“พิภพ” สับ “ชาญวิทย์” โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว อย่ามองคนแค่ระบบการศึกษาหรือเทียบกับละครน้ำเน่า ไม่เช่นนั้น ปชช.ที่แสดงออกต่อรัฐก็เข้าข่ายนำไปสู่รัฐประหารหมด ซัดถ้าจะพูดต้องพูดให้หมด จะเป็นมรดกร่วมได้ต้องแบ่งเขตแดนเสร็จแล้ว และอย่าเบี่ยงประเด็น กรณีเขาวิหารไม่ได้อยู่ที่ใครสร้างแต่อยู่ที่เขตแดน รับเจรจาเป็นสิ่งดี แต่กรอบการเจรจามีเอ็มโอยู43 คำคอซึ่งไทยเสียเปรียบ
เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่พูดให้ร้ายพันธมิตรฯ ว่ามาชุมนุมมีเบื้องหลังต้องการนำไปสู่การปฏิวัติว่า เป็นการพูดที่ไม่สมกับเป็นนักวิชาการ ดูถูกประชาชน ท่านอาจสงสัยบางคนแต่ท่านจะพูดไม่ได้ว่าทุกคนที่มาชุมนุมต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะการยุให้ใครล้มล้างรัฐประหารอาจถูกข้อหากบฏเอาง่ายๆ
ทั้งนี้ จากที่เคยปะทะกันมาแล้วครั้งหนึ่ง ตนรู้ดีว่านายชาญวิทย์คิดอะไร นายชาญวิทย์กล้าเปิดเผยความคิดหรือไม่ว่าท่านต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรกันแน่ อย่ามาเที่ยวกล่าวหาผู้ชุมนุม หากคิดเหมือนคุณจะทำให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐ อยากตรวจสอบรัฐบาลจะชุมนุมประท้วงอย่างสันติตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ คงนำไปสู่การรัฐประหารหมด
“คุณชาญวิทย์ต้องเข้าใจว่า คุณล้าหลังมวลชน เวลาคุณมองมวลชนมองจากระบบการศึกษา ละครน้ำเน่า แต่คุณต้องรู้ว่าผู้ที่มาชุมนุมได้เปลี่ยนความคิดไปมากแล้ว วันนี้เรามีความรักชาติ ไม่ใช่คลั่งชาติ เราไม่ได้ต่อต้านให้เกลียดชาวกัมพูชา แต่เราต่อต้านนายกรัฐมนตรีเขมรที่มีลักษณะเผด็จการ และละเมิดสิทธิมนุษย์ชน คุณชาญวิทย์ทำไมไม่วิจารณ์ฮุนเซน ไหนว่าตัวเองเป็นนักประวัติศาสตร์”
นายพิภพกล่าวต่อว่า นายชาญวิทย์พูดว่าปราสาทเขาวิหารขอมเป็นคนสร้าง ต้องยกให้ขอมไป ถ้าอยางนั้นเราก็ต้องยกลพบุรี พิมายให้ขอมด้วยสิ จากข้อเท็จจริงแทบในทุกพื้นที่ มวลชนหลายชาติศาสนาย่อมปะปนกันอยู่ ย่อมทำให้เกิดความกลมกลืนทางวัฒนธรรม แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าไทยไม่ได้สร้างปราสาทเขาวิหาร และถ้าหากพูดถึงการสร้างเป็นหลัก เช่นนั้น ปราสาทต่างๆ ที่สร้างในสมัยขอมก็ต้องยกให้กัมพูชาทั้งหมดอย่างนั้นหรือ และเราต้องคืนให้ประเทศเพื่อนบ้านอีกเยอะแยะเลย ขณะเดียวกัน เราก็ต้องขอคืนด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ดี เรื่องปราสาทเขาวิหาร ประเด็นมันอยู่ที่ “เขตแดน” ซึ่งก็ได้มีการกำหนดเส้นเขตแดนไว้แล้วว่าใช้ “เส้นสันปันน้ำ” จึงถือว่าปราสาทเขาวิหารอยู่ในดินแดนไทย
ส่วนที่ นายชาญวิทย์พูดว่า โบราณสถานต่างๆ ควรเป็นมรดกร่วมกัน ตรงนี้มันก็ใช่ แต่มันต้องมีเจ้าของ ไม่ใช่กลายเป็นเจ้าของร่วมกัน กรณีอาร์เจนตินากับบราซิล มีน้ำตกอิกัวซู ร่วมกัน แต่คุณลืมบอกไปว่าเขตแดนเขาตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ขณะที่เขตแดนปราสาทเขาวิหารยังตกลงกันไม่ได้ แล้วจะให้เป็นมรดกร่วมได้อย่างไร
ทั้งนี้ ตนเห็นดวยกับการตกลงสันติวิธีโดยการเจรจา แต่อย่าลืมว่ากรอบการเจรจาถูกกำหนดให้ไทยเสียเปรียบ ตามเอ็มโอยู 43 โดยเปิดโอกาสให้กัมพูชาอ้างแผนที่ 1 : 200,000 ทำให้วันนี้กัมพูชาแสดงความเหิมเกริมออกมาชัดเจน เขมรใช้ แผนที่ 1 : 200,000 ยันพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ตนก็อยากถามนายชาญวิทย์ว่า แล้วการเจรจาเรื่องนี่จะลงเอยอย่างไร เมื่อเขมรรุกล้ำอธิปไตยไทย ไทยมีสิทธิหรือไม่ที่จะใช้กองทัพไปกดดัน ซึ่งคำว่ากดดันไม่ได้หมายความว่าต้องทำสงคราม หากคิดเช่นคุณเขมรคงลุกคืบไทยจะต้องยอมเสียดินแดนไปหมด
“เกิดการปะทะวันนี้มีสาเหตุอะไร ชาญวิทย์ต้องพูดให้หมด ทำไมไม่พูดว่าเขมรเอาสิทธิอะไรมาสร้างวัด ชุมชน ถนน แล้วพอไทยจะใช้สิทธิสร้างถนนในพื้นที่ที่เป็นของไทยเอง เขมรกลับยิงเข้ามา หาว่าเรากำลังก่อสงคราม อะไรกันแน่นักประวัติศาสตร์” นายพิภพกล่าว
นายพิภพกล่าวว่า ฮุนเซนเป็นคนไม่ปกติ หักหลังประชาชนชาวกัมพูชา หักหลังพวกพ้อง สามารถฆ่านักการเมืองของตัวเองได้ และตองการถ่ายทอดทำนาจให้ลูกของตัวเอง เมื่อเรารู้ลักษณะของฮุนเซนแล้ว หากนักวิชาการจะวิจารณ์หรือโต้ตอบกัมพูชา ต้องมองให้รอบด้าน ต้องเอาบุคลิคลักษณะของฮุนเซนนี้มาพิจารณาด้วยว่าเรากำลังสู้กับคนไม่ปกติ บ้าอำนาจ ต้องการสร้างกระแสนิยมให้ประชาชนตัวเองเพื่อกลบเลื่อนความจำนนต่อเวียดนาม