 เพราะถ้ามัวรอความช่วยเหลือจากภาครัฐบาล ก็คง “จมน้ำตาย” ไปแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้แม้ว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องคนในรัฐบาล หรือแม้แต่ท่าทางของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชาวบ้านในพื้นที่ ดูแล้วมันยัง“ขัดเขิน” ไม่เป็นธรรมชาติ ประเดี๋ยวประด๋าว เหมือนกับให้ผ่านๆไป ทำให้เห็นว่าได้ลงไปช่วย ไปดูแล้วนะ จากนั้นก็รีบขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ก็สมแล้วที่ฝ่ายตรงข้ามค่อนขอดว่า “ไม่เข้าใจชาวบ้าน” หรือ “ตีนไม่ติดดิน” แทนที่จะ “พลิกวิกฤติเป็นโอกาส” กลายเป็นซ้ำเติมให้ดิ่งลงไปอีก
00 ปัญหา “สภาล่ม” ทำเอา มาร์ค-ปชป. ผวากันไปทั้งขบวน เพราะนี่คือสัญญาณอันตรายกำลังมาเยือน เป็นการเตือนให้เห็นว่า มีสมาชิกรัฐสภาไม่น้อยที่แสดงออกชัดเจนว่า “ไม่เอาด้วย” โดยเฉพาะมีการประท้วงหลายรูปแบบ ทั้งประเภท “โดดประชุม” ไม่เสียบบัตรแสดงตัว ทำให้องค์ประชุมไม่ครบ “สภาล่ม” ก็เพราะไม่อยากติดร่างแหมีความผิดติดตัว หากรับรอง บันทึกเจบีซี “อัปยศ” ตามความต้องการของ นายกฯอภิสิทธิ์ ล่าสุดกลายเป็นว่าต้อง “ถอย” ไม่ดันเข้าสภาในวันอังคารที่ 5 เม.ย.แล้ว
00 ถ้าออกมารูปนี้ มันก็ยิ่งเห็นธาตุแท้มากขึ้นไปอีกว่า ที่ผ่านมา “ขี้หกทั้งเพ” เพราะหากยังจำกันได้ตอนที่ นายกฯอภิสิทธิ์ และ รมว.ต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ลุกขึ้นออดอ้อนต่อสภา ขอให้เห็นชอบพร้อมทั้งขู่ว่าไม่เช่นนั้นจะทำให้เขมร “ฮุนเซน” นำไปอ้าง ดึงเอาประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซงได้ ทั้งที่ในปัจจุบันมันเสียหายจนย่อยยับแล้ว เพราะมีการดึงเอาอินโดฯ เข้ามาจุ้น ทำตัวเป็น “พี่เลี้ยง” ทำให้ชาติเสียศักดิ์ศรี ไม่มียุคไหนที่ไทยต้องสิ้นไร้ไม้ตอก ต้องมีประเทศอื่นมาไกล่เกลี่ยปัญหากับเขมร ทุด !!
00 นี่ก็โยนระเบิดเข้ามาโครมใหญ่ ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้ มันย่อมมีอะไร “ซ่อนเร้น” อยู่แน่นอน สำหรับ “น้องบรรหาร” ชุมพล ศิลปอาชา ที่ถูกเชิดเข้ามารักษาเก้าอี้หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาชั่วคราว เพราะการออกมาระบุว่ามี “อำนาจมืด” ล็อกสเป็ก เลือกส.ว.สรรหา มันก็เหมือนกับการ “ตีหัวเข้าบ้าน” ประเภทหาหลักฐานไม่ได้ แต่ทำให้ชาวบ้านเหลียวหน้ามามองที่ “บางคน” เป็นตาเดียว ซึ่งจริงไม่จริงไม่รู้ แต่ทำให้คนเชื่อและคนๆ นั้นก็เสียหายไปเรียบร้อยแล้ว
00 ขณะที่คนที่ออกมาพูด ทั้ง ชุมพล และพรรคชาติไทยพัฒนา มันก็ได้ประโยชน์ทางการเมือง พูดง่ายๆ ก็คือ “ได้พวก” เพิ่มพลังต่อรองให้กับพรรคตัวเอง อย่างน้อยเป้าหมายที่พูดออกมาเพื่อส่งสัญญาณออกไปแตะมืออย่างหลวมๆ กับทุกขั้ว ทั้งขั้วเดิมคือ ปชป. และขั้วใหม่ ก็คือ พรรคเพื่อไทย ของ ทักษิณ ชินวัตร เพราะการเปิดเผยผลโพลที่ออกมาระบุว่า พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำปชป. มันก็มีคำตอบให้เห็นว่าในอนาคตหลังเลือกตั้งจะ มีคนพวกนี้ไปเกาะแข้งเกาะขาใคร แต่อย่าไปคิดอะไรมาก เพราะขึ้นชื่อว่า “ปลาไหล” มันก็ลื่นจับยากอยู่แล้ว อะไรก็ได้ ขอให้ตัวเองและครอบครัวได้ประโยชน์ ได้กำไรเป็นพอ !!
