ผมว่ามันเป็นเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออก เศร้าที่กระทรวงการต่างประเทศนำโดยนายกษิต ภิรมย์ หนึ่งในดาวอภิปรายของขบวนการพันธมิตรฯ ผู้ถูกรัฐบาลบริวารทักษิณอาศัยสมุนตกค้างในสำนักงานตำรวจไล่ล่าตั้งข้อหาผู้ก่อการร้าย ในขณะที่นายกษิตยังต้องพึ่งพาทนายและเงินเรี่ยไรของพันธมิตรฯ ต่อสู้คดีอยู่ นายกษิต กลับตกเป็นจำเลยการเมืองคนสำคัญของพันธมิตรฯ และเครือข่ายคนไทยรักแผ่นดิน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีก็โดนด้วยในข้อหาสมคบกับฮุนเซนและรัฐบาลกัมพูชาทำลายเอกภาพบูรณภาพแห่งดินแดนประเทศไทยของตนเอง จะโดยประมาทเลินเล่อหรือเห็นแก่ตำแหน่งและลาภยศแอบแฝงของตนเองและพวกพ้อง ทั้งสองฝ่ายคงจะต้องต่อสู้พิสูจน์กันอย่างไม่ลดละ
ผลจะออกมาอย่างไร ผู้ที่จะได้รับอานิสงส์แน่ๆ ก็คือทักษิณกับฮุนเซน
ส่วนชาติบ้านเมืองจะได้อะไรหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงว่าคนไทยจะรักชาติบ้านเมืองจริงจังเพียงใดหรือไม่ และสังคมไทยจะมีพลังแผ่นดินที่กว้างขวางใหญ่โตและทรงพลังพอเพียงที่จะตีแผ่สัจธรรมความจริงให้คนไทยส่วนใหญ่พากันออกจากความเงียบมาต่อสู้จัดการกับการคอร์รัปชันอำนาจของคณาธิปไตยเผด็จการที่เกาะกินบ้านเมืองและเลือดเนื้อของประชาชนคนไทยมาอย่างยาวนานได้หรือไม่
คนไทยต้องช่วยกันกำจัดศัตรูที่แท้จริงของบ้านเมือง คือ เผด็จการเลือกตั้งและคณาธิปไตยผูกขาด ส่วนนายกรัฐมนตรีหรือนักการเมืองนั้นเป็นแต่เพียงกาฝากหรืออาคันตุกะพเนจร เมื่อถึงเวลาจะไปก็ต้องไป จะอยู่ขัดขวางความเจริญของชาติทำไม
เหตุไฉนรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงต้องตกอยู่ในฐานะต้องเผชิญหน้ากับมวลมิตรผู้สนับสนุนจนได้เข้ามาคุมอำนาจรัฐ
เหตุไฉน เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2554 ประชาชนต่างกลุ่มต่างอาชีพถึง 82,000 คนใน 72 องค์กร จึงมอบหมายให้อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์คือนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ขอพึ่งพระบารมีกราบบังคมทูลถวายฎีกาเพื่อทรงพระกรุณาพระราชทานคำแนะนำให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง เพื่อดำเนินการต่อไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ”
คนเหล่านี้แท้ๆ ที่สนับสนุนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต่อสู้ขบวนการเสื้อแดงทาสของพ.ต.ท.ทักษิณ มิให้ยอมแพ้กระแสกดดันให้ “ยุบสภา-ลาออก” การกดดันดังกล่าวทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทยย่อยยับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยการล่มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา และลามปามต่อเนื่องยกระดับความระยำต่ำช้าและเสียหายจนกระทั่งถึงวันเผาบ้านเผาเมืองที่ราชประสงค์
ทำไมบัดนี้ คนเหล่านี้จึงหันหลังให้กับนายอภิสิทธิ์อย่างไม่มีเยื่อใย
คำตอบก็คือคนเหล่านี้หมดความเชื่อถือว่า นายอภิสิทธิ์จะลบล้างความชั่วร้ายของระบอบทักษิณได้ มิหนำซ้ำยังทำตัวแบบว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง และทำท่าจะเก่งกว่าครูเสียอีก
คำตอบนี้บรรจุอยู่ในคำถวายฎีกา 344 บรรทัด 3,173 คำหรือ 14,983 ตัวอักษร มีสาระสำคัญอยู่ 3 ข้อหลักๆ ได้แก่
1. รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ละเว้นไม่ทำหน้าที่ ปล่อยปละละเลย ยินยอมให้ทหารกัมพูชายึดครองดินแดนไทย และล่าสุด กรณีลักพาตัวสมาชิกรัฐสภาและคณะรวม 7 คน ทำให้เกิดความเสียหายต่อราชอาณาจักรและปวงชนชาวไทย
2. รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ได้กระทำข้อตกลง MOU 2543 เป็นการเลิกล้มการปักปันเขตแดนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกระทำกับฝรั่งเศส ทำให้สูญเสียดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร พื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 1.8 ล้านไร่ และพื้นที่อ่าวไทย 1 ใน 3 แทนที่จะยุติกลับยืนยันปฏิบัติและพยายามทำสิ่งที่ผิดให้ถูกกฎหมาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำให้ราชอาณาจักรไทยจะเสียดินแดนมหาศาล รัฐบาลยังละเว้นไม่ทำหน้าที่รักษาอธิปไตยของประเทศ ยินยอมให้ถอยและถอนกำลังทหารของไทยตาม MOU 2543
และปล่อยให้กัมพูชาส่งทหารและประชาชนยึดครองดินแดนไทย โดยล้ำแนวเขตแดนไทย-กัมพูชาที่ได้ปักปันเรียบร้อยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และให้กัมพูชานำพื้นที่ในอ่าวไทยไปให้บริษัทต่างชาติสัมปทานขุดเจาะสำรวจพลังงาน มีการสร้างความสับสน โดยการเรียกพื้นที่ที่ไม่ชัดเจน ก่อนจะเรียกว่าเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” หรือ “พื้นที่พิพาท” ซึ่งถือเป็นกลอุบายหลอกลวงในการเตรียมการยกดินแดนให้กับกัมพูชา
3. รัฐบาลกลับว่าจ้างนักวิชาการและสื่อรณรงค์ให้เห็นดีเห็นงามว่าพื้นที่ทับซ้อนนั้นเป็นของกัมพูชา ล้วนเป็นกระบวนการยกดินแดนให้กับกัมพูชา กัมพูชาได้ส่งทหาร ประชาชนชาวกัมพูชารุกราน ยึดครองโดยพฤตินัย รัฐบาลเพิกเฉยปล่อยให้กัมพูชาออกสัมปทานแก่บริษัทต่างชาติเข้ามาบริหารจัดการทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลายพื้นที่
ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่รัฐบาลรับตำแหน่ง ทหารกัมพูชารุกรานข่มเหงราษฎรไทย แต่รัฐบาลไม่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองราษฎร กลับแถลงว่าเป็นความผิดของราษฎรไทยที่บุกรุกพื้นที่ทับซ้อน หรือดินแดนของกัมพูชา ไม่เคยแสดงท่าทีในการรักษาอธิปไตยของประเทศชาติ ปล่อยให้รัฐบาลกัมพูชาเหยียดหยามย่ำยีประหนึ่งว่า กองทัพไทยและทหารไทยไม่มีความหมาย เป็นการกระทบต่อพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์
ในเนื้อหาฎีกาข้อต่อมา ระบุว่านายอภิสิทธิ์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บัญญัติว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรเดียวจะแบ่งแยกมิได้ รวมทั้งประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติว่า ผู้ใดก็ตามที่ทำให้เสียดินแดนแก่ชาติอื่น มีความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร การปล่อยให้กัมพูชาอ้างสิทธิดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยตามแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 รวมทั้งปล่อยให้กัมพูชาเข้ามายึดครองดินแดน แสดงท่าทีว่าดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวเป็นดินแดนของกัมพูชา มีความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร และยังไม่กระทำหน้าที่อันเป็นการพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดน
ก่อนหน้าการถวายฎีกา เมื่อมีเหตุการณ์คนไทย 7 คนโดนทหารกัมพูชาจับ โดยเหตุบริเวณที่จับนั้นยังไม่มีข้อยุติว่าเป็นดินแดนของผู้ใด รัฐบาลกัมพูชาจึงเป็นผู้กระทำผิดละเมิด MOU แต่รัฐบาลกลับใส่ร้ายป้ายสีพลเมืองของตนเองว่ากระทำผิดล้ำเข้าไปในดินแดนกัมพูชา และยอมรับอธิปไตยทางศาลของกัมพูชาเหนือดินแดน สละสิทธิ์ที่จะพิสูจน์ได้แน่นอนว่าเป็นของไทย
อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา 2 ท่าน คือนายสุเทพ กิจสวัสดิ์ ถวายฎีกาพระเจ้าอยู่หัว ต้นปีนี้ว่า นายกรัฐมนตรีเมินเฉยไม่รับทราบหนังสือชี้แจง2 ฉบับเตือนเรื่อง MOU เป็นโมฆะในเดือนสิงหาคม 2552 และสัปดาห์ที่แล้ว นางยินดี วัชรวงศ์ ต่อสุวรรณ วินิจฉัยว่าการที่รัฐบาลแสดงการยอมรับที่ดินที่คนไทยถูกจับกุมนั้น เป็นของกัมพูชาเป็นความผิดกฎหมายอาญาฐานกบฏภายในราชอาณาจักรมีโทษถึงประหารหรือจำคุกตลอดชีวิต
การถวายฎีกาเรื่องดังกล่าวถูกบิดเบือนโดยหน่วยงานและสื่อรับจ้างของรัฐบาลว่าเป็นเพียงฎีกาขอให้ในหลวงทรงช่วยคนไทยที่ถูกจับทั้ง 7 คนซึ่งเป็นการรบกวนเบื้องพระยุคลบาทโดยมิสมควร
เหตุไฉนกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลจึงประจานตนเองและประเทศไทยตลอดมาอย่างไม่ลดละ นอกจากความสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชาหรือความสัมพันธ์อันดีส่วนตัวกับฮุนเซนแล้ว มีเงื่อนงำอะไรที่กระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไทยจึงยอมถูกกล่าวหาว่า ตัวเป็นไทยแต่ใจเป็นกัมพูชา คอยอ่านฉบับหน้า
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีก็โดนด้วยในข้อหาสมคบกับฮุนเซนและรัฐบาลกัมพูชาทำลายเอกภาพบูรณภาพแห่งดินแดนประเทศไทยของตนเอง จะโดยประมาทเลินเล่อหรือเห็นแก่ตำแหน่งและลาภยศแอบแฝงของตนเองและพวกพ้อง ทั้งสองฝ่ายคงจะต้องต่อสู้พิสูจน์กันอย่างไม่ลดละ
ผลจะออกมาอย่างไร ผู้ที่จะได้รับอานิสงส์แน่ๆ ก็คือทักษิณกับฮุนเซน
ส่วนชาติบ้านเมืองจะได้อะไรหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงว่าคนไทยจะรักชาติบ้านเมืองจริงจังเพียงใดหรือไม่ และสังคมไทยจะมีพลังแผ่นดินที่กว้างขวางใหญ่โตและทรงพลังพอเพียงที่จะตีแผ่สัจธรรมความจริงให้คนไทยส่วนใหญ่พากันออกจากความเงียบมาต่อสู้จัดการกับการคอร์รัปชันอำนาจของคณาธิปไตยเผด็จการที่เกาะกินบ้านเมืองและเลือดเนื้อของประชาชนคนไทยมาอย่างยาวนานได้หรือไม่
คนไทยต้องช่วยกันกำจัดศัตรูที่แท้จริงของบ้านเมือง คือ เผด็จการเลือกตั้งและคณาธิปไตยผูกขาด ส่วนนายกรัฐมนตรีหรือนักการเมืองนั้นเป็นแต่เพียงกาฝากหรืออาคันตุกะพเนจร เมื่อถึงเวลาจะไปก็ต้องไป จะอยู่ขัดขวางความเจริญของชาติทำไม
เหตุไฉนรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงต้องตกอยู่ในฐานะต้องเผชิญหน้ากับมวลมิตรผู้สนับสนุนจนได้เข้ามาคุมอำนาจรัฐ
เหตุไฉน เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2554 ประชาชนต่างกลุ่มต่างอาชีพถึง 82,000 คนใน 72 องค์กร จึงมอบหมายให้อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์คือนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ขอพึ่งพระบารมีกราบบังคมทูลถวายฎีกาเพื่อทรงพระกรุณาพระราชทานคำแนะนำให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง เพื่อดำเนินการต่อไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ”
คนเหล่านี้แท้ๆ ที่สนับสนุนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต่อสู้ขบวนการเสื้อแดงทาสของพ.ต.ท.ทักษิณ มิให้ยอมแพ้กระแสกดดันให้ “ยุบสภา-ลาออก” การกดดันดังกล่าวทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทยย่อยยับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยการล่มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา และลามปามต่อเนื่องยกระดับความระยำต่ำช้าและเสียหายจนกระทั่งถึงวันเผาบ้านเผาเมืองที่ราชประสงค์
ทำไมบัดนี้ คนเหล่านี้จึงหันหลังให้กับนายอภิสิทธิ์อย่างไม่มีเยื่อใย
คำตอบก็คือคนเหล่านี้หมดความเชื่อถือว่า นายอภิสิทธิ์จะลบล้างความชั่วร้ายของระบอบทักษิณได้ มิหนำซ้ำยังทำตัวแบบว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง และทำท่าจะเก่งกว่าครูเสียอีก
คำตอบนี้บรรจุอยู่ในคำถวายฎีกา 344 บรรทัด 3,173 คำหรือ 14,983 ตัวอักษร มีสาระสำคัญอยู่ 3 ข้อหลักๆ ได้แก่
1. รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ละเว้นไม่ทำหน้าที่ ปล่อยปละละเลย ยินยอมให้ทหารกัมพูชายึดครองดินแดนไทย และล่าสุด กรณีลักพาตัวสมาชิกรัฐสภาและคณะรวม 7 คน ทำให้เกิดความเสียหายต่อราชอาณาจักรและปวงชนชาวไทย
2. รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ได้กระทำข้อตกลง MOU 2543 เป็นการเลิกล้มการปักปันเขตแดนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกระทำกับฝรั่งเศส ทำให้สูญเสียดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร พื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 1.8 ล้านไร่ และพื้นที่อ่าวไทย 1 ใน 3 แทนที่จะยุติกลับยืนยันปฏิบัติและพยายามทำสิ่งที่ผิดให้ถูกกฎหมาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำให้ราชอาณาจักรไทยจะเสียดินแดนมหาศาล รัฐบาลยังละเว้นไม่ทำหน้าที่รักษาอธิปไตยของประเทศ ยินยอมให้ถอยและถอนกำลังทหารของไทยตาม MOU 2543
และปล่อยให้กัมพูชาส่งทหารและประชาชนยึดครองดินแดนไทย โดยล้ำแนวเขตแดนไทย-กัมพูชาที่ได้ปักปันเรียบร้อยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และให้กัมพูชานำพื้นที่ในอ่าวไทยไปให้บริษัทต่างชาติสัมปทานขุดเจาะสำรวจพลังงาน มีการสร้างความสับสน โดยการเรียกพื้นที่ที่ไม่ชัดเจน ก่อนจะเรียกว่าเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” หรือ “พื้นที่พิพาท” ซึ่งถือเป็นกลอุบายหลอกลวงในการเตรียมการยกดินแดนให้กับกัมพูชา
3. รัฐบาลกลับว่าจ้างนักวิชาการและสื่อรณรงค์ให้เห็นดีเห็นงามว่าพื้นที่ทับซ้อนนั้นเป็นของกัมพูชา ล้วนเป็นกระบวนการยกดินแดนให้กับกัมพูชา กัมพูชาได้ส่งทหาร ประชาชนชาวกัมพูชารุกราน ยึดครองโดยพฤตินัย รัฐบาลเพิกเฉยปล่อยให้กัมพูชาออกสัมปทานแก่บริษัทต่างชาติเข้ามาบริหารจัดการทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลายพื้นที่
ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่รัฐบาลรับตำแหน่ง ทหารกัมพูชารุกรานข่มเหงราษฎรไทย แต่รัฐบาลไม่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองราษฎร กลับแถลงว่าเป็นความผิดของราษฎรไทยที่บุกรุกพื้นที่ทับซ้อน หรือดินแดนของกัมพูชา ไม่เคยแสดงท่าทีในการรักษาอธิปไตยของประเทศชาติ ปล่อยให้รัฐบาลกัมพูชาเหยียดหยามย่ำยีประหนึ่งว่า กองทัพไทยและทหารไทยไม่มีความหมาย เป็นการกระทบต่อพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์
ในเนื้อหาฎีกาข้อต่อมา ระบุว่านายอภิสิทธิ์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บัญญัติว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรเดียวจะแบ่งแยกมิได้ รวมทั้งประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติว่า ผู้ใดก็ตามที่ทำให้เสียดินแดนแก่ชาติอื่น มีความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร การปล่อยให้กัมพูชาอ้างสิทธิดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยตามแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 รวมทั้งปล่อยให้กัมพูชาเข้ามายึดครองดินแดน แสดงท่าทีว่าดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวเป็นดินแดนของกัมพูชา มีความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร และยังไม่กระทำหน้าที่อันเป็นการพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดน
ก่อนหน้าการถวายฎีกา เมื่อมีเหตุการณ์คนไทย 7 คนโดนทหารกัมพูชาจับ โดยเหตุบริเวณที่จับนั้นยังไม่มีข้อยุติว่าเป็นดินแดนของผู้ใด รัฐบาลกัมพูชาจึงเป็นผู้กระทำผิดละเมิด MOU แต่รัฐบาลกลับใส่ร้ายป้ายสีพลเมืองของตนเองว่ากระทำผิดล้ำเข้าไปในดินแดนกัมพูชา และยอมรับอธิปไตยทางศาลของกัมพูชาเหนือดินแดน สละสิทธิ์ที่จะพิสูจน์ได้แน่นอนว่าเป็นของไทย
อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา 2 ท่าน คือนายสุเทพ กิจสวัสดิ์ ถวายฎีกาพระเจ้าอยู่หัว ต้นปีนี้ว่า นายกรัฐมนตรีเมินเฉยไม่รับทราบหนังสือชี้แจง2 ฉบับเตือนเรื่อง MOU เป็นโมฆะในเดือนสิงหาคม 2552 และสัปดาห์ที่แล้ว นางยินดี วัชรวงศ์ ต่อสุวรรณ วินิจฉัยว่าการที่รัฐบาลแสดงการยอมรับที่ดินที่คนไทยถูกจับกุมนั้น เป็นของกัมพูชาเป็นความผิดกฎหมายอาญาฐานกบฏภายในราชอาณาจักรมีโทษถึงประหารหรือจำคุกตลอดชีวิต
การถวายฎีกาเรื่องดังกล่าวถูกบิดเบือนโดยหน่วยงานและสื่อรับจ้างของรัฐบาลว่าเป็นเพียงฎีกาขอให้ในหลวงทรงช่วยคนไทยที่ถูกจับทั้ง 7 คนซึ่งเป็นการรบกวนเบื้องพระยุคลบาทโดยมิสมควร
เหตุไฉนกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลจึงประจานตนเองและประเทศไทยตลอดมาอย่างไม่ลดละ นอกจากความสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชาหรือความสัมพันธ์อันดีส่วนตัวกับฮุนเซนแล้ว มีเงื่อนงำอะไรที่กระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไทยจึงยอมถูกกล่าวหาว่า ตัวเป็นไทยแต่ใจเป็นกัมพูชา คอยอ่านฉบับหน้า