“ปัญญาพลวัตร”
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ฮุนเซนประกาศอย่างชัดเจนว่าการสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา มิใช่เป็นการปะทะกันเล็กๆ แต่เป็นสงคราม เป็นที่น่าสนใจว่าทำไมฮุนเซนจึงก่อสงครามกับประเทศไทย ทั้งที่ฮุนเซนก็ทราบดีอยู่แล้วว่าแสนยานุภาพทางทหารของกัมพูชาด้อยกว่าประเทศไทยอย่างเทียบกันไม่ติด
การก่อสงครามครั้งนี้ฮุนเซนได้มีการเตรียมการวางแผนมาอย่างดีโดยมีการกำหนดยุทธศาสตร์และจังหวะก้าวในการรบอย่างเป็นระบบทั้งทางการทหารและทางการทูต
หากเราสังเกตในช่วงก่อนหน้าที่มีการยิงกันในบริเวณชายแดนนั้น ฮุนเซนได้ส่งกำลังทหารและสรรพาวุธไปตั้งมั่นยังชายแดนไทยเป็นจำนวนมาก พร้อมกับการเข้าไปยึดพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารและภูมะเขือ เพื่อจัดทำเป็นฐานที่มั่นสำหรับใช้เป็นจุดในการโจมตีไทย
การใช้บริเวณปราสาทพระวิหารเป็นที่ตั้งทางทหาร เป็นการดีดลูกคิดในรางแก้วของฮุนเซน เพราะนอกจากเป็นชัยภูมิที่ดีในการโจมตีไทยแล้ว ยังทำให้ทหารไทยมีความหวั่นเกรงในการยิงปืนใหญ่เข้าไปในบริเวณนั้นด้วย เพราะกระสุนอาจไปทำปราสาทพระวิหาร ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้ไทยถูกตำหนิจากนานาชาติได้
ภายหลังต่อสู้กันปรากฏว่าปราสาทพระวิหารมีความเสียหายเล็กน้อย แต่ฮุนเซนทำราวกับว่าปราสาทเสียหายเป็นจำนวนมาก และเมื่อโฆษกกองทัพบกออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าฮุนเซนใช้ปราสาทพระวิหารเป็นที่ตั้งกองกำลังทหารกัมพูชา ฮุนเซนก็ปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่ก็ถูกจับโกหกได้ด้วยนักข่าวเอพีที่รายงานว่ามีบังเกอร์ของทหารกัมพูชาจำนวนมากรอบปราสาทพระวิหาร
ในการโจมตีประเทศไทยนั้นเราจะเห็นได้ว่าเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ฮุนเซนโจมตีมิใช่เป็นที่ตั้งทางทหารของไทยอย่างเดียว แต่กลับโจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทยด้วย โดยมิได้ใส่ใจกับกฎเกณฑ์ของการทำสงครามระหว่างประเทศและมนุษยธรรมแต่ประการใด ทำไมฮุนเซนถึงกล้าทำอย่างนั้น
ประการแรก ฮุนเซนคงคิดว่ารัฐบาลไทยคงไม่กล้านำเรื่องนี้มาประจานและประณามกัมพูชา เพราะฮุนเซนรู้ว่ารัฐบาลไทยซึ่งเป็นลูกไล่กัมพูชา คงไม่ทำอะไรให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์และผลประโยชน์ที่พวกเขามีอยู่ในกัมพูชา ซึ่งก็ดูเหมือนเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ประการที่สอง ฮุนเซนคิดจะอาศัยความเดือดร้อนของประชาชนไทย เป็นเงื่อนไขในการกดดันรัฐบาลไทยให้ยอมรับเงื่อนไขของการยุติสงคราม สิ่งที่ฮุนเซนต้องการคือ การนำประเทศที่สามมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยและให้มีกองกำลังของสหประชาชาติมารักษาความสงบบริเวณชายแดน และหากรัฐบาลไทยยังไม่ยอมรับเงื่อนไขเหล่านั้นฮุนเซ็นก็คงสั่งให้ทหารโจมตีพลเรือนของไทยต่อไปในพื้นที่อื่นๆอีกก็ได้ จนกว่ารัฐบาลไทยจะยอมรับเงื่อนไข
ฮุนเซนใช้ยุทธวิธีใส่ร้ายประเทศไทย และไปออดอ้อนให้บรรดาประเทศต่างๆในโลกให้ความเมตตาสงสารประเทศกัมพูชา โดยชี้ว่าประเทศไทยที่ใหญ่กว่าและมีกำลังรบมากกว่า เริ่มสงครามรังแกประเทศกัมพูชาซึ่งยากจนและมีกำลังรบด้อยกว่า อีกทั้งคงหยิบยื่นผลประโยชน์ในเรื่องน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นเครื่องมือในการต่อรองและโน้มน้าวให้ประเทศที่ชักชวนมารักษาความสงบบริเวณชายแดนสนับสนุนกัมพูชา
ประการที่สาม ฮุนเซนคิดอาศัยความเดือดร้อนของประชาชนไทยเป็นเครื่องมือในการโจมตีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะฮุนเซ็นเกลียดและกลัวพันธมิตรมาก สืบเนื่องมาจากความจริงที่พันธมิตรเปิดโปงฮุนเซนนั้นอาจทำให้ประชาชนกัมพูชาตื่นตัว และร่วมกันโค่นล้มฮุนเซนได้
ฮุนเซนยังทราบดีว่าคนในรัฐบาลไทย สื่อมวลชนไทยและนักวิชาการไทยบางส่วน เป็นพวกไร้สมองไร้ปัญญาในการวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการเกิดสงคราม คนเหล่านี้จะวิเคราะห์อย่างตื้นเขินและไร้เดียงสา ว่าสาเหตุการสู้รบที่ทำให้คนไทยบาดเจ็บล้มตายเกิดจากการที่พันธมิตรชุมนุมประท้วงรัฐบาล ดังที่เราเห็นหลักฐานอย่างชัดเจนถึงวิธีคิดแบบนี้ของรัฐมนตรีบางคน สื่อมวลชนประเภทฟรีทีวีบางช่องที่สัมภาษณ์ชี้นำชาวบ้านว่าการชุมนุมของพันธมิตรทำให้ฮุนเซนโกรธจึงสั่งให้ทหารยิงเข้าใส่คนไทย และการพูดและเขียนของนักวิชาการที่ไร้สำนึกแห่งความเป็นชาติกลุ่มหนึ่ง
นักวิชาการที่ไร้สำนึกแห่งความเป็นชาติ เช่น นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็นตัวอย่างที่สะท้อนวิธีคิดแบบนี้อย่างชัดเจน เขากล่าวว่า “สงครามของคนที่ไม่ได้อยู่ชายแดนก่อ คนก่อคือคนอยู่เมืองหลวง ใช้การเมืองเพื่อประโยชน์ของตนเอง “ ซึ่งโดยนัยก็คือการกล่าวหาว่าพันธมิตรเป็นผู้ก่อสงคราม โดยหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ตรรกะแบบนี้ ผมประหลาดใจว่า ภาวะความเป็นนักวิชาการของชาญวิทย์และกลุ่มของเขายังหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่ เพราะดูเต็มไปด้วยอคติและบิดเบือนเกินกว่าที่จะยอมรับได้ คนเหล่านี้จึงเป็นได้แค่เครื่องมือหรือผู้รับใช้อย่างดีของฮุนเซนที่ใช้ในการทำลายประชาชนไทยผู้รักชาติเท่านั้น
ผู้รับใช้หรือผู้เป็นแนวร่วมของฮุนเซนในประเทศไทยจึงมีจำนวนไม่น้อย บ้างก็อาจเกิดจากความไร้เดียงสาตามไม่ทันเล่ห์เพทุบายของฮุนเซน บ้างก็ขาดสำนึกแห่งความเป็นชาติ บ้างก็อาจจะมีผลประโยชน์ร่วมกับฮุนเซน บ้างก็อาจมีความคลั่งไคล้หลงใหลวัฒนธรรมและอารยธรรมของกัมพูชา หรืออาจเป็นไปได้ว่ามีสำนึกแห่งความเป็นชนชาติกัมพูชามากกว่าสำนึกแห่งความเป็นชนชาติไทย คนพวกนี้จึงมักประณามผู้ที่รักชาติว่าเป็นผู้คลั่งชาติ ทั้งที่การกระทำของพวกเขาก็จะท้อนภาวะของการคลั่งชาติไม่แพ้กัน แต่เป็นการคลั่งชาติกัมพูชามากกว่าไทย
มิฉะนั้นคงไม่ไปเชิญเอกอัครราชฑูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมาพูดในงานสัมมนาที่จัดขึ้นในใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย ทั้งที่ทหารของกัมพูชาได้เพิ่งฆ่าคนไทยและทหารไทยตาย เลือดยังมิทันแห้ง ศพยังมิทันเผา น้ำตายังไม่ทันเหือดแห้ง บ้านยังไม่มีให้อาศัย ถิ่นที่อยู่ถูกทำลาย ประสบกับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส พวกนี้ก็ย่ำยีเหยียบย่ำหัวใจคนไทยด้วยการเชิดชูตัวแทนของประเทศที่ทำร้ายคนไทย ช่างน่าอัปยศเสียจริง
สำนึกแห่งความเป็นชาติไทยของคนเหล่านี้คงหายไปพร้อมกับกระสุนนัดแรกที่ลั่นออกมาจากปากกระบอกปืนใหญ่ของกัมพูชา หรืออาจจะหายไปตั้งแต่รับเงินของกระทรวงต่างประเทศก็เป็นไปได้
และสิ่งที่ทูตคนนี้พูดในประโยคสุดท้ายคือ “ขอฝากเอาไว้กับทางมหาวิทยาลัยผู้ให้ความรู้ สอนนักเรียนด้วยเนื้อหาประวัติศาสตร์ที่แท้จริงเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจและมีอคติที่ผิดๆ ฝังใจ" ซึ่งแปลความได้ว่าปัจจุบันมหาวิทยาลัยไทยคงสอนนักศึกษาด้วยเนื้อหาประวัติศาสตร์ที่เป็น “เท็จ” อันที่จริงน่าจะถามทูตคนนี้ว่ามหาวิทยาลัยใดที่เธอทราบมาว่า สอนประวัติศาสตร์ที่เป็น “เท็จ” หรืออาจถามนายชาญวิทย์ ซึ่งเป็นผู้จัดงานนี้ซึ่งคงจะทราบดี
ผู้รับใช้ฮุนเซนจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม พยายามที่จะบิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี และสร้างกระแสอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมาว่าพันธมิตรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามขึ้นมา อาจมีชาวบ้านที่ไม่รับรู้ข้อมูลหรือมีข้อมูลไม่เพียงพอหลงเชื่ออยู่บ้าง แต่ผู้ที่จิตใจที่เปิดกว้างและรู้จักคิดวิเคราะห์ก็จะทราบและรู้เท่าทันเล่ห์กลของคนเหล่านี้ และคนไทยส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มเป็นอย่างนี้ จึงทำให้การสร้างกระแสเกลียดชังพันธมิตรจุดไม่ติด และนับวันผู้คนก็จะรู้ธาตุแท้และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกลุ่มบุคคลเหล่านี้มากขึ้น พอกันทีสำหรับพวก “นักลัทธิชุมชนจินตนาการสามานย์”
ข้างนักการเมืองและข้าราชการที่มีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษาแผ่นดินไทยก็ตามไม่ทันในชั้นเชิงการฑูตและการทหารของฮุนเซน ผู้ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับการทำสงครามและการเมืองระหว่างประเทศ จึงทำให้ไทยตกเป็นรองกัมพูชาอยู่หลายช่วงตัวในเวทีสากล ครั้นพวกรัฐบาลไม่มีปัญญาทำอะไรกับฮุนเซน ก็หันกลับมาแว้งกัดพันธมิตรผู้รักชาติด้วยการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อจัดการกับผู้ชุมนุมตามคำสั่งที่ได้รับจากฮุนเซน (ตามที่หนังสือกัมพูชาฉบับหนึ่งระบุไว้)
หรือว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลไทยก็กลายเป็นผู้รับใช้ฮุนเซนด้วย
หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทยจึงยอมรับฟังคำสั่งจากฮุนเซนอย่างเชื่องๆให้มาจัดการสลายการชุมนุมของพันธมิตร
หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทยจึงยอมเสียเปรียบกัมพูชา ปล่อยให้กัมพูชารุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยได้อย่างตามใจชอบ
หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทยจึงไม่ประณามกัมพูชาที่ยิงปืนใหญ่ทำร้ายชาวบ้านที่เป็นพลเมืองไทย
หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทยจึงจ้างนักวิชาการที่ไร้สำนึกแห่งความเป็นชาติ เพื่อเขียนเอกสารทำร้ายประเทศไทย
หากไม่ใช่ แล้วทำไมรัฐบาลไทย จึงพยายามร้ายป้ายสีพันธมิตรว่าเป็นผู้ก่อสงคราม ทั้งที่ผู้ก่อสงครามตัวจริงคือฮุนเซนและรัฐบาลกัมพูชา
มันช่างน่าอนาถใจจริงยิ่งนัก สำหรับประเทศไทยและประชาชนไทยที่ต้องมีรัฐบาลภายใต้การบงการของฮุนเซน
น่าจะถึงเวลาที่ประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินทั้งมวลต้องประสานใจและประสานเสียงตะโกนออกมาดังๆว่าพอกันที สำหรับนักการเมืองผู้อ่อนแอเกินกว่าที่จะปกป้องประโยชน์และศักดิ์ศรีของชาติและประชาชน พอกันที สำหรับนักการเมืองผู้ฉ้อฉลและผู้หวังประโยชน์จากฮุนเซน และการค้าชายแดน และพอกันทีสำหรับนักการเมืองและนักวิชาการที่ไร้ความสำนึกแห่งความเป็นชาติ
หมดเวลาของพวกท่านแล้ว