00 การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ที่บริเวณชายแดนด้านประสาทพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ตรงพิกัด “ภูมะเขือ” เมื่อบ่ายวันที่ 4 ก.พ. หลังจากที่ฝ่ายกัมพูชาเริ่มเปิดฉากยิงใส่ทหารไทยก่อน สร้างความเสียหายทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะชุมชนของราษฎรไทย ที่ถูกระเบิดของทหารกัมพูชาจงใจยิงถล่มพังยับ ชาวบ้านเสียชีวิต และบาดเจ็บหลายคน
00 อย่างไรก็ดี นั่นเป็นข้อเท็จจริงที่เมื่อมีการปะทะก็ต้องมีการสูญเสียอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นดังกล่าว นั่นเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนและ “ตบหน้า” นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างจังว่า “เอ็มโอยู 43” ที่ยึดถือเอาไว้ดุจ “คัมภีร์” ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์จริง ข้ออ้างที่บอกว่าจะไม่ทำให้เกิดสงคราม และยึดสันตินั้นโกหกหลอกลวงด้วยเจตนา “ซ่อนเร้น” เท่านั้น
00 ภาพรวมจากการปะทะกันดังกล่าวในความเป็นจริงจะเป็นอย่าง ฝ่ายไหนเจ็บตายเท่าไหร่ยังไม่อาจหาความจริงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องออกข่าวปลุกขวัญของตัวเองเอาไว้ก่อน แต่ภาพโดยรวมแล้ว ถือว่าฝ่ายไทย ซึ่งย่อมหมายถึง รัฐบาลไทย และทหารไทย “ไม่ได้ภาพเป็นบวก” เลยแม้แต่น้อย ผู้นำกองทัพไม่ได้แสดงความกล้าหาญให้ได้ชื่นชมเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับสร้างภาพ “กังขา” ให้เกิดขึ้นในหัวใจคนไทยเพิ่มขึ้นมาอีก
00 เพราะแทนที่ไหนๆ ก็เกิดการปะทะ เกิดความเสียหาย เกิดความสูญเสีย และไม่ว่าฝ่ายไหนจะจงใจด้วยเหตุผลใดก็ตาม หรือจะอ้างเอาตามที่ “เทพเทือก” บอกว่าเป็น “อุบัติเหตุ” ก็ได้ แทนที่ทหารไทย รัฐบาลไทยจะใช้โอกาสช่วง “ชุลมุน” รุกคืบเข้าไป “เคลียร์พื้นที่” ที่เป็นปัญหา อย่างน้อยก็พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารให้ได้โดยเร็ว จากนั้นค่อยเจรจาหยุดยิง เหมือนกับไปยืนยันเอาไว้ก่อน อย่างน้อย เพื่อปิดทางไม่ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้สำเร็จ แต่นี่ควันปืนใหญ่ยังไม่ทันจาง ก็สั่งให้แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร รุดไปเจรจา “หยุดยิง” ทันที
00 แต่ที่อดสูไปกว่านั้นก็คือ ฝ่ายไทยได้ “ทำลายศักดิ์ศรี” ของชาติตัวเองด้วยการ “หยุดยิงฝ่ายเดียว” ความหมายก็เหมือนกับการ “ขอสงบศึก” มันก็ไม่ต่างจากการ “ยอมแพ้” เขมร นั่นเอง ซึ่งเป็นคำแถลงของ กษิต ภิรมย์ ระหว่างไปร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเจรจาทวิภาคี (เจซี) ที่ เสียมราฐ ในวันเดียวกัน และเป็นการแถลงแทบจะเกิดขึ้นทันที หลังการปะทะของทหารได้ไม่นาน แถมเกมการเมืองระหว่างประเทศ ก็แพ้หมดรูป เพราะหลังกระสุนนัดแรกออกจากกระบอกปืนแขมร์ มันก็รีบฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น เอาไว้ก่อน หาว่าไทยรุกราน แต่ กระทรวงต่างประเทศไทย กว่าจะตั้งสติ ออกแถลงการณ์ตอบโต้ต้องรอนานเป็นวัน
00 คำถามก็คือ การรีบเจรจาของฝ่ายไทยเกิดขึ้นเพราะกลัวจะ “เสียผลประโยชน์” หรือไม่ ผลประโยชน์จากการ “สวมตอ” ต่อมาจาก ทักษิณ ที่คนในรัฐบาลนี้ ทั้ง “คนหน้าดำ-ทหารหมูอ้วน” ไป “รับงาน” มาทำต่อ แต่บังเอิญว่า มันเกิดอุบัติเหตุ “ปืนลั่น” ตามแนวชายแดนเสียก่อนหรือเปล่า เมื่อกลัวว่าตัวเองจะ “เสียรายได้” จึงต้องรีบทำทุกทาง รีบดับไฟ เรื่องก็เป็นอย่างนี้แล และถ้าสงสัยขึ้นมาก็อย่าไปถาม รองนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณ กับรมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นอันขาด เพราะสองคนนี้เขาคงไม่รู้เรื่องอะไรหรอก
00 ไม่น่าเชื่อว่า เพียงแค่ไม่กี่วันด้วยบทบาทที่ผิดเพี้ยน การประเมินสถานการณ์ผิด ทำให้ภาพ “วีรบุรุษ” ผู้ “ปกป้องสถาบัน” กลายพันธุ์ เป็นตรงกันข้าม “ติดลบ” เพียงแค่ชั่วข้ามคืน ภาวะผู้นำทหารที่เคยคิดว่าเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว แต่คำพูดที่ออกมาจากปากหลังการปะทะที่ออกมาในทำนอง “หาเรื่อง” กับคนไทยด้วยกัน ทำให้ความศรัทธาลดฮวบฮาบ อย่างไม่น่าเชื่อ
00 นาทีนี้คนที่ต้องนอนเอาเท้าก่ายหน้าผากอีกคนก็น่าจะเป็น “หน้าหล่อ-มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถูกมติมหาชนพันธมิตรฯ ขับไล่ให้พ้นจากตำแหน่ง จากสารพัดข้อหา ทั้งโกหก อ่อนแอ ไร้ความสามารถ สมคบกับคนขายชาติ คิดแต่ผลประโยชน์ ฯลฯ ใครจะไปนึกว่าได้ขึ้นมาเป็นนายกฯเพราะประชาชนผลักดัน แต่เมื่อได้ตำแหน่งแล้วลืมที่มา ไม่รักษาคำพูดยอมตกเป็น “หุ่นเชิด” ของพวกฉ้อฉล มันก็ต้องไปวันยังค่ำ ที่ผ่านมาถูก “แดง” ไล่ มาคราวนี้ถูก “เหลือง” ไล่ซ้ำอีกแล้วมันจะอยู่อย่างไร !!
00 คงบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่า คนที่ชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ต้องหนีให้ห่างจริงๆ เพราะสร้างความวิบัติ หรือทำลายความมั่นคงให้กับรัฐบาลมาทุกยุค ในยุค ชวน หลีกภัย ก็พาพังจากเรื่อง ส.ป.ก.4-01 ในยุคอภิสิทธิ์ ก็กำลังจะพังจากเรื่องข้อกล่าวหาทุจริต-ขายอธิปไตย สารพัดเรื่อง !!
00 อย่างไรก็ดี นั่นเป็นข้อเท็จจริงที่เมื่อมีการปะทะก็ต้องมีการสูญเสียอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นดังกล่าว นั่นเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนและ “ตบหน้า” นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างจังว่า “เอ็มโอยู 43” ที่ยึดถือเอาไว้ดุจ “คัมภีร์” ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์จริง ข้ออ้างที่บอกว่าจะไม่ทำให้เกิดสงคราม และยึดสันตินั้นโกหกหลอกลวงด้วยเจตนา “ซ่อนเร้น” เท่านั้น
00 ภาพรวมจากการปะทะกันดังกล่าวในความเป็นจริงจะเป็นอย่าง ฝ่ายไหนเจ็บตายเท่าไหร่ยังไม่อาจหาความจริงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องออกข่าวปลุกขวัญของตัวเองเอาไว้ก่อน แต่ภาพโดยรวมแล้ว ถือว่าฝ่ายไทย ซึ่งย่อมหมายถึง รัฐบาลไทย และทหารไทย “ไม่ได้ภาพเป็นบวก” เลยแม้แต่น้อย ผู้นำกองทัพไม่ได้แสดงความกล้าหาญให้ได้ชื่นชมเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับสร้างภาพ “กังขา” ให้เกิดขึ้นในหัวใจคนไทยเพิ่มขึ้นมาอีก
00 เพราะแทนที่ไหนๆ ก็เกิดการปะทะ เกิดความเสียหาย เกิดความสูญเสีย และไม่ว่าฝ่ายไหนจะจงใจด้วยเหตุผลใดก็ตาม หรือจะอ้างเอาตามที่ “เทพเทือก” บอกว่าเป็น “อุบัติเหตุ” ก็ได้ แทนที่ทหารไทย รัฐบาลไทยจะใช้โอกาสช่วง “ชุลมุน” รุกคืบเข้าไป “เคลียร์พื้นที่” ที่เป็นปัญหา อย่างน้อยก็พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารให้ได้โดยเร็ว จากนั้นค่อยเจรจาหยุดยิง เหมือนกับไปยืนยันเอาไว้ก่อน อย่างน้อย เพื่อปิดทางไม่ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้สำเร็จ แต่นี่ควันปืนใหญ่ยังไม่ทันจาง ก็สั่งให้แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร รุดไปเจรจา “หยุดยิง” ทันที
00 แต่ที่อดสูไปกว่านั้นก็คือ ฝ่ายไทยได้ “ทำลายศักดิ์ศรี” ของชาติตัวเองด้วยการ “หยุดยิงฝ่ายเดียว” ความหมายก็เหมือนกับการ “ขอสงบศึก” มันก็ไม่ต่างจากการ “ยอมแพ้” เขมร นั่นเอง ซึ่งเป็นคำแถลงของ กษิต ภิรมย์ ระหว่างไปร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเจรจาทวิภาคี (เจซี) ที่ เสียมราฐ ในวันเดียวกัน และเป็นการแถลงแทบจะเกิดขึ้นทันที หลังการปะทะของทหารได้ไม่นาน แถมเกมการเมืองระหว่างประเทศ ก็แพ้หมดรูป เพราะหลังกระสุนนัดแรกออกจากกระบอกปืนแขมร์ มันก็รีบฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น เอาไว้ก่อน หาว่าไทยรุกราน แต่ กระทรวงต่างประเทศไทย กว่าจะตั้งสติ ออกแถลงการณ์ตอบโต้ต้องรอนานเป็นวัน
00 คำถามก็คือ การรีบเจรจาของฝ่ายไทยเกิดขึ้นเพราะกลัวจะ “เสียผลประโยชน์” หรือไม่ ผลประโยชน์จากการ “สวมตอ” ต่อมาจาก ทักษิณ ที่คนในรัฐบาลนี้ ทั้ง “คนหน้าดำ-ทหารหมูอ้วน” ไป “รับงาน” มาทำต่อ แต่บังเอิญว่า มันเกิดอุบัติเหตุ “ปืนลั่น” ตามแนวชายแดนเสียก่อนหรือเปล่า เมื่อกลัวว่าตัวเองจะ “เสียรายได้” จึงต้องรีบทำทุกทาง รีบดับไฟ เรื่องก็เป็นอย่างนี้แล และถ้าสงสัยขึ้นมาก็อย่าไปถาม รองนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณ กับรมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นอันขาด เพราะสองคนนี้เขาคงไม่รู้เรื่องอะไรหรอก
00 ไม่น่าเชื่อว่า เพียงแค่ไม่กี่วันด้วยบทบาทที่ผิดเพี้ยน การประเมินสถานการณ์ผิด ทำให้ภาพ “วีรบุรุษ” ผู้ “ปกป้องสถาบัน” กลายพันธุ์ เป็นตรงกันข้าม “ติดลบ” เพียงแค่ชั่วข้ามคืน ภาวะผู้นำทหารที่เคยคิดว่าเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว แต่คำพูดที่ออกมาจากปากหลังการปะทะที่ออกมาในทำนอง “หาเรื่อง” กับคนไทยด้วยกัน ทำให้ความศรัทธาลดฮวบฮาบ อย่างไม่น่าเชื่อ
00 นาทีนี้คนที่ต้องนอนเอาเท้าก่ายหน้าผากอีกคนก็น่าจะเป็น “หน้าหล่อ-มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถูกมติมหาชนพันธมิตรฯ ขับไล่ให้พ้นจากตำแหน่ง จากสารพัดข้อหา ทั้งโกหก อ่อนแอ ไร้ความสามารถ สมคบกับคนขายชาติ คิดแต่ผลประโยชน์ ฯลฯ ใครจะไปนึกว่าได้ขึ้นมาเป็นนายกฯเพราะประชาชนผลักดัน แต่เมื่อได้ตำแหน่งแล้วลืมที่มา ไม่รักษาคำพูดยอมตกเป็น “หุ่นเชิด” ของพวกฉ้อฉล มันก็ต้องไปวันยังค่ำ ที่ผ่านมาถูก “แดง” ไล่ มาคราวนี้ถูก “เหลือง” ไล่ซ้ำอีกแล้วมันจะอยู่อย่างไร !!
00 คงบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่า คนที่ชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ต้องหนีให้ห่างจริงๆ เพราะสร้างความวิบัติ หรือทำลายความมั่นคงให้กับรัฐบาลมาทุกยุค ในยุค ชวน หลีกภัย ก็พาพังจากเรื่อง ส.ป.ก.4-01 ในยุคอภิสิทธิ์ ก็กำลังจะพังจากเรื่องข้อกล่าวหาทุจริต-ขายอธิปไตย สารพัดเรื่อง !!