ทำไมพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงต้องแบกรับภารกิจสร้างชาติ?
หากมองพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเป็นเพียงพรรคการเมืองทั่วไป ตามนัยทางการเมืองของการเมืองที่เราคุ้นเคย เราจะไม่ได้คำตอบที่สอดคล้องกับสภาพเป็นจริงของประเทศจีน
ถ้าตีความตามความเข้าใจของพวกเรา ที่อิงอยู่กับทฤษฎีการเมืองแบบฝรั่ง โดยเฉพาะแบบอังกฤษและสหรัฐอเมริกา พรรคการเมืองมีฐานะและบทบาทเป็นเพียงกลุ่มการเมืองที่ต้องการชัยชนะในการเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาล บริหารประเทศ แต่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน มิได้เป็นพรรคการเมืองในความหมายดังกล่าว
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นมาบนฐานความคิดและหลักการต่อสู้ทางชนชั้นของคาร์ล มาร์กซ์ และวี.ไอ.เลนิน ที่บอกว่า พรรคการเมืองเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่สังกัดชนชั้นที่แน่นอน ดำเนินการทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตนและชนชั้นตนตั้งแต่ต้นจนปลาย โดยนัยดังกล่าว พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ซึ่งยึดมั่นในอุดมการณ์ลัทธิมาร์กซ์ ลัทธิเลนิน จึงมีความเป็นพรรคการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพจีน ดำเนินการต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อปลดปล่อยชนชั้นกรรมกรและผู้ใช้แรงงานที่ถูกเอารัดเอาเปรียบทั่วไป เพื่อนำไปสู่การปลดปล่อยมวลมนุษย์ออกจากการกดขี่ขูดรีดและความไม่รู้ในทุกๆ ด้าน
วิธีการของพวกเขา ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง ก็คือการปฏิวัติสังคมด้วยการใช้กำลังโค่นล้มอำนาจรัฐเก่าที่เป็นสังคมแบบเก่า แล้วสร้างอำนาจรัฐใหม่ในรูปของรัฐสังคมนิยม ดำเนินการพัฒนาสร้างสรรค์รัฐสังคมนิยมให้เจริญรุ่งเรือง ล้ำเกินประเทศทุนนิยมที่ก้าวหน้าที่สุดของโลก เพื่อนำพาสังคมโลกก้าวไปสู่ความเป็นสังคมแบบใหม่ ตามอุดมการณ์ลัทธิคอมมิวนิสม์ต่อไป
ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเฉพาะกลุ่มแกนนำที่มีเหมาเจ๋อตงเป็นธง ได้วิเคราะห์สังคมจีนว่า เป็นสังคมกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา การปฏิวัติประเทศจะต้องดำเนินไปอย่างเป็นขั้นตอนตามสภาพเป็นจริงของสังคมจีน ซึ่งจะไม่เหมือนกับที่เคยดำเนินการได้เป็นผลสัมฤทธิ์ในรัสเซีย (ในการปฏิวัติเดือนตุลาคม ค.ศ.1917 ใช้การลุกขึ้นสู้ในเมือง ยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ)
เหมาเจ๋อตงได้นำเสนอทฤษฎีการปฏิวัติประเทศจีนเป็นสองขั้นตอน คือ การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย และการปฏิวัติสังคมนิยม นั่นคือ ใช้การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยปลดปล่อยประเทศจีนออกจากการครอบงำของมหาอำนาจต่างชาติ (จักรวรรดินิยม) และอำนาจการปกครองของกลุ่มทุนขุนนาง (ทุนนิยมขุนนาง) เพื่อให้ประเทศจีนหลุดพ้นจากการปล้นสะดมประชาชนจีนหลุดพ้นจากการกดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบอย่างแท้จริง เมื่อสำเร็จแล้ว ก็จะพาประชาชนจีนสร้างสรรค์สังคมใหม่ ที่เป็นสังคมนิยม เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ในบั้นปลาย
ตามแนวคิดทฤษฎีดังกล่าว พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้ปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ โดยในห้วงของการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย นำประชาชนชาวจีนต่อสู้ด้วยการทำสงครามประชาชน ใช้ชนบทล้อมเมืองและยึดเมืองในที่สุด สามารถ กอบกู้ประเทศจีนให้พ้นจากการครอบงำของอำนาจอิทธิพลมหาอำนาจต่างชาติ ไปพร้อมๆ กับการปลดปล่อยประชาชนจีนออกจากอำนาจปกครองของกลุ่มทุนขุนนางที่ทุจริตโกงกิน กดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ โค่นล้มรัฐบาลกลุ่มทุนขุนนางนายหน้า ขับไล่มหาอำนาจต่างชาติพ้นไปจากแผ่นดินจีน แล้วประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นบนผืนแผ่นดินใหญ่จีน จัดตั้งรัฐบาลของประชาชน ดำเนินการบริหารประเทศ
ประเทศจีนในการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน บริหารโดยรัฐบาลประชาชนจีน ได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นรัฐสังคมนิยมอย่างรวดเร็ว ตามทฤษฎีของเหมาเจ๋อตง
เพียงแต่ว่า การสร้างรัฐสังคมนิยมตามทฤษฎีปฏิวัติต่อไปของเหมาเจ๋อตงนั้น ไม่สามารถนำประเทศจีนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่ประการใด จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไปร่วมสองทศวรรษ (ระหว่างปี ค.ศ. 1957- 1976) พรรคคอมมิวนิสต์จีน นำโดยเติ้งเสี่ยวผิง จึงได้ทำการสรุปบทเรียนครั้งใหญ่ ทั้งของจีนเองและของประเทศสังคมนิยมอื่นๆ เช่นสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก รวมทั้งบทเรียนการพัฒนาประเทศของโลกโดยรวม แล้วทำการปรับแนวคิดการสร้างชาติใหม่ จากการปฏิวัติสังคมนิยม เป็นการพัฒนาประเทศ โดยใช้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นตัวนำ เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่รัฐสังคมนิยมจีนที่เติ้งเสี่ยวผิงเรียกว่า “สังคมนิยมขั้นปฐม” ทีละขั้นๆ
มองด้วยสายตาประวัติศาสตร์ เราจะเห็นชัดว่า การเกิดขึ้นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน เป็นไปเพื่อสนองตอบต่อความเรียกร้องต้องการของประชาชนจีน ที่ต้องการปลดปล่อยตัวเองให้พ้นไปจากการครอบงำของมหาอำนาจต่างชาติ และการกดขี่ขูดรีดของกลุ่มทุนขุนนาง และเพื่อการฟื้นฟูประเทศจีนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง เฉกเช่นที่เคยเป็นมาในอดีตกาล
พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงอยู่ในฐานะนำ เป็นที่ยอมรับของประชาชนจีนตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
หากมองพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเป็นเพียงพรรคการเมืองทั่วไป ตามนัยทางการเมืองของการเมืองที่เราคุ้นเคย เราจะไม่ได้คำตอบที่สอดคล้องกับสภาพเป็นจริงของประเทศจีน
ถ้าตีความตามความเข้าใจของพวกเรา ที่อิงอยู่กับทฤษฎีการเมืองแบบฝรั่ง โดยเฉพาะแบบอังกฤษและสหรัฐอเมริกา พรรคการเมืองมีฐานะและบทบาทเป็นเพียงกลุ่มการเมืองที่ต้องการชัยชนะในการเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาล บริหารประเทศ แต่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน มิได้เป็นพรรคการเมืองในความหมายดังกล่าว
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นมาบนฐานความคิดและหลักการต่อสู้ทางชนชั้นของคาร์ล มาร์กซ์ และวี.ไอ.เลนิน ที่บอกว่า พรรคการเมืองเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่สังกัดชนชั้นที่แน่นอน ดำเนินการทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตนและชนชั้นตนตั้งแต่ต้นจนปลาย โดยนัยดังกล่าว พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ซึ่งยึดมั่นในอุดมการณ์ลัทธิมาร์กซ์ ลัทธิเลนิน จึงมีความเป็นพรรคการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพจีน ดำเนินการต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อปลดปล่อยชนชั้นกรรมกรและผู้ใช้แรงงานที่ถูกเอารัดเอาเปรียบทั่วไป เพื่อนำไปสู่การปลดปล่อยมวลมนุษย์ออกจากการกดขี่ขูดรีดและความไม่รู้ในทุกๆ ด้าน
วิธีการของพวกเขา ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง ก็คือการปฏิวัติสังคมด้วยการใช้กำลังโค่นล้มอำนาจรัฐเก่าที่เป็นสังคมแบบเก่า แล้วสร้างอำนาจรัฐใหม่ในรูปของรัฐสังคมนิยม ดำเนินการพัฒนาสร้างสรรค์รัฐสังคมนิยมให้เจริญรุ่งเรือง ล้ำเกินประเทศทุนนิยมที่ก้าวหน้าที่สุดของโลก เพื่อนำพาสังคมโลกก้าวไปสู่ความเป็นสังคมแบบใหม่ ตามอุดมการณ์ลัทธิคอมมิวนิสม์ต่อไป
ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเฉพาะกลุ่มแกนนำที่มีเหมาเจ๋อตงเป็นธง ได้วิเคราะห์สังคมจีนว่า เป็นสังคมกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา การปฏิวัติประเทศจะต้องดำเนินไปอย่างเป็นขั้นตอนตามสภาพเป็นจริงของสังคมจีน ซึ่งจะไม่เหมือนกับที่เคยดำเนินการได้เป็นผลสัมฤทธิ์ในรัสเซีย (ในการปฏิวัติเดือนตุลาคม ค.ศ.1917 ใช้การลุกขึ้นสู้ในเมือง ยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ)
เหมาเจ๋อตงได้นำเสนอทฤษฎีการปฏิวัติประเทศจีนเป็นสองขั้นตอน คือ การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย และการปฏิวัติสังคมนิยม นั่นคือ ใช้การปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยปลดปล่อยประเทศจีนออกจากการครอบงำของมหาอำนาจต่างชาติ (จักรวรรดินิยม) และอำนาจการปกครองของกลุ่มทุนขุนนาง (ทุนนิยมขุนนาง) เพื่อให้ประเทศจีนหลุดพ้นจากการปล้นสะดมประชาชนจีนหลุดพ้นจากการกดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบอย่างแท้จริง เมื่อสำเร็จแล้ว ก็จะพาประชาชนจีนสร้างสรรค์สังคมใหม่ ที่เป็นสังคมนิยม เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ในบั้นปลาย
ตามแนวคิดทฤษฎีดังกล่าว พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้ปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ โดยในห้วงของการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย นำประชาชนชาวจีนต่อสู้ด้วยการทำสงครามประชาชน ใช้ชนบทล้อมเมืองและยึดเมืองในที่สุด สามารถ กอบกู้ประเทศจีนให้พ้นจากการครอบงำของอำนาจอิทธิพลมหาอำนาจต่างชาติ ไปพร้อมๆ กับการปลดปล่อยประชาชนจีนออกจากอำนาจปกครองของกลุ่มทุนขุนนางที่ทุจริตโกงกิน กดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ โค่นล้มรัฐบาลกลุ่มทุนขุนนางนายหน้า ขับไล่มหาอำนาจต่างชาติพ้นไปจากแผ่นดินจีน แล้วประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นบนผืนแผ่นดินใหญ่จีน จัดตั้งรัฐบาลของประชาชน ดำเนินการบริหารประเทศ
ประเทศจีนในการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน บริหารโดยรัฐบาลประชาชนจีน ได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นรัฐสังคมนิยมอย่างรวดเร็ว ตามทฤษฎีของเหมาเจ๋อตง
เพียงแต่ว่า การสร้างรัฐสังคมนิยมตามทฤษฎีปฏิวัติต่อไปของเหมาเจ๋อตงนั้น ไม่สามารถนำประเทศจีนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่ประการใด จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไปร่วมสองทศวรรษ (ระหว่างปี ค.ศ. 1957- 1976) พรรคคอมมิวนิสต์จีน นำโดยเติ้งเสี่ยวผิง จึงได้ทำการสรุปบทเรียนครั้งใหญ่ ทั้งของจีนเองและของประเทศสังคมนิยมอื่นๆ เช่นสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก รวมทั้งบทเรียนการพัฒนาประเทศของโลกโดยรวม แล้วทำการปรับแนวคิดการสร้างชาติใหม่ จากการปฏิวัติสังคมนิยม เป็นการพัฒนาประเทศ โดยใช้การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นตัวนำ เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่รัฐสังคมนิยมจีนที่เติ้งเสี่ยวผิงเรียกว่า “สังคมนิยมขั้นปฐม” ทีละขั้นๆ
มองด้วยสายตาประวัติศาสตร์ เราจะเห็นชัดว่า การเกิดขึ้นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน เป็นไปเพื่อสนองตอบต่อความเรียกร้องต้องการของประชาชนจีน ที่ต้องการปลดปล่อยตัวเองให้พ้นไปจากการครอบงำของมหาอำนาจต่างชาติ และการกดขี่ขูดรีดของกลุ่มทุนขุนนาง และเพื่อการฟื้นฟูประเทศจีนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง เฉกเช่นที่เคยเป็นมาในอดีตกาล
พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงอยู่ในฐานะนำ เป็นที่ยอมรับของประชาชนจีนตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้