“กษิต” ยันยึดหลักเจรจาจะ 10 ปีหรือ 90 ปีก็ต้องคอย และจำเป็นต้องใช้เอ็มโอยู43 เพราะเป็นเอกสารบ่งบอกว่าจะให้เจรจากันอย่างไร ช่างคิดสื่อไทยอิสระเยอะ เล็งเสนอข่าวเกี่ยวกับความมั่นคง ผ่านช่อง 5 ลั่นไม่ใช่สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ทำกริ้วถามสนุก สะใจไหม ก่อนโยนบาปให้คนกดดัน รบ.ว่าเป็นชนวนให้เกิดสงคราม
scrolling=no src="/Multimedia/VDO.aspx?id=5540000018453">
เมื่อวันที่ 8 ก.พ. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกรายการพิเศษผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง NBT ถึงกรณีความคืบหน้าสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ว่ายังสนับสนุนการเจรจาระดับทวิภาคี เพราะต่อให้ยื่นเรื่องไปที่สหประชาชาติ หรือศาลโลก อย่างไรก็ต้องกลับมาเจรจาที่คู่กรณีอยู่ดี อีกอย่างเราอยู่ในครอบครัวของอาเซียน คนที่เป็นประธานอาเซียนอย่างประเทศอินโดนีเซีย เขาก็อยากช่วยให้ทั้งสองฝ่ายแก้ปัญหาได้ อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ทั้งตนและนายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา เห็นตรงกันอยากให้เจรจาสองฝ่าย และได้ทาบทามกันแล้วว่าจะหารือกันในประเทศที่สาม ไม่มีความจำเป็นที่ประเทศอาเซียนจะต้องเข้ามายุ่ง เพราะเรายังมีสถานทูต มีโทรศัพท์พูดคุยกันได้ และเรายังมีคณะกรรมาธิการร่วมเศรษฐกิจ กรรมาธิการร่วมเขตแดน (เจบีซี) สำหรับในส่วนเจบีซีเราจะประชุมกันที่กรุงเทพฯในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์นี้
อย่างไรก็ดี ตนกับเขมร และประธานอาเซียน เห็นพ้องต้องกันคือ สันติ ใช้หลักเจรจา โดยอาเซียนจะเป็นต้วสนับสนุนให้การเจรจาเคลื่อนไหว เมื่อสหประชาชาติได้ฟังอย่างนี้แล้ว ตนเชื่อว่าเขาอาจเห็นว่าไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเข้ามาแทรกแซง และตอนที่ตนประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ที่เสียมราฐ เราไม่รู้ว่าจะมีการปะทะ เชื่อว่าการปะทะกันเกิดเพราะความบังเอิญ ซึ่งต่างคนต่างสร้างถนนที่จะขึ้นไปเขาวิหาร อย่างไรก็ดี ในที่สุดผู้นำย่อมรู้ดีว่าการสู้รบไม่ได้เป็นช่องทางแก้ปัญหา จะเห็นได้จากการปะทะที่ผ่านมายังจำกัดอยู่เฉพาะที่เขาวิหาร
“อยากถามว่าทหารไทยที่ตายไป 1 นาย บาดเจ็บ 10 คน ชาวบ้าน 15,000 คนที่ต้องอพยพ สะใจหรือเปล่าครับของบางกลุ่มบางคน สนุกหรือครับการทำสงคราม แล้วใครต้องมารับภาระอีก 15,000 คน ที่เขาต้องมานอนที่ลานวัด งบประมาณที่เอาเข้าไปก็เป็นภาษีของประชาชนทั้งนั้น” นายกษิตกล่าว
นายกษิตกล่าวต่อว่า เราไม่ได้มีเจตนารุกราน เราไม่ได้ทำสงครามสื่อ ไม่ได้ทำสงครามการสู้รบ ต้องเข้าใจตรงกันว่าในระบบของกัมพูชารัฐบาลสั่งสื่อได้ เมื่อข่าวเขาออกมาสื่อไทยก็ช่วยเผยแพร่ด้วย ส่วนของเรามีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ วันนี้เราได้พยายามปรับตัวแล้ว ว่าศูนย์กลางการให้ข่าวเกี่ยวกับความมั่นคงจะผ่าน ช่อง 5 และช่อง 11 นอกจากนี้ เรายังส่งเจ้าหน้าที่จากกรมสาลนิเทศ ที่เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษประกบโฆษกของกองทัพ ชี้แจงให้ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ชวนเชื่อหรือเร้าอารมณ์ และรัฐบาลนี้ไม่ประสงค์จะทำเช่นนั้น นอกจานี้ศาลนิเทศของเราจะบรรยายต่อผู้สื่อข่าวเป็นระยะทั้งไทยและเทศ สถานทูตของเราทั่วโลก ทราบเรื่องหมด สามารถพูดต่อกับประเทศเจ้าบ้านได้ เราไม่ได้ตั้งรับ การข่าวเราทำเต็มที่ ทั้งในหมู่อาเซียน กรุงปารีส นครนิวยอร์ก การเคลื่อนไหวทั้งนายกฯ มติ ครม. พูดอย่างไรจะมีการป้อนข้อมูลตลอดเวลา ยืนยันกันทั้งสองฝ่ายจะให้การหยุดยิงเป็นการหยุดยิงที่แท้จริง ซึ่งต้องถามกลับไปที่ฝ่ายเราและฮุนเซนมีอะไรมากกว่าที่ทะเลาะกันตรงปราสาทเขาวิหารหรือเปล่า ทางกัมพูชาต้องตอบคำถามโลกที่ยิงใส่ปืนใส่พลเรือนไทย และยิงปืนจากปราสาทเขาวิหาร เมื่อบอกว่าเป็นมรดกโลกแล้วทำไมเอาทหารไปตั้งไว้ที่นั้น
ส่วนประเด็นเขตแดนเขาวิหารมีกลไกของมันอยู่แล้ว จะช้าจะเร็วก็เป็นเรื่องจะต้องมีความอดทน ตนได้บอกไปแล้วหลายครั้ง ว่า การเจรจาเขตแดนแบบนี้ของทั่วโลกไม่ใช่ 3 วันเสร็จ แต่มันเป็น 30 ปี 50 ปี 60 ปี 90 ปี ก็ตั้งหลายประเทศ หากมันไปไม่ได้จริงๆ เราก็ไม่ได้กลัวที่จะกลับไปที่ศาลโลก เรามีสติปัญญา มีมันสมอง ก็ต้องสู้กัน เรามีหลักกฎหมายมีเหตุผล และยึดหลักสันปันน้ำตลอดเวลา เรื่องว่าจะทำอย่างไร เราได้มีการเตรียมบุคลากรไปจ้างนักกฎหมายต่างประเทศชั้น 1 ของโลก จำนวน 3 คน
นายกษิตกล่าวว่า ไทยยังจำเป็นต้องใช้เอ็มโอยู 43 เพราะเป็นเอกสารบ่งบอกว่าจะให้เจรจากันอย่างไร หากฉีกแล้วจะให้เอาทหารประชิดต่างคนต่างเข้ายึดหรือ ที่ผ่านมาเราได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถป้องกันอธิปไตยของเราไว้ได้ เรามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งตนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โทรศัพท์พูดคุยพบปะกันตลอดเวลา ด้านปลัดกระทรวงกับทางแม่ทัพก็พบปะพูดคุยกัน