ภาพคนไทยนับหมื่นคน ต้องอพยพหนีตายออกจากบ้านเกิดของตัวเองไปยังสถานที่ปลอดภัย หลังจากเขมรเหี้ยมจงใจใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานทางการทหารโจมตีใส่พลเรือนของไทยจนมีราษฎรผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตไป 1 ราย ประเทศไทยต้องสูญเสียทหารกล้าไปอีก 2 นาย
คงเป็นเครื่องเตือนสติ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งมักจะยืนยันผ่านสาธารณะเสมอมาว่า ทหารในพื้นที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ดีว่า แท้จริงแล้วภายใต้มิตรภาพที่มีรอยยิ้มฉาบหน้ากัมพูชาซ่อนมีดไว้ข้างหลัง ซุกระเบิดไว้ในปราสาทเตรียมถล่มไทยอยู่ตลอดเวลา
ความจริงจากสมรภูมิว่าด้วยการปกป้องอธิปไตยชาติไทยมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิได้สะท้อนถึงปัญหาการเมืองระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังทำให้เราได้เห็นภาพชัดเจนถึงสภาพปัญหาการเมืองภายในของกัมพูชาที่ซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบ และอาจจะปะทุขึ้นมาจนสะเทือนบัลลังก์แห่งอำนาจของ ฮุนเซน ในระยะเวลาอันใกล้นี้
มีอะไรที่เป็นตัวบ่งบอกว่า การครองอำนาจยาวนานของ ฮุนเซน กำลังถูกท้าทายครั้งสำคัญ
1.ฮุน เซนวางแผนผลักดันลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสองคน คือ พล.ท. ฮุน มาเน็ต และ พล.จ. ฮุน มณี ให้เป็นทายาทสืบทอดอำนาจ โดยวางบทบาทให้ทั้งสองคนเข้าคุมกำลังทหาร ซึ่งถือเป็นฐานสำคัญในการค้ำบัลลังก์อำนาจเผด็จการของฮุน เซน แต่ในขณะเดียวกันก็มีคลื่นใต้น้ำในกองทัพกัมพูชาเองที่ไม่พอใจต่อการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ พล.ท.ฮุน มาเนต และ พล.จ. ฮุน มณีที่อาศัยบารมีพ่อเป็นใหญ่ในกองทัพ
สองลูกชายของฮุน เซน หวังใช้สมรภูมิรบคราวนี้เป็นบันไดสร้างชื่อเพิ่มบารมีให้แก่ตัวเอง ปูทางไปสู่การสืบทอดอำนาจ ถึงขนาดเปิดหน้าเพื่อให้มีการถ่ายภาพสู่สาธารณะว่าเดินทางไปบัญชาการรบถึงแนวปะทะ ที่น่าสนใจคือ หลังจากนั้นเมื่อเกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาก็มีการปล่อยข่าวจากฝั่งกัมพูชาทันทีว่า ลูกชายคนเล็กของฮุน เซนคือ พล.จ.ฮุน มณี บาดเจ็บสาหัสจากการปะทะกันดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่ความจริงทั้งสองคนอยู่ไกลจากพิกัดที่ถูกทหารไทยโจมตีถึงเกือบ 70 กิโลเมตร
แน่นอนว่า ข่าวที่ออกมาย่อมไม่เป็นผลดีต่อขวัญกำลังใจสำหรับกองทัพกัมพูชา แต่ทำไมจึงมีการปล่อยข่าวนี้ออกมาจากแนวรบของกัมพูชา ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการดิสเครดิตลูกชายฮุน เซนว่า บัญชาการรบล้มเหลวจนนำไปสู่ความพ่ายแพ้ย่อยยับของกัมพูชา
ซึ่งมีการปล่อยข่าวตัวเลขทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตจากการปะทะกัน 4 รอบว่า อยู่ในตัวเลขหลักร้อย ไม่นับพลเรือนอีกเกือบ 30 ศพ โดยทั้งหมดล้วนเป็นคนในครอบครัวของทหารกัมพูชาทั้งสิ้น เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของทหารกัมพูชาจะนำเอาครอบครัวมาอยู่ด้วยกัน เมื่อถูกทหารไทยตอบโต้ไปยังจุดที่ตั้งทางการทหารของกัมพูชาก็ทำให้ครอบครัวทหารกัมพูชาถูกลูกหลงไปด้วย
2. การจงใจยิงเข้าใส่พลเรือนไทย อาจเป็นความแตกแยกที่เกิดขึ้นภายในกองทัพของกัมพูชาที่ต้องการสร้างปัญหา ทำให้ ฮุน เซน ล้มเหลวในการเดินหมากการเมืองระหว่างประเทศ เพราะชาติที่พึ่งประเทศที่สามมาโดยตลอดอย่างกัมพูชา ย่อมรู้ดีถึงกฎเกณฑ์ตามหลักสากลว่าการปะทะที่ชอบธรรมและอธิบายต่อนานาชาติได้ควรจะเป็นอย่างไร
ที่สำคัญคือ ทำไมจึงยอมปล่อยให้มีการถ่ายภาพการใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานทหารจนสื่อมวลชนนำภาพมาเสนอต่อสาธารณะมัดกัมพูชาว่า ทำผิดอนุสัญญากรุงเฮกด้วยการตั้งกองกำลังทหารบริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหารที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า มีหนอนบ่อนไส้ที่กัดกินเนื้อในกองทัพกัมพูชาสั่นคลอนอำนาจของฮุน เซนอยู่ และเริ่มแผลงฤทธิ์เดินหมากให้ ฮุน เซน ล้มเหลวทั้งทางการทหารและการเมืองระหว่างประเทศ
3. ผลจากการปะทะกันครั้งนี้ ยังทำให้ ฮุน เซน ที่ต้องการยกระดับปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาให้สหประชาชาติยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวต้องพังพาบไปอย่างไม่เป็นท่า เพราะทั้งสหประชาชาติและอาเซียนยังยืนยันให้สองประเทศเจรจาในระดับทวิภาคี ที่สำคัญ คือ ผลจากเหตุการณ์นี้ยังทำให้การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกกำลังถูกจับจ้องอย่างหนัก จนเป็นแรงกดดันที่อาจทำให้คณะกรรมการมรดกโลกต้องทบทวนการขึ้นทะเบียนดังกล่าว หรืออย่างน้อยที่สุด แผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารที่จะมีการพิจารณาในคณะกรรมการมรดกโลกเดือนมิถุนายนนี้ย่อมต้องชะงักไปอย่างแน่นอน
ความล้มเหลวทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น ย่อมสั่นคลอนอำนาจของ ฮุน เซน อย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมา ฮุน เซนสร้างกระแสรักชาติผ่านการเขกกบาลไทย เรียกคะเนนนิยมทางการเมืองภายในประเทศของตัวเองมาโดยตลอด และประเด็นขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกก็คือธงนำที่ฮุน เซนถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง
ดังนั้นเมื่อวิมานที่วาดไว้กำลังทลายลง ไม่เป็นไปดังที่หวัง ย่อมเกิดแรงกดดันจากชาวกัมพูชาต่อรัฐบาลของฮุน เซนอย่างรุนแรงด้วยเช่นเดียวกัน
ฮุน เซน ในวันนี้จึงไม่ต่างอะไรกับคนแก่ที่กำลังจะหมดบุญเก่า อย่าคิดว่าอำนาจที่ยึดครองมายาวนานจะไม่มีวันสิ้นสุด และไม่แน่ว่าวันแห่งการสิ้นสุดที่ทายาทไม่มีโอกาสได้สืบทอดอาจจะมาถึงเร็ว จน ฮุน เซน ก็อาจตั้งตัวไม่ทัน
คงเป็นเครื่องเตือนสติ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งมักจะยืนยันผ่านสาธารณะเสมอมาว่า ทหารในพื้นที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ดีว่า แท้จริงแล้วภายใต้มิตรภาพที่มีรอยยิ้มฉาบหน้ากัมพูชาซ่อนมีดไว้ข้างหลัง ซุกระเบิดไว้ในปราสาทเตรียมถล่มไทยอยู่ตลอดเวลา
ความจริงจากสมรภูมิว่าด้วยการปกป้องอธิปไตยชาติไทยมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิได้สะท้อนถึงปัญหาการเมืองระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังทำให้เราได้เห็นภาพชัดเจนถึงสภาพปัญหาการเมืองภายในของกัมพูชาที่ซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบ และอาจจะปะทุขึ้นมาจนสะเทือนบัลลังก์แห่งอำนาจของ ฮุนเซน ในระยะเวลาอันใกล้นี้
มีอะไรที่เป็นตัวบ่งบอกว่า การครองอำนาจยาวนานของ ฮุนเซน กำลังถูกท้าทายครั้งสำคัญ
1.ฮุน เซนวางแผนผลักดันลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสองคน คือ พล.ท. ฮุน มาเน็ต และ พล.จ. ฮุน มณี ให้เป็นทายาทสืบทอดอำนาจ โดยวางบทบาทให้ทั้งสองคนเข้าคุมกำลังทหาร ซึ่งถือเป็นฐานสำคัญในการค้ำบัลลังก์อำนาจเผด็จการของฮุน เซน แต่ในขณะเดียวกันก็มีคลื่นใต้น้ำในกองทัพกัมพูชาเองที่ไม่พอใจต่อการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ พล.ท.ฮุน มาเนต และ พล.จ. ฮุน มณีที่อาศัยบารมีพ่อเป็นใหญ่ในกองทัพ
สองลูกชายของฮุน เซน หวังใช้สมรภูมิรบคราวนี้เป็นบันไดสร้างชื่อเพิ่มบารมีให้แก่ตัวเอง ปูทางไปสู่การสืบทอดอำนาจ ถึงขนาดเปิดหน้าเพื่อให้มีการถ่ายภาพสู่สาธารณะว่าเดินทางไปบัญชาการรบถึงแนวปะทะ ที่น่าสนใจคือ หลังจากนั้นเมื่อเกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาก็มีการปล่อยข่าวจากฝั่งกัมพูชาทันทีว่า ลูกชายคนเล็กของฮุน เซนคือ พล.จ.ฮุน มณี บาดเจ็บสาหัสจากการปะทะกันดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่ความจริงทั้งสองคนอยู่ไกลจากพิกัดที่ถูกทหารไทยโจมตีถึงเกือบ 70 กิโลเมตร
แน่นอนว่า ข่าวที่ออกมาย่อมไม่เป็นผลดีต่อขวัญกำลังใจสำหรับกองทัพกัมพูชา แต่ทำไมจึงมีการปล่อยข่าวนี้ออกมาจากแนวรบของกัมพูชา ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการดิสเครดิตลูกชายฮุน เซนว่า บัญชาการรบล้มเหลวจนนำไปสู่ความพ่ายแพ้ย่อยยับของกัมพูชา
ซึ่งมีการปล่อยข่าวตัวเลขทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตจากการปะทะกัน 4 รอบว่า อยู่ในตัวเลขหลักร้อย ไม่นับพลเรือนอีกเกือบ 30 ศพ โดยทั้งหมดล้วนเป็นคนในครอบครัวของทหารกัมพูชาทั้งสิ้น เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของทหารกัมพูชาจะนำเอาครอบครัวมาอยู่ด้วยกัน เมื่อถูกทหารไทยตอบโต้ไปยังจุดที่ตั้งทางการทหารของกัมพูชาก็ทำให้ครอบครัวทหารกัมพูชาถูกลูกหลงไปด้วย
2. การจงใจยิงเข้าใส่พลเรือนไทย อาจเป็นความแตกแยกที่เกิดขึ้นภายในกองทัพของกัมพูชาที่ต้องการสร้างปัญหา ทำให้ ฮุน เซน ล้มเหลวในการเดินหมากการเมืองระหว่างประเทศ เพราะชาติที่พึ่งประเทศที่สามมาโดยตลอดอย่างกัมพูชา ย่อมรู้ดีถึงกฎเกณฑ์ตามหลักสากลว่าการปะทะที่ชอบธรรมและอธิบายต่อนานาชาติได้ควรจะเป็นอย่างไร
ที่สำคัญคือ ทำไมจึงยอมปล่อยให้มีการถ่ายภาพการใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานทหารจนสื่อมวลชนนำภาพมาเสนอต่อสาธารณะมัดกัมพูชาว่า ทำผิดอนุสัญญากรุงเฮกด้วยการตั้งกองกำลังทหารบริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหารที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า มีหนอนบ่อนไส้ที่กัดกินเนื้อในกองทัพกัมพูชาสั่นคลอนอำนาจของฮุน เซนอยู่ และเริ่มแผลงฤทธิ์เดินหมากให้ ฮุน เซน ล้มเหลวทั้งทางการทหารและการเมืองระหว่างประเทศ
3. ผลจากการปะทะกันครั้งนี้ ยังทำให้ ฮุน เซน ที่ต้องการยกระดับปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาให้สหประชาชาติยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวต้องพังพาบไปอย่างไม่เป็นท่า เพราะทั้งสหประชาชาติและอาเซียนยังยืนยันให้สองประเทศเจรจาในระดับทวิภาคี ที่สำคัญ คือ ผลจากเหตุการณ์นี้ยังทำให้การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกกำลังถูกจับจ้องอย่างหนัก จนเป็นแรงกดดันที่อาจทำให้คณะกรรมการมรดกโลกต้องทบทวนการขึ้นทะเบียนดังกล่าว หรืออย่างน้อยที่สุด แผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารที่จะมีการพิจารณาในคณะกรรมการมรดกโลกเดือนมิถุนายนนี้ย่อมต้องชะงักไปอย่างแน่นอน
ความล้มเหลวทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น ย่อมสั่นคลอนอำนาจของ ฮุน เซน อย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมา ฮุน เซนสร้างกระแสรักชาติผ่านการเขกกบาลไทย เรียกคะเนนนิยมทางการเมืองภายในประเทศของตัวเองมาโดยตลอด และประเด็นขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกก็คือธงนำที่ฮุน เซนถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง
ดังนั้นเมื่อวิมานที่วาดไว้กำลังทลายลง ไม่เป็นไปดังที่หวัง ย่อมเกิดแรงกดดันจากชาวกัมพูชาต่อรัฐบาลของฮุน เซนอย่างรุนแรงด้วยเช่นเดียวกัน
ฮุน เซน ในวันนี้จึงไม่ต่างอะไรกับคนแก่ที่กำลังจะหมดบุญเก่า อย่าคิดว่าอำนาจที่ยึดครองมายาวนานจะไม่มีวันสิ้นสุด และไม่แน่ว่าวันแห่งการสิ้นสุดที่ทายาทไม่มีโอกาสได้สืบทอดอาจจะมาถึงเร็ว จน ฮุน เซน ก็อาจตั้งตัวไม่ทัน