พันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์โต้ “อภิสิทธิ์” บิดเบือนข้อมูล 7 คนไทยโดนเขมรจับ ยันบ่อน้ำยูเอ็นหลักฐานสำคัญ ก๊วนคนไทยโดนจับในแผ่นดินตัวเอง ซัดรัฐอ่อนแอ ปล่อยเขมรใช้อำนาจศาลบี้อธิปไตยไทย จวกทำประเทศเสียเปรียบ ไม่ส่งผลดีต่อ 2 คนไทยที่เหลือ ด้าน “อดีตกาชาดสากล” โชว์ภาพถ่ายสมัยเขมรอพยพ ระบุชัดไทยให้ที่พักพิง ด้านนักวิชาการจวก “บัวแก้ว” มีเอกสารสำคัญ แต่ไม่ช่วยคนไทย
คลิกที่นี่ เพื่อฟังแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันนี้ (24 ม.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อ่านแถลงการณ์พันธมิตรฯ ตอบโต้กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาชี้แจงข้อมูล 7 คนไทยถูกกัมพูชาจับกุมตัวและพิพากษาความผิดว่า ตามที่นายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรณี 7 คนไทยถูกจับกุมและปล่อยให้ศาลกัมพูชาพิพากษาความผิด ทางพันธมิตรฯ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่า บริเวณดังกล่าวเป็นค่ายอพยพที่ทางการไทยให้ชาวกัมพูชาที่หลบหนีสงครามภายในมาใช้พักพิงอาศัยชั่วคราว ดังนั้นจึงมีล้อมรั้วเลยเข้ามาในเขตแดนไทย มีจุดสังเกตอยู่ที่สระน้ำยูเอ็น ซึ่งยืนยันได้ว่าบริเวณดังกล่าวยังเป็นของไทย ดังนั้น การที่ 7 คนไทยเดินไปยังไม่ถึงสระน้ำยูเอ็น จึงถือว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นรัฐบาลไทยไม่เคยชี้แจงประเด็นเหล่านี้เพื่อโต้แย้งกัมพูชา
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ พันธมิตรฯ ยังตรวจสอบเอกสารสิทธิ พบว่า 7 คนไทยถูกจับในดินแดนตนเอง เนื่องจากชาวบ้านที่เป็นเจ้าของที่ดิน และเสียที่ดินทำกินให้แก่กัมพูชา ได้ออกมาระบุว่า หลังจากกัมพูชาอพยพมาพักอาศัยในที่ดินผืนดังกล่าว ชาวบ้านก็เข้าไปทำมาหากินไม่ได้ ซึ่งการชี้แจงของนายอภิสิทธิ์เมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่ได้ตรงต่อข้อเท็จจริง และการกระทำดังกล่าวทำให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน มีโทษทางอาญาสูงสุดคือประหาร หรือจำคุกตลอดชีวิต รวมทั้งอาจทำให้ไทยเสียดินแดนดังกล่าวให้แก่กัมพูชา อีกทั้งยังมีการพบว่า หลักเขตแดนบริเวณที่เกิดเหตุมีการเคลื่อนย้ายอยู่บ่อยครั้ง แต่ทั้งนี้เรามีกรรมสิทธิ์ของชาวบ้านยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของคนไทย แต่นายกฯ ไม่มีมาตรการตอบโต้หรือกดดันใดๆ ที่เป็นรูปธรรมกับกัมพูชา ทั้งนี้ เพื่อให้กัมพูชาหยุดใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลเหนือแผ่นดินไทย
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ยังมีผู้เกี่ยวข้องเรื่องนี้อีกหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง หรือจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม รวมทั้งผู้ว่าฯ สระแก้ว ได้ออกมาระบุว่า 7 คนไทยที่ถูกจับเพราะรุกล้ำดินแดนกัมพูชา พร้อมบอกให้ยอมรับคำตัดสินของศาลกัมพูชา คำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นโทษแก่ 7 คนไทย ทั้งที่หลักเขตแดนที่ 46-47 ไทยกับกัมพูชายังตกลงกันไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นผลร้ายต่อคนไทยที่ถูกจับและต่อประเทศไทย
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า การลงโทษ 7 คนไทย หากรัฐบาลทำได้แค่โต้แย้งกัมพูชาหรือประท้วงคำพิพากษา ก็เท่ากับเป็นเพียงการเยียวยาปัญหาเท่านั้น เพราะไม่ได้ปฏิเสธการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลที่อยู่เหนือดินแดนของประเทศไทย ทำให้คนไทยบางคนต้องติดคุก ทำให้บางส่วนถูกพิพากษาความผิด ทำไมรัฐบาลไม่กดดันหรือต่อสู้ หากรัฐบาลออกมาทำเช่นนั้น ศาลกัมพูชาไม่มีสิทธิตั้งข้อหาจารกรรมข้อมูลต่อ 2 คนไทยที่ขณะนี้ยังถูกกัมพูชาควบคุมตัวอยู่ นอกจากนี้ยังทำให้ 2 คนไทยดังกล่าวตกอยู่สภาพที่อันตรายมากขึ้น
“ประการสำคัญ คือ ท่าทีของรัฐบาลไทยทำให้ไทยเสียดินแดนช่วงหลักเขตแดนที่ 46-47 ให้แก่กัมพูชาไปโดยปริยาย ทั้งที่ชาวบ้านที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่สามารถเข้าไปทำกินยังดินแดนของตนเองได้ และทำให้คนเขมรที่ยืดพื้นที่ดังกล่าวสามารถขยายอาณาเขตหมู่บ้านได้ออกไปไม่มีกำหนดที่ชัดเจน” นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพกล่าวต่อว่า ความอ่อนแอของรัฐบาลในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของการทำสนธิสัญญาเอ็มโอยู ปี 2543 ได้เป็นอย่างดี เพราะเนื้อหาระบุไว้ว่ากรณีพิพาทต่างๆ ต้องเจรจากันโดยสันติวิธี ไม่มีการใช้อาวุธ ดังนั้น กัมพูชาจึงย่ามใจรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินของไทยมาสร้างวัด สร้างตลาด สร้างชุมชน นอกจากนี้ ทหารไทยยังต้องล่าถอยถอนกำลังออกมา สิ่งเหล่านี้ทำให้อำนาจต่อรองของไทยเสียเปรียบกัมพูชา ทั้งที่ในความเป็นจริงไทยเราได้เปรียบหลายด้าน แต่การที่นายอภิสิทธิ์ออกมาระบุว่า 7 คนไทยถูกจับกุมตัวนั้น ปัญหามันอยู่ที่ว่า บริเวณดังกล่าวเป็นที่ดินของคนไทย แปลความง่ายๆ ว่า เอกสารสิทธิต่างๆ ถูกทางการออกให้ แต่ทำไม 7 คนไทยที่เดินไปยังไม่ถึงบ่อน้ำยูเอ็นด้วยซ้ำไป แต่ดันถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัว ศาลกัมพูชาไม่มีสิทธิตัดสินคนไทย ทำไมไม่มีใครสงสัยเลยว่าเอ็มโอยูฉบับดังกล่าวระบุว่าห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมตราบใดที่ยังตกลงกันเรื่องเขตแดนไม่ได้ มันหมายความว่าไทยไม่สิทธิ์เปลี่ยนแปลงสภาพใดๆบนแผ่นดินตนเอง ปล่อยให้คนกัมพูชายึดครองพื้นที่ดังกล่าวและขยายพื้นที่ออกไปได้เรื่อยๆ
ด้าน นายแก่นฟ้า แสนเมือง อดีตเจ้าหน้าที่กาชาดสากล กล่าวว่า ตนทำงานสมัยสงครามอยู่ฝ่ายปฏิบัติการด้านสื่อสาร ทำให้ต้องรู้ข้อมูลจุดเขตชายแดนทุกจุด เพื่อจะได้ติดต่อสื่อสารไม่ผิดพลาด ตนขอโชว์หลักฐานที่ถ่ายไว้โดยกาชาดสากล เป็นภาพเหตุการณ์ที่คนกัมพูชาอพยพเข้ามาในประเทศเมื่อครั้งเกิดสงครามภายใน จนมีการตั้งค่ายอพยพในบริเวณบ้านหนองจาน มีการขุดบ่อน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ ยืนยันอยู่ในฝั่งไทย เพราะเราจะไปขุดในฝั่งกัมพูชาคงไม่ได้เนื่องจากมีแต่ระเบิดทั้งนั้น ดังนั้น ขอยืนยันจากภาพหลักฐานว่าดินแดนนี้เป็นของประเทศไทย โดยเมื่อ 30 ปีก่อน เจ้าหน้าที่ยังเข้าออกพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างไม่มีปัญหา ทุกคนรู้ดีว่าหลักเขตแดนอยู่ตรงไหน ดังนั้น การที่ 7 คนไทยถูกจับทั้งที่ยังเดินไม่ถึงบ่อน้ำของยูเอ็นก็ถือว่าเป็นการถูกจับในดินแดนตนเอง ตนจึงไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลจึงไม่เอาข้อมูลนี้ไปช่วยเหลือคนไทย ทำไมไม่เอาไปตอบโต้กัมพูชาบ้าง
นายตายแน่ มุ่งมาจน 1 ใน 7 คนไทยที่ถูกทางการจับกุม ระบุว่า ตนไปในฐานะของสื่อมวลชนและทำหน้าที่ถ่ายภาพวิดีโอกับมือ หากดูจากที่นายกฯ แถลงวานนี้ จุดที่น่าสนใจของนายกฯ ที่ระบุว่าเป็นจุดสิ้นสุดวิดีโอ ซึ่งตรงนั้นเป็นจุดติดกันของหลักเขตที่ 48 และ 47 ที่นายกฯ ระบุว่าเป็นจุดปฏิบัติการของสองประเทศ ตนถูกจับกุมตัวในจุดนั้น โดยทหารกัมพูชาได้ยึดกล้องวิดีโอและโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่จะควบคุมตัวเราให้เดินไปต่ออีก ก่อนที่จะมีการบันทึกวิดีโออีกครั้ง ในจุดที่ 2 ที่เลยเข้าไปอีกประมาณ 55 เมตร ดังนั้นจึงมีการถ่ายวิดีโออีกครั้งโดยทหารกัมพูชา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ว่าเราได้รุกล้ำเข้าไปในบริเวณนั้นทั้งที่เราถูกควบคุมตัวเข้าไปไม่ได้เดินเข้าไปเอง
นายตายแน่กล่าวเสริมอีกว่า ศาลกัมพูชาได้สอบถามว่า ไม่รู้หรือว่าเขตนั้นเป็นเขตควบคุมของทางทหารกัมพูชา เท่ากับศาลก็ยังไมได้ฟันธง 100 เปอร์เซ็นต์ว่าพื้นที่นั้นเป็นของกัมพูชา และเรายืนยันว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของไทย
ขณะที่ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ กล่าวว่า ตนอยากหยิบยกเรื่องแผนที่ ซึ่งนายกฯ ได้ชี้แจงเมื่อคืนที่ผ่านมา ว่าเป็นการพูดโดยเลี่ยงความจริง มีเจตนาเพื่อให้คนหลงประเด็น โดยตนมีหลักฐานเป็นเอกสารยูเอ็น เมื่อปี 1980 เป็นรายงานว่าค่ายอพยพดังกล่าวมีสภาพเป็นอย่างไร ซึ่งประเด็นสำคัญคือ กระทรวงการต่างประเทศก็มีเอกสารเหล่านี้ทั้งหมด แต่ไม่เคยนำมาช่วยเหลือคนไทย นอกจากนี้ยังกลับออกมาบอกว่าคนไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชา และเอกสารอีกฉบับเป็นของกองกำลังบูรพา ระบุว่า หลักเขตแดนที่ 46 และ 48 กัมพูชารุกล้ำเขตแดนเข้ามาเรื่อยๆ โดยมีรายงานหลักเขตแดนที่ 48 ถูกทำลายไปแล้ว ทั้งหมดนี้ กระทรวงการต่างประเทศมีเอกสารหมด ทำไมนายกฯ ไม่ไปค้นเอกสารต่างๆมาดู แล้วจะพบข้อเท็จจริงมากมาย อย่างเช่น เอกสารที่แสดงให้เห็นภาพที่แนวรั้วลวดหนามที่ยูเอ็นทำไว้ ไม่ให้คนกัมพูชารุกล้ำเขตแดนมากเกินกว่าที่กำหนด
ผู้สื่อข่าวถามว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันพรุ่งนี้จะมีการรวมประเด็นนี้ไว้ด้วยหรือไม่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า กำหนดการเดิมของการชุมนุม เรายืนยันว่าให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาปกป้องแผ่นดิน โดยทำตาม 3 ข้อเรียกร้อง คือ 1.การถอนตัวออกจากคณะกรรมการมรดกโลก 2.ยกเลิก MOU 43 และ 3.ผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากแผ่นดินไทย ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่นายกฯสามารถที่จะทำได้ทุกขณะ แต่จนถึงขณะนี้นายกฯ ก็ยังไม่ได้ดำเนินการเรื่องนี้เลย ทำให้เราต้องชุมนุมตามกำหนด ส่วนเรื่อง 7 คนไทยที่ถูกจับกุมนั้นก็เป็นประเด็นที่ผนวกเพิ่มเติมเข้ามา ทั้งนี้จะไม่มีปัญหา 7 คนไทยเกิดขึ้นเลย หากนายกฯ ได้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ
“การชุมนุมเราจะชุมนุมไปไม่หยุด ขึ้นอยู่กับนายกฯ ว่าจะแก้ไขในประเด็นที่เรียกร้องหรือไม่ หากนายกฯ ยังไม่จัดการกับปัญหาเขาพระวิหาร เราก็จะชุมนุมยืดเยื้อต่อไป แต่เราจะไม่เข้าไปในทำเนียบอย่างที่มีข่าวออกมา ทั้งนี้ที่มีข่าวว่าพันธมิตรฯ กับทางนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ มีความคิดเห็นแตกต่างกันนั้น ขอยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่ข่าวที่บอกว่าผมกับสมณะโพธิรักษ์แตกแยกกันนั้นไม่เป็นความจริง ผมยังคุยกัน โทรศัพท์กับสมณะโพธิรักษ์ตลอด เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก” พล.ต.จำลองกล่าว และว่า พรุ่งนี้จะเริ่มตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป ที่หน้ารัฐสภาและทำเนียบรัฐบาลเป็นเวทีของกองทัพธรรมที่ชุมนุมกันอยู่แล้ว เราจะชุมนุมประสานกันโดยตลอด ไม่มีการแตกแยกกัน
รายละเอียด แถลงข่าว 2/2554
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ตามที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อคืนวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2554 กรณีการช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกกองกำลังทหารติดอาวุธของกัมพูชาจับกุมและปล่อยให้ศาลกัมพูชาพิจารณาพิพากษาตัดสินลงโทษคนไทยนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีความเห็นดังต่อไปนี้
1. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่าบริเวณดังกล่าวเคยเป็นเขตอพยพค่ายหนองจาน ที่ชาวกัมพูชาได้อพยพหลบหนีสงครามภายในประเทศ มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2522 และรัฐบาลไทยได้ตระหนักดีว่ามีการมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยจึงมีการล้อมรั้วค่ายอพยพดังกล่าวให้เลยเส้นเขตแดนเข้ามาในประเทศไทย โดยมีจุดสังเกตที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ สระน้ำที่องค์การสหประชาชาติได้ขุดเอาไว้ท้ายหมู่บ้านเพื่อใช้สำหรับเลี้ยงดูชาวอพยพนั้นอยู่ในดินแดนประเทศไทย โดยได้ปรากฏหลักฐานและพยานมามากมายที่ยังมีชีวิตอยู่ในยุคนั้นได้ยืนยันว่าบริเวณดังกล่าวเป็นผืนแผ่นดินไทย เช่น อดีตทหารไทย, อดีตเจ้าหน้าที่กาชาดสากล, อดีตข้าราชการสภาความมั่นคงแห่งชาติ, ผู้รับเหมาก่อสร้างไทยที่รับจ้างขุดสระน้ำ ฯลฯ
ดังนั้น จากหลักฐานและพยาน 7 คนไทยที่เดินไปในบริเวณดังกล่าวทั้งๆ ที่ยังเดินไปไม่ถึงสระน้ำที่องค์การสหประชาชาติได้สร้างเอาไว้ในประเทศไทย ถือเป็นพื้นที่ซึ่งมีความปลอดภัยจากสงคราม จึงย่อมถือว่า 7 คนไทยอยู่ในดินแดนประเทศไทย โดยไม่เคยปรากฏว่ารัฐบาลไทยได้เอื้ออำนวยช่วยเหลือ 7 คนไทยในการชี้แจงประเด็นที่เป็นคุณและข้อเท็จจริงในกรณีนี้ให้กับกัมพูชาแต่ประการใด
2. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ตรวจสอบจากพยานบุคคลและเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกินบริเวณหลักเขต 46-47 พบว่า 7 คนไทยยังอยู่ในดินแดนไทย ซึ่งชาวบ้านเจ้าของที่ดินหลายรายซึ่งสูญเสียที่ทำกินจากกรณีที่เขมรมาอพยพอาศัยอยู่ในบริเวณหลักเขตที่ 46-47 ได้ให้ปากคำตรงกันถึง 2 ครั้ง คือวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2554 และวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554 ยืนยันว่ากรมที่ดินออกเอกสารสิทธิ ประเภท ส.ค.1 ของราษฎรไทยอยู่ในบริเวณสระน้ำที่ขุดโดยองค์การสหประชาชาติ (ที่ดินของนายหมา อันสมศรี) และรวมถึงทิศตะวันออกของสระน้ำที่ขุดโดยองค์การสหประชาชาติ (ที่ดินของนายบุญจันทร์ เกษธาตุ) ตั้งแต่เมื่อ 56 ปีที่แล้ว (พ.ศ.2498)
ทั้งนี้ เจ้าของที่ดินบริเวณดังกล่าวได้ยืนยันด้วยว่าการลากเส้นปฏิบัติการตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีอ้าง และพยายามให้กรมที่ดินสร้างหลักฐานนำที่ดินชาวบ้านไปวางในหลังแนวเส้นปฏิบัติการที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และไม่ใช่เส้นเขตแดนตามหลักเขตเดิมตั้งแต่ พ.ศ.2498 ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีความสุ่มเสี่ยงอาจทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนและอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119, 120 ซึ่งมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
จากพยานและหลักฐานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า หลักเขต 46 และ 47 ที่ใช้อ้างในการปฏิบัติการในปัจจุบันนั้นมีการถูกเคลื่อนย้ายมาแล้วในช่วงที่ชาวกัมพูชาอพยพลี้ภัยมาอยู่ในประเทศไทย เอกสารสิทธิที่ทำกินและการชี้จุดบริเวณที่ดินของชาวบ้านหลายรายยังแสดงให้เห็นว่าเส้นทางเดินของ 7 คนไทยซึ่งยังไม่ถึงสระน้ำขององค์การสหประชาชาตินั้นย่อมอยู่ในดินแดนไทย แต่รัฐบาลไทยก็ไม่เคยให้การสนับสนุนเพื่อใช้ข้อมูลที่เป็นคุณเหล่านี้กับ 7 คนไทย เช่นกัน
3. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่มีมาตรการตอบโต้กดดันใดๆ ที่เป็นรูปธรรมเพื่อหยุดยั้งการแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลในดินแดนที่ประเทศไทยซึ่งยังมีข้อพิพาทอยู่ ตามที่ได้ประกาศเอาไว้เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2554 โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้สัมภาษณ์ในเวลานั้นว่า “ไม่ว่ากรณีจับกุมจะเกิดขึ้นที่ฝั่งใดก็ตาม เราเห็นว่าบุคคลทั้ง 7 คน ควรจะได้รับการปล่อยตัวทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า ทางฝ่ายนโยบายทั้งสองฝ่ายได้เคยคุยกันว่ากรณีที่เกิดปัญหาในชายแดนลักษณะนี้โดยเฉพาะไม่มีอะไรบ่งบอกว่าคนทั้ง 7 คน มีอาวุธ ไม่ควรที่จะมีการจับกุม และเข้าสู่กระบวนการของศาล” ดังนั้น กรณี 7 คนไทยที่เดินทางไปในบริเวณดังกล่าวซึ่งปราศจากอาวุธแล้วยังมีการปล่อยให้กัมพูชาแสดงอำนาจอธิปไตยโดยกองกำลังทหารติดอาวุธและศาลของกัมพูชาในดินแดนไทยหรือดินแดนพิพาท ถือว่ากัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลง แต่รัฐบาลไทยก็ไม่ได้มีมาตรการตอบโต้เพื่อให้กัมพูชาหยุดการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลในดินแดนไทยได้แต่ประการใด
4. นักการเมืองและข้าราชการ ให้ข้อมูลให้เป็นโทษกับคนไทยมาโดยตลอด โดยมีคำสัมภาษณ์อย่างต่อเนื่องของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายศานิตย์ นาคสุขศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว รวมถึงข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม ซึ่งระบุว่า 7 คนไทยล้ำเข้าไปในเขตกัมพูชาแล้ว หรือพูดโน้มน้าวให้คนไทยยอมรับและเคารพอำนาจศาลกัมพูชา หรือเจรจาขออำนาจศาลกัมพูชาให้เร่งรัดคดีความ ล้วนแล้วแต่เป็นการยอมรับอำนาจศาลกัมพูชา และพูดให้เป็นโทษต่อ 7 คนไทยทั้งสิ้น
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว หลักเขตที่ 46 และ 47 ยังไม่ได้ข้อยุติระหว่างไทย-กัมพูชาว่าหลักเขตเดิมอยู่ในบริเวณใด และยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 190 ถือเป็นการกระทำที่ให้โทษกับ 7 คนไทยและเป็นผลร้ายทำให้ราชอาณาจักรหรือพื้นที่พิพาทตกอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐกัมพูชา อันอาจเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119, 120, 128, 129 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้แต่การชี้แจงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเมื่อคืนวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554 ว่า 7 คนไทยล้ำเข้าไปในแนวปฏิบัติการของไทยนั้น โดยไม่ชี้แจงหรือโต้แย้งเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นคุณต่อ 7 คนไทย ย่อมทำให้เกิดความเสี่ยมเสียต่อศักดิ์ศรีประเทศชาติในการที่ทำให้กัมพูชาสามารถใช้กรณีดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลเหนือดินแดนไทยหรือพื้นที่พิพาทได้ต่อไปทั้งกับ 2 คนไทยที่ยังเหลืออยู่ในการพิจารณาคดีความในชั้นศาลกัมพูชา และคนไทยอื่นๆที่อาจจะถูกจับกุมในพื้นที่ลักษณะเดียวกันต่อไปในอนาคต
5. รัฐบาลไทยไม่สามารถแยกเรื่องเขตแดนกับการลงโทษ 7 คนไทยได้ เพราะคดีนี้เป็นการลงโทษคนไทยที่ปราศจากอาวุธจากการอ้างมูลฐานความผิดว่า 7 คนไทยล้ำเขตแดนกัมพูชา ดังนั้นหากรัฐบาลไทยทำได้เพียงแค่โต้แย้งหรือประท้วงคำพิพากษาของศาลกัมพูชาว่าประเทศไทยไม่ยอมรับเส้นเขตแดนตามคำพิพากษา ก็เป็นเพียงการเยียวยาย้อนหลังที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ “ประเทศไทยไม่ปฏิเสธการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลบนดินแดนที่เป็นประเทศไทย หรือยังพิพาทอยู่” ซึ่งเป็นผลทำให้ 5 คนไทยต้องถูกพิพากษาลงโทษโดยศาลกัมพูชาอย่างไม่เป็นธรรมที่ผ่านมา และมีผลกระทบอย่างยิ่งกับ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ในการพิจารณาของศาลกัมพูชาย่อมได้รับผลร้ายมากยิ่งขึ้นเพราะได้ถูกข้อกล่าวหาร้ายแรงและไม่เป็นธรรมว่าจารกรรมข้อมูลจากมูลฐานความผิดคดีการล้ำเขตแดนกัมพูชา เพราะหากรัฐบาลไทยต่อสู้และกดดันว่าศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจตัดสิน 7 คนไทยในดินแดนไทยที่พิพาทอยู่ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ย่อมไม่สามารถโดนข้อกล่าวหาจารกรรมได้ แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีกลับกล่าวว่าเป็นคดีที่ผูกพันเฉพาะคู่ความ โดยไม่ปฏิเสธ โต้แย้ง กดดัน หรือการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลในการพิพากษาลงโทษกับ 7 คนไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ย่อมเป็นผลทำให้ 2 คนไทยที่เหลืออยู่ต้องตกอยู่ในสถานภาพที่อันตรายมากยิ่งขึ้น
6. ประเทศไทยได้สูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไทยบริเวณหลักเขต 46, 47 ไปแล้วโดย
พฤตินัยไปแล้ว เพราะ MOU 2543 โดยดูจากวีดีโอเส้นทางเดินของ 7 คนไทย จะพบว่าราษฎรไทยเข้าไปทำกินในที่ดินของตัวเองไม่ได้เพราะมีแต่ชุมชนและทหารกัมพูชายึดครองดินแดนไทยฝ่ายเดียว โดยเงื่อนไข MOU 2543 ระบุข้อ 5 ว่า ในระหว่างการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไม่แล้วเสร็จ ห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ทำให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะหากการเจรจาตกลงตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการไม่ได้ กัมพูชาก็ได้อาศัยเงื่อนไขดังกล่าวในการทำให้การเจรจาไม่แล้วเสร็จไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ชาวกัมพูชาที่อพยพมาอาศัยอยู่ในที่ดินทำกินของไทยสามารถยึดครองและขยายชุมชนได้ต่อไปอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา นอกจากนี้ยังมีการแสดงอำนาจอธิปไตยโดยกองกำลังทหารติดอาวุธของกัมพูชา โดยตำรวจตระเวนชายแดนไทยไม่สามารถเข้าไปโดยติดอาวุธได้ และยังมีการแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลในบริเวณดังกล่าว จึงย่อมเท่ากับว่าประเทศไทยได้สูญเสียอำนาจอธิปไตยในบริเวณดังกล่าวไปแล้วในทางปฏิบัติอย่างชัดเจน
7. ความอ่อนแอของรัฐบาลที่ยังแก้ไขไม่ได้กระทั่งแม้ปัญหาป้ายหินแกะสลักกล่าวร้ายประเทศไทยอันเป็นเท็จบนเขาพระวิหารว่าทหารไทยได้รุกล้ำเขตแดนกัมพูชาในบริเวณ วัดแก้วสิขะคีรีสะวารา เป็นปรากฏการณ์สะท้อนความล้มเหลวของ MOU 2543 เพราะในเงื่อนไขข้อ 8 ของ MOU 2543 ได้ระบุว่าในกรณีที่มีการพิพาทให้ใช้วิธีการปรึกษาหารือโดยสันติวิธี โดยไม่สามารถใช้กำลังทหารผลักดันได้ ทำให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบเหิมเกริม รุกล้ำ ยึดครองดินแดนไทย สร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อแสดงอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทยในทางปฏิบัติ และกล่าวอ้างว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ทั้งถนนอ้อมจากฝั่งกัมพูชารุกเข้ามาในฝั่งไทยถึงตัวปราสาทพระวิหาร สร้างวัด สร้างตลาด สร้างชุมชน สร้างแผ่นหินกล่าวร้ายประเทศไทย และเชิญธงชาติกัมพูชาขึ้นสู่เสาในวัดแก้วสิขาคีรีสวาระฝ่ายเดียว โดยที่ทหารไทยได้ปรับกำลังถอนตัวออกจากวันแก้วสิขะคีรีสะวาราแล้ว ย่อมถือว่าประเทศไทยได้สูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไทยบริเวณดังกล่าวแล้ว
8. หากยกเลิก MOU 2543 เราก็จะสามารถรักษาอธิปไตยไทยได้เหมือนดังที่บรรพบุรุษ
เคยทำได้สำเร็จมาตั้งแต่ในอดีต และไม่จำเป็นต้องทำสงครามเสมอไป เพราะอำนาจต่อรองทางแสนยานุภาพทางการทหารของประเทศไทยสูงกว่ากัมพูชา สามารถนำไปสู่การเจรจาต่อรองเพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ เช่น MOU 2554 ที่ยุติเงื่อนไขความเสียเปรียบทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยได้
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
24 มกราคม 2554
ชี้แจงเพิ่มเติม
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
อันนี้เป็นกรณีที่เราเห็นได้ชัดเจนว่า ชาวบ้านเจ้าของที่ดินเขาระบุตำแหน่งที่ดินของเขาชัดเจน ผมขออนุญาตให้สื่อมวลชนได้ดู เป็นภาพที่ให้ชัดเจนใหญ่กว่านี้ เดี๋ยวจะให้ผู้ที่ถูกจับกุมได้ชี้จุดด้วย เพราะว่ามีความคลาดเคลื่อนอยู่ จากเอกสารที่ชาวบ้านเมื่อสักครู่พูดถึง ก็คือทั้ง 7 คน เดินลงจากรถ เดินลงมาแล้วก็เลี้ยวขวามาตามถนน แล้วก็เลี้ยวซ้ายลงมา โดยนายกฯ อ้างว่ามีการถูกจับกุมแถวๆ นี้ โดยการชี้ทำนองว่าอยู่ในฝั่งกัมพูชาไปแล้ว และถูกจับมาควบคุมตัวมาอีก 55 เมตร อีกสักระยะหนึ่ง แล้วก็บอกว่าห่างจากเส้นเขตแดนนี้ ซึ่งนายกฯ ใช้คำว่า เป็นเส้นแนวปฏิบัติการ แต่จากหลักฐานเมื่อสักครูที่ชาวบ้านพูดถึง 2 กรณี คือสระน้ำยูเอ็น มีที่ดิน สค.1 ของนายหมา อันสมศรี มีตัวตน เป็น สค.1 ว่าเป็นพื้นที่ที่ยูเอ็นมาขุดสระเอาไว้ เดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่กาชาดสากลมาช่วยยืนยันด้วย และประการที่ 2 คือด้านขวา คือทางทิศตะวันออกของสระน้ำยูเอ็น เป็นที่ดินของนายบุญจันทร์ เกษธาตุ ซึ่งปัจจุบันอายุ 84 ปี มีอายุ มีชีวิตอยู่ และมาชี้จุดได้ และการชี้ของนายก อบต.บ้านใหม่หนองไทร คุณธิติพัทธ์ เสมาทอง ซึ่งแม่ยายเขาเป็นเจ้าของที่ดินบริเวณนี้ ได้บอกว่า เส้นเขตแดนตามเอกสาร สค.1 เมื่อปี 2498 ระบุว่า เส้นเขตแดนเป็นไปตามเส้นสีน้ำเงิน แปลว่าถ้าเอกสารสิทธิ์นี้ถูกต้อง 7 คนไทย ตราบใดที่ยังอยู่บนถนนนี้ และยังไม่ถึงสระน้ำยูเอ็น ย่อมแปลว่าเขายังอยู่ในประเทศไทย และถึงแม้จะเลยบริเวณดังกล่าว ก็มีข้อตกลงระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าจะไม่นำตัวขึ้นสู่ศาลกัมพูชาโดยเด็ดขาด เพราะเหตุว่า ศาลกัมพูชานั้นไม่สามารถมาพิพากษาบนพื้นที่ที่มีโอกาสเป็นประเทศไทย หรือพื้นที่พิพาทได้ นั่นเท่ากับว่าเรากำลังสูญเสียอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนประเทศไทย หรือพื้นที่พิพาทในพื้นที่ดังกล่าว
ปัจจุบัน ตามเส้นทางเดิมมักมีคนสงสัยแค่ 7 คนไทยเดินไปแค่ไหน แต่ไม่มีคนสงสัยเลยหรือว่า ปัจจุบันนี้มีชุมชนอาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งเป็นชุมชนชาวกัมพูชา และคนไทยเข้าไปไม่ได้ เหตุเพราะว่า MOU 2543 ข้อ 5 ระบุว่า ห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมระหว่างการจัดทำหลักเขตแดน หมายความว่า ตราบใดที่จัดทำหลักเขตแดนตกลงกันไม่ได้ กัมพูชาก็สามารถยึดครองได้อย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา และขยายชุมชนได้อย่างต่อเนื่อง
ประการถัดมา เท่าที่ดูตอนนี้ นี่คือข้อสังเกตที่เราเห็นได้ว่า 7 คนไทยยังไม่ล้ำ และไม่ควรใช้อำนาจศาลในพื้นที่ดังกล่าวอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวเราจะให้มีผู้ที่ประสบพบกับตัวเองในการชี้จุด ก็คือคุณตายแน่ มุ่งมาจน มาช่วยชี้จุด ในฐานะเป็นคนถ่ายวิดีโอ และจากข้อสังเกตจากที่ท่านนายกฯ เปิดวิดีโอเมื่อคืน ว่ามีความแตกต่างจากเหตุการณ์ที่ไปพบประสบด้วยตัวเองอย่างไร เรียนเชิญคุณตายแน่ มุ่งมาจน ครับ
นายตายแน่ มุ่งมาจน
ที่ผมไป ไปในฐานะสื่อมวลชน ระหว่างการถ่ายวิดีโอ หรือปฏิบัติงานอยู่ ผมได้ใช้บัตรนี้ปฏิบัติงานทุกครั้ง จุดที่ถูกจับกุมถูกยึดบัตรไปด้วย และถูกยึดกล้องวิดีโอไปด้วย
ในกรณีที่ เมื่อคืนนี้ผมดูแผนที่ของท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่แถลงการณ์เมื่อคืนนี้ มีจุดน่าสนใจอยู่จุดหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่คนไปถูกจับจะถ่ายทอดข้อมูลได้ดี จุดตรงนี้ซึ่งเป็นจุดที่ ถ้าเป็นแผนที่เมื่อคืนที่ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์แถลง จะเป็นจุดที่เขียนว่า จุดสิ้นสุดวิดีโอ พอดีผมให้ทีมงานทำมาไม่ทัน ทีมงานผมไม่ได้พักผ่อนตลอดทั้งคืน จุดนี้ที่เมื่อคืนท่านนายกฯ แถลง คือจุดสิ้นสุดวิดีโอ เป็นจุดเส้นตัดกันระหว่างถนนเส้นนี้กับเส้นหลักเขต ตรงนี้เป็นหลักเขตแดนที่ 46 ตรงนี้เป็นหลักเขตแดนที่ 47 หมายความว่า ตรงนี้คือรั้วของประเทศทั้ง 2 ฝั่ง ฝั่งนี้ของไทย ฝั่งนี้ของกัมพูชา จากหลังเส้นนี้คือเส้นที่ตัดกัน
ผมอ้างจากแผนที่ของท่านนายกฯ จุดนี้คือจุดสิ้นสุดวิดีโอ นั่นหมายความว่า เมื่อผมถูกยึดวิดีโอแล้ว ก็ควรเป็นจุดที่ผมถูกจับกุม จุดที่ผมถูกจับกุมจุดนี้ก็เป็นเส้นตัดกันระหว่าง 46 และ 47 นั่นหมายความว่า ผมยังไม่ได้ล้ำเส้นที่เรียกว่า รั้วของทั้ง 2 ฝั่ง ที่ท่านนายกฯ เรียกว่า จุดปฏิบัติการ แต่ทำไมจึงเกิดจุดนี้ คนไม่ถูกจับจะไม่รู้ ท่าน ส.ส.พนิช พวกผมอีก 6 ท่าน ถูกยึดกล้องวิดีโอจุดนี้ ยึดโทรศัพท์ ณ จุดนี้ แล้วทหารกัมพูชาได้ควบคุม ต้องใช้คำว่า ควบคุม ไม่ใช่ผมเดินต่อมาเองนะครับ ผมถูกควบคุมมาให้เดินผ่านถนนเส้นนี้เพื่อไปค่ายทหารของเขาซึ่งอยู่บริเวณสระน้ำยูเอ็น ผมถูกควบคุมกันมา ณ จุดตรงนี้ แล้วเขาก็มาถ่ายรูปอีกครั้งหนึ่ง จุดนี้มีการถ่ายรูปครั้งแรกหลังจากถูกยึดกล้องวิดีโอและยึดโทรศัพท์ แล้วอีกครั้งหนึ่งคือจุดที่ 2 คือ จุดนี้มีการถ่ายรูปอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจุดนี้ถ้าเปรียบเทียบจากเส้นหลักที่ 46 มาหลัก 47 แล้วตัดเป็นแนวตรง จุดนี้จะเป็น 55 เมตร ซึ่งทางกัมพูชา ถ้าแผนที่เมื่อคืนที่ท่านนายกฯ ที่เขียนว่าเส้นสีแดง กัมพูชาอ้างว่าจับคนไทย ณ จุดนี้ ถ้าพูดตามหลักความจริง ทำไมผมจะต้องมาถูกจับกุมจุดนี้ มันควรจะถูกจับกุมที่จุดยึดกล้องวิดีโอ ดีนะครับที่กัมพูชาไม่เอาผมไปถ่ายรูปที่พนมเปญ แล้วบอกผมล้ำไปถึงพนมเปญ
ตรงนี้ผมจึงมองว่า หลัก 46, 47 ถ้าผมถูกยึดกล้องวิดีโอตรงนี้ผมยังไม่ล้ำแดน ผมยังไม่ได้ล้ำแดนกัมพูชา แต่ภาพที่เห็นในวิดีโอ คือผมถ่ายเอง 21 นาที ฝีมือผมเอง ท่านเห็นไหมครับ ระหว่างทางที่ผมเดินกันมา เห็นหมู่บ้านกัมพูชา เห็นชุมชนชาวกัมพูชา มันบอกอะไรครับ มันบอกชุมชนกัมพูชาล้ำไปหลังรั้วคนไทยอยู่ ประเด็นนี้พวกท่านคิดบ้างไหมครับ และประเด็นนี้ไม่เป็นธรรมกับคณะที่ถูกจับ แล้วภาพที่เห็นข้างหลังนี้เป็นภาพที่มีชุมชนชาวกัมพูชาอยู่ ถ้าพูดถึง MOU ข้อที่ 5 ถ้า MOU ข้อ 5 ตามที่ท่าน อ.ปานเทพ แถลงไป ถ้าท่านไปดูเอกสาร ข้อที่ 5 ห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพ แล้วเป็นพื้นที่ที่พิพาทกันอยู่ เรียกว่าเคลมกันไปเคลมกันมา กัมพูชาก็อ้างไทยก็อ้าง พื้นที่ตรงนี้ควรเป็นพื้นที่โนแมนสแลนด์ คือ ไม่ควรมีใครมาอยู่ จนกว่าจะตกลงกันได้ ถูกต้องไหมครับท่าน อ.เทพมนตรี โดยหลักการในการจัดวัดเขตแดน ก็คือพื้นที่โนแมนสแลนด์ พื้นที่ตรงนี้ยังไม่ควรมีชุมชนชาวกัมพูชาอยู่จนกว่าทั้ง 2 ประเทศจะตกลงกันได้ ผมยืนยันและคณะทั้งหมด โดยเฉพาะ อ.วีระ ยืนยันว่า เราไม่ได้ล้ำดินแดนชาวกัมพูชา อ.วีระ ถูกจับครั้งแรกเพราะจะไปพิสูจน์พื้นที่ตรงนี้ จากที่ชาวบ้านร้องเรียน ที่ อ.ปานเทพ เปิดวิดีโอ จุดแรกที่ อ.วีระ สมความคิด ถูกจับ คือวันที่ 20 สิงหาคม 2553 แต่ไม่ดัง ไม่เป็นข่าวมาก ปิดข่าวกันไป คือ อ.วีระ เดินข้ามลวดหนามตรงนี้ นี่คือแนวลวดหนาม ถ้าในวิดีโอ อ.วีระ บอกว่า ถ้าข้ามเสารั้วนี้ไปกัมพูชาเขาอ้างแล้วว่าเป็นของเขา ถ้าเราข้ามไปจะถูกจับ เพราะกัมพูชาว่านี่เป็นของเขาแล้ว และ อ.วีระ เคยถูกจับครั้งแรก เมื่อ 20 สิงหาคม 2553 เลยรั้ว ซึ่งสร้างสมัยสงครามเวียดนาม เขมรแดงผลักดันกันมา ซึ่งสร้างโดยรัฐไทยในขณะนั้น ข้ามมาไม่ถึงถนนด้วยซ้ำ ครั้งแรกที่ถูกจับกุม อาจจะไม่เป็นข่าว ก็คือเลยรั้วลวดหนามมา แล้วถูกจับกุมไป ถ้าจะนับว่า อ.วีระ ถูกจับครั้งแรก วันที่ 20 สิงหาคม อยู่ในแผ่นดินไทยหรือไม่ มันชัดเจนอยู่แล้ว เพราะยังไม่ถึงเส้นพรมแดนตรงนี้ แต่ครั้งนี้ 7 คนเดินมานี่แล้วเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย และซื้อน้ำกินบริเวณนี้ ถ้าดูตามคลิปวิดีโอ และถูกยึดกล้องวิดีโอ ณ จุดนี้ ตามแผนที่ของท่านนายกฯ เมื่อคืนนี้ นั่นหมายความว่า พวกผม 7 คนไม่ได้ล้ำดินแดนกัมพูชา แต่ที่ถูกจับกุมตรงนี้อีกทีเพราะถูกควบคุมจากทหารกัมพูชา และทหารกัมพูชาเอาไปใช้ประโยชน์ เหมือนที่ผมจะอธิบายว่า ดีนะครับที่เขาไม่ถ่ายรูปผมที่พนมเปญแล้วบอกว่า ผมลึกไปจนถึงพนมเปญ
ผมเพิ่มเติมเล็กน้อยเพื่อไม่ให้มีความสับสนในเรื่องของสถานะที่เราอยู่กัมพูชา และเราก็อยู่ประเทศไทย จากที่เราเช็กข่าว ข้อมูล จะมีสื่อมวลชนฝั่งไทยเขียนค่อนข้างสรุปเลยว่า 5 คนไทย ยอมรับว่าล้ำดินแดนกัมพูชา ซึ่งตรงนี้ผมอยากจะเรียนว่า การให้การของแต่ละคนในศาลกัมพูชา จะแตกต่างกันไปตามสถานะ สำหรับของผมในฐานะของสื่อมวลชน ความสับสนของข่าวตรงนี้ รู้สึกว่าสื่อสารมวลชนของเราจะเหมาะรวมและสรุปกันมากเกินไป พวกเราให้การแต่ละคน รายละเอียดต่างๆ จะมีแต่ละคนที่ให้การแตกต่างกันไป ตามที่บทบาทของคนที่มีอยู่ เหมือนกับบางข่าวบอกว่า ผมต้องการกลับบ้านเพราะคิดถึงลูก เมีย ซึ่งผมยังไม่มีครอบครัวเลย
ในเรื่องของคำให้การ สำหรับของผมเอง เป็นประเด็นที่น่าสนใจ และผมอยากให้สื่อมวลชนเขียนให้ตรงหน่อย คือว่า ที่ผมเข้าสู่กระบวนการศาล เขาไต่สวนผม ศาลกัมพูชาถามผมว่า คุณไม่รู้หรือว่าคุณได้เข้าไปในพื้นที่ควบคุมทางทหารของกัมพูชา ศาลกัมพูชาไม่ได้บอก คุณไม่รู้หรือว่าคุณเข้าไปในดินแดนกัมพูชา แต่เขาบอกว่า คุณไม่รู้หรือว่าคุณเข้าไปในพื้นที่ควบคุมทางทหารของกัมพูชา นั่นหมายความว่า ศาลกัมพูชาไม่ได้ฟันธง 100% ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นดินแดนของกัมพูชา เพราะเขาใช้คำว่า พื้นที่ควบคุมทางทหารของกัมพูชา ผมก็บอกว่าผมไม่ทราบ เขาถามผมว่า คุณเห็นป้ายกัมพูชาไหม คุณเห็นคนกัมพูชาไหม ผมบอกผมเห็น อ้าวทำไมคุณเห็นแล้วคุณไม่รู้ว่านี่คือพื้นที่ควบคุมทางทหารของกัมพูชา ผมบอกว่า อ.วีระ สมความคิด บอกกับพวกเราว่า นี่คือดินแดนไทย นี่คือคำโต้กันระหว่างผมกับศาล แต่สื่อมวลชนเขียนสรุปว่าพวกเรายอมรับว่าล้ำดินแดน ตรงนี้ผมไม่อยากให้สับสนว่า เดี๋ยว 5 คนไทยกลับมาแล้วมายืนยันว่าเราไม่ได้ล้ำแดนแต่เวลาอยู่พนมเปญดันไปบอกว่าล้ำแดน ผมไม่อยากให้สับสนในส่วนตรงนี้
อีกส่วนหนึ่ง การช่วยเหลือของทางการไทยก็มีอยู่ ก็คือ ทางฝ่ายไทยก็คือ ทหาร ตชด.ฝ่ายไทย ได้พยายามเข้าไปเจรจาที่จะช่วยเรา หรือจะเอาเราออกมา ซึ่งในระดับพื้นที่ ผมอยากจะขออนุญาตตรงนี้นิดหนึ่ง พอหลังจากที่พวกเราถูกถ่ายรูปจุดที่ 2 แล้วกัมพูชาเอาไปใช้ประโยชน์ และอ้างว่า พวกเรานั้นถูกจับกุม ณ จุดนี้ แล้วรัฐบาลไทย เมื่อคืนนี้ท่านนายกฯ ได้อธิบายไปเมื่อคืนนี้ ตรงนี้ผมเรียนตามตรงนะครับว่า เราเรียนตามข้อเท็จจริงที่พวกเราถูกจับกุม แล้วภาพในวิดีโอจะสิ้นสุด ณ จุดนี้ และภาพสุดท้าย ถ้าท่านดูในคลิป 21 นาทีฉบับเต็ม ไม่มีการตัดต่อ คือ ภาพป้ายทะเบียนรถเก๋งคันหนึ่ง นั่นก็คือรถของทหารกัมพูชา และจากนั้นสิ้นสุดวิดีโอแล้วครับ ผมถูกยึดกล้องแล้ว และผมถูกควบคุมตัว ต้องยืนยันว่า ควบคุมตัว ไม่ใช่เดินต่อมาเอง ผมจะเดินไปไหนได้ถ้าทหารกัมพูชาไม่ควบคุมตัว ควบคุมตัวแล้วมาถ่ายรูปตรงนี้อีกครั้งหนึ่งแล้วบอกผมล้ำไปในดินแดนเขา หลังจากนั้นเราถูกควบคุมตัวแล้วเดินมา ณ บริเวณตรงนี้ แล้วทหารไทยพยายามเข้ามาคุยแต่ช่วยไม่ได้ ตรงนี้เป็นสิ่งซึ่งน่าสนใจ คือว่า ทหารไทยไม่ได้ติดอาวุธเข้าไปเลย แต่ทหารของกัมพูชามีอาวุธอยู่ ประเด็นที่น่าสนใจคือว่า พวกเรานั้นเข้ามาพิสูจน์เพื่อจะยืนยันว่า พื้นที่ที่ไม่เลยเส้นเขตแดน 46, 47 นั้นเป็นพื้นที่ของไทย แต่เราถูกทหารกัมพูชาควบคุมมาแล้ว นั่นหมายความว่า ถ้ารัฐไทยแข็งแรงจริงๆ ต้องรักษาสิทธิประโยชน์ของคนไทยไม่ให้กัมพูชาจับได้ หมายความว่า ต้องคุยกับแล้วบอกว่า พวกคนไทย 7 คนถูกจับจุดนี้ คุณไม่มีสิทธิ์จะจับคนไทยที่ยังไม่ล้ำแดน แต่อีกนัยหนึ่งคือว่า ส่วนที่เห็นในหมู่บ้านตรงนี้ไม่ใช่หมู่บ้านคนไทย แต่เราสนใจกันไหมครับ ผมแค่เดินมาแล้วผมเข้าไปไม่ได้จะไปยึดอาชีพคนกัมพูชา แต่คนเหล่านี้ที่สร้างบ้านสร้างเรือนมา 20 กว่าปี มันสะท้อนอะไรครับ สะท้อนว่ารัฐไทยที่ผ่านมาอ่อนแอมาตลอด ไม่รักษาสิทธิประโยชน์ของคนไทย จึงเป็นที่มาของคนบ้านหนองจาน นายก อบต.บ้านใหม่หนองไทร นายก อบต. พิพัฒน์ เสมาทอง ที่อาจารย์ไปสัมภาษณ์นั้น จึงได้มาร้องเรียน เป็นที่มาให้ อ.วีระ สมความคิด คณะพวกผมลงพื้นที่
แซมดิน- ครับ พวกเราทั้ง 7 คน ได้ไป ถือว่าลงทุนลงแรงนะครับ พวกเราทั้ง 7 คน ถือว่าลงทุนลงแล้วมาแล้ว เอาชีวิตเข้าไปเพื่อพิสูจน์ความจริงตรงนี้ ก็อยากให้พี่น้องสื่อมวลชนทั้งหลายติดตามเรื่องนี้ โดยรับทราบข้อมูลจากชาวบ้านด้วย ครับ เพื่อให้ความจริงประจักษ์ ว่า เหตุการณ์ที่เป็นจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่ เราก็ถือว่า คุ้มค่าครับ ที่การเดินทางไปเที่ยวนี้ ประสบความสำเร็จ และได้รับความร่วมมือจากพี่น้องสื่อมวลชน แต่ถ้าเรื่องนี้เสร็จแล้วเงียบไป หรือหายไป มันคงไม่มีประโยชน์อะไร จากการที่ 7 คนไทยได้ไปพิสูจน์ความจริง โดยรับทราบข้อมูลจากชาวบ้านครั้งนี้ ก็หวังว่า คงได้รับความร่วมมือจากพี่น้องสื่อมวลชน ติดตามเรื่องนี้ ให้ความจริงประจักษ์ ขอบคุณครับ
ปานเทพ- ขออนุญาตอีกท่านหนึ่ง คุณแก่นฟ้า แสนเมือง เป็นอดีตเจ้าหน้าที่กาชาดสากล ซึ่งเคยทำงานในพื้นที่บริเวณแถวนี้ เพื่อช่วยเขมรอพยพนะครับ ซึ่งเป็นประเด็นที่ท่านนายกฯ ไม่พูดถึงเลย ในการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ ขออนุญาตคุณแก่นฟ้าครับ
แก่นฟ้า
ขอสวัสดีพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่านนะครับ ผมชื่อแก่นฟ้า แสนเมือง ในอดีตเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เคยทำงานอยู่ที่องค์การกาชาดสากล ที่ อ.อรัญประเทศ ซึ่งมีเขตรับผิดชอบตั้งแต่พื้นที่ อ.กาบเชิง จนถึง จ.ตราด นี่คือเขตที่เราต้อง เขตปฏิบัติการทั้งหมดของหน่วยงานกาชาดสากล ซึ่งทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น อันโดร และกลุ่มหน่วยงานอื่น แต่หน่วยงานที่ใหญ่ๆ มี 2 หน่วยงานหลักๆ คือ อันโดร กับไอซีอาร์ซี (ICRC) หรือหน่วยกาชาดสากล ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งที่สังกัดอยู่ในหน่วยงานกาชาดสากล และในฐานะที่ผมเป็นฝ่ายปฏิบัติการด้านสื่อสาร เป็นเจ้าหน้าที่สื่อสาร จะต้องรู้จุดทุกจุดในเขตปฏิบัติการทั้งหมดว่าจุดไหนอยู่ตรงไหน เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญว่าเราจะต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติการที่จุดนั้น โดยเฉพาะเรื่องของชายแดน เราก็ต้องรู้ว่าหลักเขตแดนมันอยู่ตรงไหนบ้าง หลักเขต 46 , 47 ไล่ขึ้นไป จากตั้งแต่หนองจาน ถ้าทางใต้ อ.อรัญประเทศ ก็ตั้งแต่หนองปรือทับพริก ขึ้นมาถึงเขตโรงเกลือ และขึ้นไปถึงจุดที่สำคัญที่สุด คือหลัก 46 , 47 ไล่ไปถึงเขตแดนแถวสัน (***) สาย 2 ขึ้นไปตรงจุดนั้น ที่ผมได้ทำงานอยู่ในช่วงนั้น
ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่หนองจาน หนองจานเป็นจุดที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นจุดที่มีการต่อสู้ที่มากที่สุด ขณะผมอยู่ทำงานประจำการอยู่ที่เขาอีด่าง ซึ่งห่างจากจุดนั้นประมาณเกือบ 30 กิโลฯ ก็ยังได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวหลายคืนติดๆ กันนะครับ เป็นจุดที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นจึงมีผู้อพยพเข้ามาที่หนองจานมากที่สุด แล้วจากหนองจานก็ถูกส่งไปที่สาย 2 หรือสาย two ในภาษาฝรั่ง สาย two ขึ้นไป เหนือ อ.ตาพระยา ขึ้นไป เพราะฉะนั้นจุดนี้ จุดที่หนองจาน ถ้าเห็นภาพจะเป็นภาพที่ชัดเจน ซึ่งภาพนี้ถ่ายโดยกาชาดสากล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ผมสังกัดอยู่ ในภาพนี้เป็นผู้อพยพชาวกัมพูชา ได้อพยพ เป็นภาษาฝรั่ง เขียนบอกว่า Refugee arriving at the Nongjan Refugee Camp in Thailand นะครับ in Thailand ไม่ใช่ in Cambodia หรือ Cambodia Border ไม่ได้พูดอย่างนั้น แต่ in Thailand เลยนะครับ และในภาพจะเห็นทหารไทยยืนควบคุมอยู่นะครับ ภาพทหารไทย แต่งชุดทหารไทย ยืนควบคุมผู้อพยพที่เข้ามาในเขตชายแดนของไทยในเขตบ้านหนองจาน ที่ Nongjan Camp นี่ยืนยันว่าตรงนี้เป็นเขตชายแดนของประเทศไทย คือแคมป์หนองจานทั้งหมด หรือ Nongjan Refugee Camp อยู่ในเขตแดนของประเทศไทยทั้งหมด
และเจ้าหน้าที่ที่ไปปฏิบัติการในเขตนั้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ หน่วยงานกาชาดสากล หน่วยงานอันโดร หน่วยงานไออาร์ซี ซีโออาร์ ทั้งหมดซึ่งเป็นหน่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำงานที่โน่น ก็ถือว่า ก็เข้าใจว่าพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ประเทศไทย เพราะว่าหลักเขตแดน 46 , 47 ขีดบอกอยู่ว่า นี่ล่ะคือแผ่นดินประเทศไทย ถ้าจะเห็น พวกเจ้าหน้าที่ที่ทำงานตรงนั้น สามารถเข้าปฏิบัติการในเขตนี้ได้ เพราะทุกคนมั่นใจว่าเขตนี้อยู่ในเขตของแผ่นดินไทย เพราะหลักที่ 46 และ 47 เป็นเครื่องบ่งชี้ 30 ปีที่แล้วทุกคนรู้ดีว่า 46 และ 47 มันอยู่ตรงไหน รู้ดีจนกระทั่งว่าจะต้องมาขุดสระตรงนี้ เพราะตรงนี้มีแหล่งน้ำ ในการที่ผู้อพยพเข้ามาจะต้องมีแหล่งน้ำ เพราะสำคัญที่สุดคนอยู่เป็นหมื่น ไม่มีน้ำไม่ได้ ยูเอ็นก็เลยต้องมาขุดแหล่งน้ำ ขุดบ่อน้ำ ในแผ่นดินซึ่งเป็นแผ่นดินไทย เพราะว่าเส้นจุดนี้ 46 , 47 เป็นตัวบ่งชี้ เพราะขีดมา ลากมาอย่างนี้ ก็บอกว่า อ๋อ นี่แผ่นดินไทยนะ หลังเส้นนี้แผ่นดินไทยนะ ก็เลยมาขุดบ่อน้ำที่ตรงนี้ ซึ่งเป็นที่ดินของนายหมา แล้วก็มีที่ดินของคนไทยคนหนึ่งอยู่ตรงนี้ นายบุญจันทร์ เกษธาตุ มีเอกสารพร้อมเสร็จ นี่ 50 ปีที่แล้ว แต่เหตุการณ์ที่ขุด 30 ปีที่แล้ว เมื่อผู้อพยพชาวกัมพูชาเข้ามาในเขตแดนไทย ผมจึงยืนยันได้ว่า เขตแดนบริเวณนี้เป็นของแผ่นดินไทยทั้งหมด และผู้ถูกจับทั้ง 7 คน ก็ถูกจับในแผ่นดินไทย ผมจะเอาไม่เอาเขตนี้ล่ะครับ เพราะเขตนี้มันตั้งขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ผมได้ยิงชื่อเขตนี้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง เมือคนไทยถูกจับ แต่เขตนี้ผมได้ยินมานานเมื่อ 30 ปีที่แล้ว แต่เขตนี้ เส้นนี้ ผมเพิ่งรู้ตอนที่คนไทย 7 คน ถูกจับ ว่า อ๋อ มันมีเส้นนี้เหมือนกันนะ แต่ไม่รู้ว่าใครลากขึ้นมา ผมไม่ทราบ แต่ที่ผมทราบแน่ๆ สระน้ำนี่เป็นประจักษ์พยาน ทำให้ผมมั่นใจ ก็สระน้ำนี่ล่ะพวกยูเอ็นขุด เมื่อ 30 ปีที่แล้วเขาขุด แล้วจะไปขุดในแผ่นดินเขมรได้อย่างไร นะครับ เป็นไปไม่ได้ เพราะแถวนี้กับระเบิดเต็มไปหมดเลย จะไปขุดได้อย่างไร เพราะแผ่นดินกัมพูชาเป็นแผ่นดินที่มีชื่อมากในเรื่องกับระเบิด กว่าคุณจะเดินข้ามมาถึงเมืองไทยได้ แขนขาดขาขาดมา เพราะโดนกับระเบิด ซึ่งรถพยาบาลที่พวกผมปฏิบัติการอยู่ ไปรับคนที่โดนกับระเบิดมาทุกวันๆ ตลอดแนวชายแดน เพราะมันจะเป็นการเสี่ยงมากที่จะไปขุดสระน้ำในบริเวณดินแดนของกัมพูชา ซึ่งมีแต่กับระเบิด ไม่มีใครทำหรอกครับ ผู้รับเหมาคนไหนก็ไม่มีใครทำ เพราะการขุดสระน้ำมันไม่ใช่ขุดแค่ 1-2 วันเสร็จ เพราะสระลูกนี้ก็สระใหญ่พอสมควร
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า สระน้ำตรงนี้อยู่ในประเทศไทย 100 เปอร์เซ็นต์ และเขาขุดสระน้ำบนพื้นฐานของหลักเขต 2 หลัก ซึ่งถ้าอยู่ในหลักเขตนี้ คิดด้านนี้ของหลักเขต ก็เป็นผืนแผ่นดินไทย ผมจึงยืนยันได้ว่าคนไทย 7 คนที่ถูกจับนั้น อยู่ในแผ่นดินไทย ซึ่งข้อมูลอย่างนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นคุณกับคนไทยแล้ว ทำไมรัฐบาลไม่เอาไปอ้างกับรัฐบาลกัมพูชาเพื่อประโยชน์ของคนไทย นี่คือสิ่งที่คนไทยอย่างผมสงสัย จึงออกมาถามรัฐบาลว่า ทำไมท่านยอมให้คนไทยถูกจับ โดยท่านอ้างเอาเส้นที่เป็นประโยชน์ต่อกัมพูชามาอ้าง มากล่าวอ้าง ทำไมไม่เอาเส้นซึ่งเป็นจริงเมื่อ 30 ปีก่อน บุคคลตัวตนยังมีอยู่ ทำไมท่านไม่เอาตัวนั้นเป็นประจักษ์พยานมา เพื่อช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับ ว่าคนไทยถูกจับบนพื้นดินของคนไทย และเป็นอธิปไตยของเหนือแผ่นดินไทย คุณก้าวล่วงไม่ได้ คุณใช้อำนาจศาลไม่ได้ ทำไมท่านไม่ใช้เครื่องมือเครื่องนี้เพื่อช่วยเหลือคนไทย นี่คือสิ่งที่ผมสงสัยครับ ขอบคุณมากครับ
เทพมนตรี- เรียนพี่น้องสื่อมวลชนนะครับ คือตลอดระยะเวลาที่คนไทยทั้ง 7 คนถูกจับ ตั้งแต่วันที่ 29 กระผมกับ อ.ปานเทพ ก็ทำงานอย่างหนัก และมีการโต้ตอบจากคุณศิริโชคหลายประการ และผมเข้าใจว่า เมื่อคืนนี้ที่ท่านนายกฯ แถลง คือข้อมูลที่คุณศิริโชคทำให้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง โดยเฉพาะบริเวณที่ท่านนายกฯ ชี้จากแผนที่ที่เมื่อคืนนี้ ที่สื่อมวลชนได้เห็น คนทั่วประเทศได้เห็นนั้น มันเป็นแผนที่ที่ท่านนายกฯ ไม่พูดเรื่องค่ายหนองจานเลย ค่ายหนองจานหมายความว่า พยายามที่จะหลีกเลี่ยง ไม่พูดว่าตรงนั้นคือ บริเวณค่ายผู้อพยพ เป็นวิธีการพูดของท่านนายกฯ ตลอดมา ที่ทำให้คนไทยหลงประเด็น เป็นลักษณะที่ ผมคิดว่า ท่านไม่ใช่สุภาพบุรุษ ทั้งๆ ที่เวลาที่ผมตอบโต้คุณศิริโชค ท่านก็อยู่เบื้องหลังคุณศิริโชคนั่นแหละ คุณศิริโชคไม่เคยค้นคว้าเอกสารของยูเอ็นจริงๆ
ผมอยากจะบอกพี่น้องสื่อมวลชนว่า ผมมีเอกสารของยูเอ็น หน้าก็เป็นลักษณะแบบนี้ เอกสารของยูเอ็นจัดทำขึ้นในปี 1980 คือ เป็นการรายงานว่า บริเวณค่ายหนองจานนั้น มีลักษณะเป็นยังไงบ้าง โดยเซอร์โรเบิร์ต แจ็คสัน ท่านนายกฯ ถ้าเกิดท่านดูอยู่ ท่านควรไปค้น เพราะมันไม่ยากไรเลย และคนที่มีเอกสารนี้คือ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศมีทุกสิ่งทุกอย่าง ผมเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของ เจบีซี 3 ฉบับ ในบทบาทนั้นผมไม่ค่อยอยากเอ่ยถึง แต่ผมกำลังจะบอกว่า การที่เป็นที่ปรึกษาของผมในคณะเจบีซีนั้น ถ้าเกิดพี่น้องสื่อมวลชนไปดูจะเห็นว่า ผมเป็นคนที่พูดมากที่สุด และให้ข้อมูลในกรรมาธิการชุดนี้มากที่สุด และกระทรวงการต่างประเทศนิ่งเงียบมากที่สุด กระทรวงการต่างประเทศมีเอกสารชุดนี้ แต่ไม่ยอมใช้เอกสารที่เรามีอยู่ในประเทศไทย ช่วยพี่น้องคนไทยทั้ง 7 เลย จะเห็นว่า จากการประมวลข่าวของผมเอง พบว่า ท่านทูต เอกอัครราชทูตที่เป็นคนไทยประจำกรุงพนมเปญ ท่านก็ถือแผนที่ที่คุณกษิต ภิรมย์ เอาไปแถลงข่าว ซึ่งเป็นต้นตอแผนที่เมื่อคืนนี้แหละ แล้วเอาไปให้คนทั้ง 7 คนดูว่า เขาได้รุกล้ำในดินแดนประเทศกัมพูชาไป 55 เมตร ในสภาวะที่เขาอยู่ในเรือนจำ เราก็รู้ในเชิงจิตวิทยาคือ ทุกคนก็ไม่มีเอกสารที่จะโต้ตอบกัมพูชาได้ ยกเว้นพึ่งทางการไทย ซึ่งแปลกประหลาดมากว่า กระทรวงการต่างประเทศมีเอกสารนานาชนิด มีอีกชุดหนึ่งที่ท่านนายกฯ อาจจะไม่รู้ แต่ผมคิดว่า ถ้าท่านนายกฯ จบจากออกฟอร์ด ออกฟอร์ดไม่เคยให้นักเรียนเชื่อหลักฐานข้างเดียว เอกสารของกองกำลังบูรพาระบุว่า หลักเขตที่ 46 และ 48 ต.โนนหมากมุ่น กิ่ง อ.โคกสูง ถูกราษฎรกัมพูชาบ้านโชคชัย พี่น้องสื่อมวลชนจำได้ใช่ไหมครับว่า กองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งกรมแผนที่ทหารนั้น พูดถึงบ้านโจกเจียก หรือโจกเกียก ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า บ้านโชคชัย กองกำลังบูรพารู้ดีกว่า ชุมชนโจกเจียกและโชคชัยนั้น ได้รุกล้ำเข้ามาดินแดนประเทศไทย รวมเนื้อที่ทั้งหมดที่รายงานในปี 2551 ต่อคณะกรรมาธิการ บอกว่า รวมเนื้อที่ที่ล้ำเข้ามา 400 ไร่ และรุกเข้ามาในดินแดนประเทศไทย 300 เมตร แล้วยังพบว่า หลักเขตที่ 48 ถูกทำลายทิ้งไปแล้วด้วย หมายความว่าอย่างไร กองกำลังบูรพารายงานไปที่หน่วยเหนือ หน่วยเหนือที่ว่านี้ ตลอดระยะเวลาของรายงานบอกว่า จะต้องรายงานไปที่กระทรวงการต่างประเทศ ตาม MOU43 กระทรวงตางประเทศจึงมีเอกสารทุกสิ่งทุกอย่างที่จะยืนยันได้ว่า พี่น้องคนไทยทั้ง 7 คนของเราอยู่ในดินแดนประเทศไทยตลอดเวลาที่เดินเข้าไป อันนี้ไม่นับรวมถึงหลักฐานที่เกี่ยวกับเรื่องบ่อน้ำยูเอ็น
ผมอยากจะให้ท่านดูแผนที่ นายกรัฐมนตรีไม่เคยพูดถึงเส้นสีเหลืองข้างบน พูดแต่ว่าเป็นรั้วลวดหนาม และอันนั้นคืออะไร นั่นคือรั้วลวดหนามที่ยูเอ็นขึงเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่อพยพ ชาวกัมพูชาทะลักเข้ามาดินแดนประเทศไทย จะได้ควบคุมง่าย แต่มันไม่ใช่หมายความว่า หลังรั้วลวดหนามที่ออกไปนั้นไม่ใช่ดินแดนประเทศไทย มันคือดินแดนประเทศไทย แต่เรากันเขตไม่ให้ผู้อพยพนั้นทะลักเข้ามาเดี๋ยวจะเป็นปัญหา เพราะมันเคยมีปัญหาก่อนหน้านั้น คือ คุณหมอจากโรงพยาบาลจุฬาฯ ไปเสียชีวิต เพราะเหตุไปช่วยผู้อพยพแล้วถูกเขมรฝ่ายไหนไม่รู้ฆ่าตาย คือ ปล้นฆ่า เพราะเหตุไม่มีรั้วลวดหนาม เขาจึงกั้นรั้วลวดหนามไว้จากเหตุการณ์นั้น ปรากฎว่า ในแผนที่ รายงานของ ที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ชุดนี้ซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิตของฮาร์วาร์ด ได้พูดถึงรั้วลวดหนามที่ค่ายหนองจานด้วย เป็นแนวเส้นประ ซึ่งตรงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ที่ อ.ปานเทพ เอามาให้ตัวเส้นสีเหลือง แต่ท่านนายกฯ ไม่พูดถึงรั้วลวดหนามและค่ายหนองจานเลย เสมือนหนึ่งว่า ท่านนายกฯ กำลังจะใช้กลไกเจบีซี โดยวางหมากเอาไว้ว่า แผนที่ L7018 ที่ท่านนายกฯ ใช้มันเป็นแผนที่ที่ถูกต้อง แล้วเส้นเขตแดน 46, 47 ที่ท่านนายกฯ เอาไปแสดงต่อสาธารณชนนั้น ต่อไปกัมพูชาจะใช้เป็นหลักฐานเวลาที่อยู่ในคณะกรรมการ JBC แล้วบอกว่า นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยยังกล้าแสดงหลักเขตแดน ซึ่งมันเคยย้ายไปแล้ว ล้ำแดนเข้ามาแล้วอยู่ในบริเวณที่ท่านนายกฯ ชี้ ซึ่งเป็นหลักเขตที่ผิด ผมเคยท้าคุณศิริโชค ท่านนายกฯ ว่า ให้เอาบันทึกวาจา เมื่อ 92 ปีขึ้นมา ทุกคนเงียบหมด เหตุเพราะว่า กลัวว่าเดี๋ยวจะต้องไปตั้งกรรมการสอบสวนว่า ใครเป็นคนย้ายหลักเขตดินแดน และนั่นหมายความว่ามันจะเรื่องใหญ่ ตอนนี้ท่านนายกฯ พยายามกลบปัญหา โดยการไปเอาหลักเขตที่สมมุติขึ้น โดยการมองเห็นจากปัจจุบัน ที่คุณตายแน่บอก จะเห็นว่า พัฒนาการของหลักเขตที่อยู่บนนี้
ผมขอสรุปให้เข้าใจอีกที ตามแนวของที่ดินที่ชาวบ้านมีอยู่ ตรงนี้เขาสันนิษฐานว่ามีหลักเขตที่ 47 แล้วมาตรงนี้เป็น 46 จากนั้นจะเฉียงออกไป ประเด็นของมันคือว่า พ.ศ.2498 หลักเขตที่ 47 ยังอยู่บริเวณที่ดินมุมด้านทิศใต้ของสระน้ำ จากคำให้การของชาวบ้าน เมื่อตั้งค่ายอพยพแล้วมีการขุดบ่อน้ำบนที่ดินชาวบ้านแล้ว หลักเขตยังอยู่ แต่หลักเขตเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่ ค่ายอพยพมาตั้งอยู่แล้วถูกทำลายโดยกองทัพเวียดนาม เมื่อถูกทำลายไปแล้ว คนจากบ้านหนองจานไปอยู่ไซด์ทู ข้างบนตรงตาพระยา แต่เวลาต่อมา ประมาณ 2524-25 มีชุมชนชาวกัมพูชาทะลักเข้ามาอยู่ ตั้งบ้านเรือน แล้วปรากฏในรายงานของกองกำลังบูรพา ในปี 48 ว่ารุกล้ำเข้ามา 84 ไร่ มันมีพัฒนาการไม่ใช่กล่าวลอยๆ แล้วเมื่อ 2 ปีนั้น กองกำลังบูรพาบอกว่า ชุมชนนี้ขยาย เติบโตไปรุกล้ำดินแดนเข้ามาอีก 400 ไร่ เพราะฉะนั้น MOU 43 ที่ท่านนายกฯ กอดอยู่นักหนา รักมันมากเหมือนกับเป็นชีวิตชีวา มันเริ่มแผลงฤทธิ์เข้าข้างกัมพูชา แล้วมันทำให้เรานั้นทำอะไรไม่ได้กับชุมชน โดยเฉพาะทหารเขาขับไล่ไม่ได้ เพราะ MOU43 บอกว่าต้องสันติวิธี ไม่ใช้อาวุธ เพราะฉะนั้นไม่เปลี่ยนสภาพใดๆ แต่กัมพูชาเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เราไปดูภาพถ่ายทางอากาศปัจจุบัน หลังคาสังกะสีของแนวหมู่บ้านกัมพูชา หรือผู้อพยพ เต็มไปหมด ยังปรากฏแผนที่ L7017 และ L7018 ที่ท่านนายกฯ ใช้ ท่านไม่ดูหรอครับว่า ในนั้นเขาเขียนว่า หมู่บ้านผู้อพยพ และบ้านเขมรอพยพ ท่านไม่เคยพูดเลย ท่านโกหกต่อหน้าคนทั้งประเทศหลายครั้ง ถ้าเอาตามท่านแบบเมื่อคืนนี้ พรุ่งนี้ท่านไปเอาที่ดินที่ท่านบอกว่า ชาวบ้านมีโฉนดอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ตรงนี้ เอาตรงนี้คืนให้เขาเลยได้ไหม ท่านเดินเข้าไปแค่นี้ทหารเขมรก็ถืออาก้ามาแล้ว ท่านเป็นสุภาพบุรุษไหม ท่านบอกกับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศว่า ตรงนี้คือที่ดินชาวบ้าน เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เขาได้คืนนะ แต่ผมคิดว่าท่านไม่ทำ เพราะท่านกลัวจะรบกับกัมพูชา ท่านเอากองกำลังแค่นี้ ถ้าเดินเข้ามาถืออาวุธมันยิงแล้ว ท่านโกหก ตรงนี้แม้ท่านจะเลื่อนจากตรงนี้เพื่อกลบเกลื่อนปัญหาที่มีอยู่เรื่องหลักเขต มาอยู่ตรงนี้ท่านก็เอาที่ดินคืนประชาชนไม่ได้ ท่านไปเอาคน 27 คนจากสระแก้ว ไปนั่งคุยกับท่าน เสร็จแล้วท่านบอกว่า เดี๋ยวจะคืนที่ดินให้หลังจากคนไทยกลับมา นี่ไงเขากลับมาแล้ว คือผมรู้สึกว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ใช้สำนวนโวหารหลายเรื่อง ผมอยากให้พี่น้องชาวไทย สื่อมวลชน เวลาฟังท่านนายกฯ ให้ปิดเสียงแล้วมองแต่หน้าอย่างเดียว ท่านจะพบความจริงในเชิงจิตวิทยา ผมไปเรียนมาเมืองนอก ผมไปเรียนวิธีมองคนมา ผมคิดว่ามองนายกฯ ไม่ผิด ท่านใช้สำนวนโวหาร ท่านใช้วาจา ท่านใช้ความยอกย้อนหลอกให้คน แล้วหลอกชาวบ้าน ที่แน่ๆ คือหลอกคนจน ผมอยากจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
แล้วเมื่อกี้ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ นี่ก็อีกราย บอกว่าป้ายบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่เขมรตั้งป้ายหินอ่อนประจานไทยนั้น เป็นป้ายโบราณ เป็นป้ายดั้งเดิม คือผมคิดว่าท่านนายกฯ กับท่านสุเทพ ไม่ได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งผมไม่ได้ว่าอะไร คนที่ไม่เรียนเขาก็เข้าใจได้ แต่ผมคิดว่าท่านไม่ได้อ่านหนังสือเลย ซึ่งเรื่องใหญ่มาก ผมคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่ แล้วแต่พี่น้องสื่อมวลชนจะเสนออย่างไร
ประพันธ์ คูณมี
กราบเรียนพี่น้องสื่อมวลชนนะครับ ผมขออนุญาตเพิ่มเติมประเด็นที่ท่าน อ.ปานเทพ ได้แถลงไปแล้ว ผมคิดว่าประเด็นที่ 1 ที่ท่านนายกฯ แถลงว่า ท่านรอคอยโอกาสที่จะชี้แจงมายาวนานนั้น และก็การที่คุณพนิชไปนั้น ก็เพราะว่าต้องการที่จะแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านนั้น ผมคิดว่านี่เป็นท่าทีที่ไม่พูดความจริง เป็นเท็จ ว่าอย่างนั้นเถอะ คือการรอคอยมานานนั้นมันแสดงถึงความอ่อนด้อยประสบการณ์ทางการเมือง ทางการทูตของนายกฯ เรื่องนี้เป็นเรื่องดินแดน เรื่องอธิปไตย ประนีประนอมไม่ได้ ทันทีที่คนไทยถูกจับ 7 คน บนดินแดนไทยนั้น ท่านนายกฯ จะรอคอยจนกระทั่งกระบวนการพิจารณาของศาลมีคำพิพากษาว่าคนไทยกระทำความผิดแล้ว ท่านจึงจะออกมาชี้แจง ซึ่งอันนี้มันไม่ใช่วิธีการบริหารประเทศที่ถูกต้อง และก็ต้องถือว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหาคำชี้แจงนั้นบิดเบือนข้อเท็จจริงและเป็นเท็จทั้งสิ้น ปรักปรำคนไทย และกระทำการประหนึ่งเป็นโฆษกของนายฮุน เซน เสียอีก ไม่ได้แสดงจุดยืนร่วมกับคนในชาติ ในขณะที่เรียกร้องความสามัคคีของคนในชาติ
ประเด็นที่ 2 ก็คือว่า ท่านนายกฯ พยายามบิดเบือนและทำให้คนไทยเข้าใจผิดว่าผลของคำพิพากษานี้ไม่มีผลเกี่ยวเนื่องกับดินแดนอธิปไตยของประเทศ และเป็นข้อผูกพันเฉพาะบุคคลหรือคู่ความเท่านั้น อันนี้ก็เป็นเท็จอีก และเป็นการใช้ความรู้ที่เรียกว่า ไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง ความจริงแล้วที่รัฐบาลกัมพูชาเขาดำเนินคดีกับคนไทยนั้น เป็นการใช้กฎหมายระหว่างประเทศ ภาษากฎหมายระหว่างประเทศเขาเรียกว่า Private International Law คือกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
ขอกราบเรียนให้พี่น้องสื่อมวลชนเข้าใจ แผนกคดีบุคคลนั้นจะเกี่ยวข้องกับอธิปไตย ดินแดน และเขตอำนาจศาล การจะอนุญาตให้บุคคลใดเข้าเมือง เข้าดินแดนประเทศของตนหรือไม่ เป็นอำนาจโดยเด็ดขาด โดยสิทธิ์ขาดของรัฐอธิปไตยประเทศนั้นๆ การจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ประเทศที่ไม่อนุญาตนั้นไม่จำเป็นต้องชี้แจงและบอกกล่าวกับประเทศใดเลย
วันนี้พี่แซมดิน และพวก ถูกกล่าวหาในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และก็ถูกไปกักขังตัว โดยใช้อำนาจศาลกักขังตัวและนำตัวขึ้นศาลพิพากษาคดีนั้น เรียกว่าเป็นกระบวนการที่รัฐกัมพูชาใช้อำนาจอธิปไตยของตนเอง เหนือดินแดนนั้น ตามทางกฎหมายแล้ว คำพิพากษาของศาลกัมพูชาจึงต้องผูกพัน เพราะเขาอาศัยอำนาจอธิปไตยมาตัดสินว่าเรารุกล้ำดินแดน จะไม่ได้เป็นเรื่องผูกพันเฉพาะตัวบุคคล ฉะนั้นหลักกฎหมายนี้เป็นหลักกฎหมายทั่วไปที่นักกฎหมายทุกคน แม้แต่ตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้เรียนกฎหมายนี้ในการเรียนนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่นายอภิสิทธิ์บิดเบือนที่จะพูดเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ผูกพันดินแดนและอธิปไตยของประเทศไทย ทั้งหมดนี้กัมพูชาจะเอาเป็นข้ออ้างในเวที JBC อย่างแน่นอน รวมทั้งหลักฐานแผนที่ที่ท่านเอามาอ้างเมื่อคืนนี้ จะเป็นหลักฐานที่เขานำไปอ้างในเวทีเจรจาอย่างแน่นอน แล้วมันจะไม่ผูกพันดินแดนอธิปไตยและเขตอำนาจศาลอย่างไร
ประการที่ 3 ก็คือว่า นายกฯ พยายามบอกว่าช่วยเหลือคนไทยมาโดยตลอด ความจริงแล้วสิ่งที่ท่านทำอยู่ขณะนี้ หรือทำมาตั้งแต่ต้น ตลอดเวลามา คือการเหยียบย่ำเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของคนไทย ไม่ใช่เพียง 7 คนนะครับ ทั้งประเทศ เพราะทันทีที่มีเหตุเกิดขึ้น ถ้าท่านแสดงจุดยืนว่านี่เป็นดินแดนอธิปไตยของประเทศไทย และกัมพูชาไม่มีสิทธิ์นำคนไทยไปขึ้นศาลต่างหากที่จะเป็นการช่วยคนไทย แต่ทำไมท่านไม่ทำ นอกจากไม่ทำแล้ว ยังหาคนมาดิสเครดิตทำลายความน่าเชื่อถือของพวกเราภาคประชาชนที่จะนำข้อเท็จจริงช่วยคนไทย และคำให้สัมภาษณ์ของท่านทุกคนเป็นพยานหลักฐานอย่างดีที่สุดที่กัมพูชานำไปอ้าง และยังพูดต่อหน้าคุณแซมดินด้วยว่า ถ้าเป็นดินแดนของคุณ ทำไมทหารไทย รัฐบาลไทยจึงไม่ช่วยคุณ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังเอาแผนที่ที่ไม่เป็นความจริงนี้ไปหลอกให้คุณแซมดินและพวกยอมรับว่าบุกรุดินแดนของคนกัมพูชา ผมคิดว่านี่คือความอัปยศที่สุดที่รัฐบาลกำลังทำอยู่
ส่วนประเด็นสุดท้ายที่อยากจะพูดก็คือ กรณีป้ายบนดินแดนปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น วันนี้นายกฯ ทำขึงขังว่า สั่งให้ ผบ.ทบ.ไปรื้อ ความจริงแล้วนายกฯ ก็ทำความผิดอย่างร้ายแรงอีกแล้วครับ มันไม่เพียงที่ควรจะสั่งให้ ผบ.ทบ.ไปรื้อป้าย มันต้องรื้อทั้งวัด ทั้งชุมชน และไล่คนกัมพูชาที่อยู่บนดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร ออกไป มันถึงจะถูก ไม่ใช่มาตื่นเต้นจะเป็นจะตายเอาที่เห็นป้ายเพราะถูกประชาชนประณาม ความจริงแล้วป้ายมันเป็นส่วนหนึ่งของการรุกล้ำดินแดน และไปเสริมสิ่งที่เขายึดครองดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร อยู่แล้ว คำสั่งที่ควรจะให้ฝ่ายทหารปฏิบัติก็คือ ต้องกดดันให้คนกัมพูชาทุกคนออกจากดินแดนบริเวณนั้น อย่างที่ พล.ท.กนก เคยทำมาแล้ว ต่างหาก ซึ่งแทนที่คนอย่าง พล.ท.กนก ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา กลับถูกกลั่นแกล้งให้โยกย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญในทางทหาร
ขอเพิ่มอีกนิดหนึ่งก็คือ ประเด็น MOU ท่านนายกฯ กอด MOU ไว้แน่น แล้วก็ยังอ้างแบบไม่ละอายต่อคนไทยต่อไปอีกว่า เพราะมี MOU จึงทำให้เราสามารถอ้างเรื่องนี้กับกัมพูชาได้ และยังสามารถที่จะเจรจาและทำให้เรายังไม่เสียดินแดน อันนี้ก็เป็นคำพูดที่แย้งต่อความเป็นจริง เพราะมี MOU ต่างหาก ที่ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน เนื่องจากตั้งแต่ปี 43 ย้อนกลับไป ประเทศไทยไม่เคยมีปัญหาเขมรมาอ้างสิทธิเหนือดินแดนตลอดแนวชายแดนกับประเทศไทยเลย สค.1 ออกได้ นส.3 ออกได้ เพราะไม่มีใครมาโต้แย้งเรื่องเขตอธิปไตย แต่เมื่อมี MOU 43 แล้ว ตลอดแนวชายแดนจะเป็นเขตพิพาทตลอด เพราะกัมพูชาจะอ้างมาตรา 1:200,000 ไทยก็จะอ้างสนธิสัญญาและอ้างแผนที่ของตัวเอง MOU ต่างหากที่เป็นตัวทำให้เกิดปัญหา และโดยความเป็นจริงก็คือ กัมพูชาไม่เคยยึดถือข้อปฏิบัติตาม MOU เลย เมื่อมี MOU แล้วก็ส่งคนเข้ามายึดพื้นที่ รุกล้ำดินแดน และใช้ประโยชน์จาก MOU เป็นข้ออ้างในการรักษาประโยชน์ให้กับประเทศกัมพูชา และคนกัมพูชา ตรงกันข้าม รัฐบาลไทยกอด MOU แต่อ้าง MOU ในทางที่ทำให้ประเทศเสียประโยชน์ในทุกๆ ด้าน รวมทั้งพูดให้คนไทยเข้าใจผิดว่า ตลอดแนวชายแดนมีหมู่บ้านอยู่ 30 หมู่บ้าน อย่างที่ท่านพูดเมื่อคืนนี้ ท่านไม่เคยอ้างว่า แล้วหมู่บ้านไหนล่ะที่คนไทยไปรุกล้ำดินแดนของคนกัมพูชา นายอภิสิทธิ์ควรจะแสดงให้เห็นซิ
สอง ก็คือแนวเขตปฏิบัติการนั้น เป็นแนวเขตปฏิบัติการที่นายกฯ อภิสิทธิ์ ใช้ในการปฏิบัติการตั้งแต่ปี พ.ศ.ใด และเป็นแนวปฏิบัติการที่ใช้กับทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่รักษาดินแดนอธิปไตยตั้งแต่เมื่อใด โดยคำสั่งของใคร แล้วทำไมประเทศไทยจึงต้องยึดถือ และคำๆ นี้เพิ่งปรากฏให้คนไทยทั้งประเทศได้ยินเมื่อคืนนี้เองครับ ในตลอดเวลาที่เราพูดเรื่องดินแดน
เพราะฉะนั้นก็ขอเพิ่มเติมว่า ทั้งหมดนี้มันมีทั้งเรื่องกฎหมาย มันมีทั้งเรื่องอธิปไตย และมีทั้งเรื่องอำนาจศาล การที่ท่านไปยอมรับเช่นนั้น ผูกพันประเทศไทยอย่างแน่นอน และเป็นการสร้างพยานหลักฐานให้กัมพูชามีข้ออ้างที่หนักแน่นยิ่งขึ้นในเวทีเจรจาต่อรองระหว่างประเทศครับ
เทพมนตรี
หลังจากคำตัดสินของศาลโลก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับจอมพลประภาส ให้ไปล้อมรั้วลวดหนามบริเวณปราสาทพระวิหาร เนื้อที่ทั้งหมด ประมาณ 150 ไร่ กัมพูชาขึ้นได้เฉพาะบริเวณบันไดหัก โดยสมเด็จสีหนุ เป็นประจักษ์พยานได้ว่า วันที่เขาขึ้นไปปักธงกัมพูชาหลังคำตัดสินของศาลโลกนั้น เขาขึ้นได้แค่บันไดหัก เพราะฉะนั้นท่านนายกฯ เคยรับรู้เรื่องนี้แล้ว เพราะผมเอาพาวเวอร์พอยท์ไปพรีเซ็นต์ต่อหน้า และท่านนายกฯนั่งอยู่ในตำแหน่งที่แซมดิน ท่านนายกฯ รู้ทุกอย่างหมดแล้ว แต่การที่สั่งเพียงให้รื้อป้ายออก หมายความว่า ท่านนายกฯ บิดเบือน ท่านนายกฯ ต้องไล่กัมพูชา อย่างน้อยๆ ให้อยู่ภายใต้รั้วลวดหนาม 150 เมตรนี้ แต่นี่คือยังเป็นดินแดนประเทศไทยอยู่ ในพื้นที่สีแดงกัมพูชามีสิทธิ์เดินเข้ามาได้แค่นี้เอง นอกนั้นที่พี่น้องสื่อมวลชนไปเห็น หมายถึงเขารุกล้ำดินแดนเรามาแล้ว ไหนล่ะฝ่ายความมั่นคงของเราทำไมไม่ไปจับ มันชัดเจน คือผมไปคุยกับเขามา 4 ครั้ง ท่านนายกฯ บอกทุกสิ่งทุกอย่าง วิธีการแก้ปัญหาด้วย แต่ตอนนี้เรื่องมรดกโลกยังลีลาอยู่ อันนั้นเดี๋ยวเราค่อยว่ากันอีกที
ถาม-ตอบ
ถาม- การชุมนุมวันที่ 25 จะนำเรื่องนี้มาผนวกเข้ากับการชุมนุม
พล.ต.จำลอง- ขอเรียนให้ทราบว่า การชุมนุมในวันพรุ่งนี้ 25 มกราคม เป็นไปตามกำหนดเดิมที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เสนอไปแล้ว นั่นคือ เราชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินอย่างเป็นรูปธรรมโดยการทำ 3 อย่าง 1.ถอนตัวออกจากคณะกรรมการมรดกโลก 2.ยกเลิกบันทึกความเข้าใจ หรือMOU 2543 และ 3.ผลักดันเขมรให้ออกไปจากดินแดนไทย ซึ่งทั้ง 3 ข้อนี้ ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง และมีประสบการณ์โดยตรง ท่านยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า สามารถทำได้ทันทีทุกขณะ แต่เรารอมาแล้วมาอีกจนกระทั่งเรายื่นต่อนายกฯ อภิสิทธิ์ว่า ถ้าไม่ทำ เมื่อถึงวันที่ 25 ม.ค. เราจะออกมาชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ
ส่วนประเด็นที่คนไทย 7 คนถูกจับนั้น เป็นประเด็นเพิ่มเติม เป็นประเด็นสำคัญที่ชี้ชัดว่า ถ้านายกรัฐมนตรีทำตามที่เราบอกไปแล้วนั้น คนไทย 7 คนจะไม่ถูกจับแน่นอน
เราขอเรียนว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้ถามไถ่ผู้คน ไม่ว่าจะมีฐานะตำแหน่งไหนก็ตามว่า มีอะไรไหมที่เราจะสามารถปกป้องดินแดนได้ ในฐานะที่เราเป็นประชาชนธรรมดา หรือเป็นทหาร ตำรวจแก่ๆ ที่เกษียณอายุไปแล้ว ที่มีวิธีการที่ดีกว่าการชุมนุม ปรากฏว่าไม่มี มีอย่างเดียวครับ ต้องใช้พลังประชาชนชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกมาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ปกป้องผืนแผ่นดินเรา ด้วยการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม 3 อย่าง ที่เรียนให้ทราบ เมื่อคนไทย 7 คนถูกจับ ณ ห้องนี้ พี่น้องสื่อมวลชนคงจำได้ เรามีการประชุมด่วน และเราเสนอต่อนายกฯ 2 ข้อ ตอนนั้นเขากำลังจะเอาคนไทย 7 คนขึ้นสู่ศาลเขมร เรายื่นต่อนายกรัฐมนตรีว่า 1.ประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า เราจะไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลเขมร เพราะศาลเขมรไม่มีสิทธิ์เอาคนไทยไปขึ้นศาล เพราะว่าผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และจับในดินแดนไทยด้วย 2.ขอให้นายกฯ ประกาศอย่างแข็งกร้าวต่อนายฮุน เซน ว่าให้ปล่อยตัวคนไทย 7 คนทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
ถาม- การชุมนุมจะยืดเยื้อหรือไม่
พล.ต.จำลอง- ขึ้นอยู่กับนายกฯ ถ้านายกฯ ไม่ยอมออกมาทำหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินไทย เราในฐานะเป็นเจ้าของแผ่นดินด้วย ไม่ใช่เป็นของนายกฯ หรือรัฐบาลเท่านั้น เราจะชุมนุมไม่เลิก มันไม่มีทางอื่นแล้ว ถ้าเราชุมนุมแล้วนายกฯ ยอมจะออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน เราก็เลิก เมื่อออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน 3 อย่างที่ว่าไปแล้ว เราสามารถเอาดินแดนที่เราเสียไปบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นดินแดนโดยรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,800 ไร่ ก็ยังมีตัวอย่างนี้เห็นชัดๆ ที่ไม่อยู่ติดกับเขาพระวิหาร เราก็เสียไปแล้ว ถ้านายกฯ ออกมาทำตามที่ประชาชนเรียกร้อง เราสามารถได้ดินแดนเหล่านั้นกลับคืนมาทั้งหมด แล้วจะปกป้องไม่ให้เราต้องเสียดินแดนมหาศาลต่อไป คือ ตามแนวตะเข็บระหว่างไทยกับเขมร อีก 1.8 ล้านไร่ รวมทั้งพื้นที่ในทะเล ซึ่งมีทรัพยากรแก๊สและน้ำมัน เป็นมูลค่าถึง 5 ล้านล้านบาท มีทางเดียว ผู้สื่อข่าวผมเคยถามท่านแล้วว่า ท่านมีอะไรไหมที่จะเสนอพวกเราว่า สามารถเรียกเอาดินแดนที่เสียแล้วกลับคืนมาได้ สามารถปกป้องได้อย่างยั่งยืนไม่เสียดินแดนให้เขมรอีกต่อไป มีอะไรที่ดีไปกว่าการชุมนุมบ้าง ขอให้บอกมาเราจะทำทันที จนวันนี้ท่านยังไม่มีอะไรแนะนำเราเลยที่สามารถทำได้
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพี่น้องประชาชนทั้งหมด ไม่ทำโดยอำเภอใจ ให้เวลานายกฯ 2 ปี ท่านไปดูเราออกแถลงการณ์จากการที่เราประชุมแล้ว เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552 เราออกหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552 ขอให้นายกรัฐมนตรีตัดพันธกรณี ข้อผูกพันต่างๆ ที่มีอยู่ต่อเขมรแล้วเราเสียเปรียบ ออกไปโดยสิ้นเชิง และขอให้ผลักดันเขมรออกไป ก็ไม่ทำ นี่ 1 ปีกับ 2 เดือนเศษแล้วนะ เราไม่ได้ทำตามอำเภอใจ เราไม่ได้ทำเพราะโกรธแค้นคนไหน พรรคการเมืองใด แต่เราทำเพราะว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของแผ่นดินนี้
ถาม- กลุ่ม 24 มิถุนาฯ จะมีการชุมนุมคู่ขนานที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จะมีการเผชิญหน้า
พล.ต.จำลอง- เป็นหน้าที่ของตำรวจ เพราะเราออกมาเราไม่ได้เป็นศัตรูใคร ถ้าจะว่าเราเป็นศัตรูคือศัตรูของเขมร ใครก็ตามที่พูดซ้ำเติมพวกเราเรื่อยๆ นั่นละครับ คนไทยหัวใจเขมร ปรับตัวซะ ให้ทั้งกายและใจเป็นคนไทย
ถาม- ที่นายกฯ กล่าวว่าหากยกเลิก MOU 43 แล้วการรุกล้ำอธิปไตยของชุมชนกัมพูชาจะมีผลทันที และอาจทำให้เกิดสงคราม พันธมิตรฯ มีคำอธิบายอย่างไร
พล.ต.จำลอง- ถ้า MOU 43 มีประโยชน์ต่อไทยจริง ทำไมเราถูกจับในแดนไทย
ถาม- รูปแบบการชุมนุม
พล.ต.จำลอง- รูปแบบการชุมนุมปักหลักพักค้างยืดยาวจนกว่านายกฯ จะออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินไทยอย่างเป็นรูปธรรม
ถาม- จะมีการเคลื่อนขบวน
พล.ต.จำลอง- เราพิจารณาตามสถานการณ์ แต่ตามที่มีข่าวว่า 25 ม.ค.เราจะเข้าไปทำเนียบ ไม่หรอกครับ 26 ม.ค.ก็ไม่ ทำไม เนื่องจาก สตง.เขาติดต่อมาว่า วันที่ 26 ม.ค. ชาว สตง.ประมาณ 600-700 จะเข้าไปที่ทำเนียบ ตกลงวันที่ 25, 26 ไม่เข้าทำเนียบโดยเด็ดขาด แต่วันต่อไปแล้วแต่สถานการณ์ แล้วแต่ประชาชนที่ไปชุมนุมด้วยว่าจะทำอะไรต่อไป เพื่อให้นายกฯออกมาทำหน้าที่
กินเงินเดือน แล้วมีหน้าที่ไม่ทำ เราในฐานะเจ้าของบริษัทประเทศไทย เราต้องให้ลูกจ้างเราออกมาทำหน้าที่
อีกคำถาม เมื่อกี้มีคนถามผมว่า ตามที่มีข่าวว่ากลุ่มของคุณไชยวัฒน์กับพันธมิตรฯ มีความคิดบางอย่างไม่ตรงกัน ถูกต้องครับ แล้วมีข่าวว่า ท่านสมณโพธิรักษ์ มีความคิดกับผมคนละอย่าง แตกแยกกันแล้ว เรื่องนี้ไม่จริง เพราะผมพบท่าน หรือโทรศัพท์ถึงท่านเกือบทุกวัน บางวันหลายครั้ง เรื่องนี้ไม่จริงเป็นเรื่องโกหก
ถาม- พันธมิตรฯ จะไปร่วมกับเครือข่ายคนไทยฯ เดินควบคู่กันไปใช่ไหม
พล.ต.จำลอง- พรุ่งนี้ กองทัพธรรม ที่อยู่ประตู 4 ยังทำเหมือนเดิม เพราะว่าเจตนาของการชุมนุมไม่ใช่เพื่อคนไทย 7 คนหรือ 5 คนที่ออกมาแล้วเท่านั้น เป็นเจตนาแต่ดั้งเดิม ส่วน 7 คนถูกจับไปเป็นประเด็นเพิ่มเติม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ออกมาชี้ชัดว่า สิ่งที่เราเรียกร้องนายกฯ นั้นเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว เพราะฉะนั้นที่ข้างทำเนียบยังเหมือนเดิม และที่เชิงสะพานมัฆวานฯ จะมากัน เพราะเป็นหน้าที่คนไทยทุกคนไม่ว่าจะอายุขนาดไหน ผมขอร้องผ่านสื่อมวลชน ทหารอย่างผม หรือรุ่นน้องๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ยังรับราชการทหารอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทหารบก ทหารเรือ หรือทหารอากาศก็ตาม เราเรียนมา ฝึกมา กินเบี้ยเลี้ยงเงินเดือนเพื่อทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินเท่านั้น ที่เป็นหน้าที่หลักของเรา ส่วนตำรวจนั้น นอกจากคดีความต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนแล้วก็มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินเช่นกัน เพราะฉะนั้นอยากจะขอร้อง บอกกับน้องๆ ในกองทัพ แม้รุ่นจะห่างกันมากแล้วก็ตามว่า ต้องออกมาช่วย อย่าใจดำปล่อยให้ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ลูกเด็กเล็กแดง ปู่ย่าตายาย ออกมาเหนื่อยยากเพื่อทำหน้าที่แทนเรา ทั้งๆ ที่ท่านพวกนั้นไม่มีหน้าที่โดยตรง ไม่ได้กินเบี้ยเลี้ยงเงินเดือน เพราะฉะนั้นถ้าเกรงใจผู้บังคับบัญชา ถ้าไม่สามารถแต่งเครื่องแบบมาร่วมชุมนุมได้ก็นอกเครื่องแบบมาซิครับ ถ้าเห็นว่าในเวลาราชการ ผู้บังคับบัญชากวดขันไม่ยอมให้ไปไหน นอกเวลาราชการมาได้ มาได้ตลอดไม่มีข้อแม้สำหรับน้องๆ ในกองทัพ จำได้ไหมครับ พวกเราทหารอาสาไปรบที่ลาว เวียดนาม เพื่อไปป้องกันไม่ให้ข้าศึกประชิดติดแดนไทย แล้ววันนี้เขามายึดดินแดนไทย แล้วทหารอยู่เฉยๆ ได้ไง ขอเตือนนายกฯ อภิสิทธิ์อีกครั้ง อย่าใช้กำลังทหารเพียงแค่ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ต้องทำหน้าที่หลักคือ ปกป้องแผ่นดิน หน้าที่เล็กๆ คือ ใช้กำลังทหารอวดเด็ก ผู้ใหญ่ อวดเด็กคือ วันเด็ก ทั้ง 3 กองทัพ เชิญเด็กๆ มาดูยุทโธปกรณ์ อวดผู้ใหญ่คือ สวนสนามให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง แต่เท่านั้นไม่พอ หน้าที่เราคือ ปกป้องแผ่นดินไทย และจะอ้างว่าเป็นทหาร ตำรวจแก่ๆ ไม่ได้ ไม่มีวันตายไปจาก 4 คำ ชาติ เกียรติ วินัย กล้าหาญ จะแก่แค่ไหนก็ตามไม่ตายไปจากความเป็นคนรักชาติ ความเป็นคนมีเกียรติ ความเป็นคนมีวินัย และความเป็นคนกล้าหาญ ไม่มีทางอื่นนอกจากออกมาชุมนุมร่วมกัน
ประพันธ์- ขอตอบคำถามว่า ถ้ายกเลิก MOU แล้วจะมีผลอย่างไร และคำถามเดียวกันนี้ก็เป็นคำถามที่ท่านนายกฯ ย้อนภาคประชาชน หลังจากที่ท่านแถลง 30 นาทีแล้ว ท่านก็พูดด้วยความยโสโอหังว่า ถ้าเลิก MOU 43 แล้วไง จะทำไง ท่าทีลักษณะการพูดของท่านเป็นท่าทีที่น่ารังเกียจมาก และเป็นท่าทีของคนที่ไม่เข้าใจปัญหาประเทศเลย ถ้ายกเลิกMOU 43 แล้ว ต้องถามนายกฯ ว่า เมื่อก่อนไม่มี MOU 43 ประเทศไทยอยู่อย่างไร นายกฯ เคยศึกษารึเปล่า เรามีสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส 1903-1904 และในหนังสือถาม-ตอบของ อ.ปานเทพ และพี่น้องทีมนักวิชาการเหล่านั้น ได้ให้คำตอบชัดแจ้งว่า ทำไมจึงต้องเลิก MOU 43 ผมอยากจะเพิ่มเติมในมุมมองของผมอีก เพื่อให้เห็นว่า เพราะตั้งแต่มี MOU 43 ที่ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน และกลายเป็นว่า ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีข้อพิพาททุกตารางนิ้ว เนื่องจากเรายอมรับให้กัมพูชาอ้างสิทธิ์ 1:200,000 ในทางกฎหมาย เดิมทีกัมพูชาไม่มีสิทธิ์จะกล่าวอ้างเรื่องนี้ได้เลย เหมือนกับเราถือครองที่ดินกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวมาโดยตลอด ตลอดแนวอาณาเขต วันหนึ่งเราทำMOU 43 มันยกเว้นหลักสนธิสัญญาที่เราทำไว้กับฝรั่งเศส ยอมรับให้กัมพูชาอ้างเรื่องแผนที่ 1:200,000 ในทางกฎหมาย และการเมืองระหว่างประเทศ จุดนี้คือความเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง ไม่มีประเทศเอกราชประเทศใดที่ข้อตกลงซึ่งจบสิ้นไปแล้วตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จะไปยอมรับเอาข้อเรียกร้อง ข้อกล่าวอ้าง ซึ่งฟังไม่ขึ้นเลยในศาลโลก และฟังที่ใดก็กล่าวอ้างไม่ได้ เพราะการที่นายกฯ อภิสิทธิ์ และรัฐบาลสมัยนั้นยอมรับ จึงเท่ากับเป็นการลดเอกสิทธิ์ ลดความสำคัญของสนธิสัญญาของตัวเองที่มีเหนือกว่าเขามาโดยตลอดนนั้นเสีย
2. ทำให้อาณาเขตตลอดแนวเขตนั้นมีปัญหาทุกตารางนิ้ว พอเราบอกตรงนี้เป็นของเรา เขาจะอ้างว่าเป็นของเขา อย่างที่ท่านนายกฯ เวลานี้กลายเป็นโฆษกให้รัฐบาลเขมร มาอ้างแทนเขาไปแล้ว ถ้าเราทำอย่างนั้นก็จะเกิดสงคราม จะเกิดปัญหา ไม่เกิดครับ ทำไมไม่เกิด ประเทศที่เราปกป้องดินแดนและอธิปไตยของเรามาได้เพราะเรามีกองทัพ มีกำลังทหาร และมีสนธิสัญญา มีกฎหมาย การทำหน้าที่ปกป้องดินแดนของเราตามสนธิสัญญานั้น กัมพูชาจะมากล่าวอ้างและก่อสงครามกับประเทศไทยไม่ได้ และสหประชาชาติไม่มีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซง และโดยศักยภาพแล้ว กัมพูชาไม่มีศักยภาพทางอำนาจที่จะมาก่อสงครามกับประเทศไทยได้เลย เป็นแต่เพียงว่า เราทำหน้าที่รักษาดินแดนของเราไปตามกฎหมาย และตามสนธิสัญญา แม้จะมีปัญหาพื้นที่ชายแดนทหารไทยและกองกำลังฝ่ายไทยสามารถควบคุมพื้นที่ได้
ส่วนผลประโยชน์ในทางการค้าของกลุ่มคนไทย หรือกลุ่มทุนไทยที่ไปค้าขายอยู่ในกัมพูชานั้น เป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศและทวิภาคี และเป็นไปตามกรอบของอาเซียน กัมพูชาจะอันธพาลยกเลิกสัมปทาน ยกเลิกสิทธิที่นักลงทุนไทยได้สิทธิอยู่ในประเทศกัมพูชาโดยพลการไม่ได้ ไม่อย่างนั้นประเทศไหนไม่พอใจประเทศไทยเลิกสนธิสัญญา เลิกการค้าขายเลย เลิกสิทธิที่ให้ BOI กับคนไทยที่ไปลงทุน อย่างนั้นทำไม่ได้ ถ้ากัมพูชาทำเช่นนั้นกัมพูชาจะถูกกลุ่มอาเซียนและประเทศไทยประณาม และเพิกถอนสิทธิอีกมากมายที่กัมพูชาจะได้รับผลกระทบ เพราะฉะนั้นประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผู้นำประเทศต้องคิด
ส่วนเรื่องกัมพูชา นอกจากมี MOU แล้ว ท่านนายกฯ พยายามจะอ้างว่าเราไม่เสียดินแดนนั้นก็ไม่เป็นความจริง เขาครอบครองและเอาคนเข้ายึดพื้นที่ ทางแก้ ท่านบอกว่า ถ้าไม่มี MOU แล้วทำอย่างไร เราก็ใช้สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส แล้วเราก็ใช้อย่างนี้มาโดยตลอด โฉนด น.ส.3 ของชาวบ้านที่ออกได้และรังวัดได้โดยมีหลักหมุดอธิบายชี้แจงว่า ทิศไหนจรดหลักเขต หลักกิโลเมตรที่เท่าไหร่นั้น ก็เป็นไปตามสนธิสัญญามาโดยตลอด
สุดท้ายก็คือ ถ้าจะแก้ไขปัญหาเรื่องดินแดน และเรื่อง MOU นี้ จะให้ทำอย่างไร สงครามผมเชื่อแน่ว่าไม่เกิด ส่วนประเด็นที่ท่านบอกว่า ถ้าเลิก MOU แล้วทำอย่างไร ถ้าทำไม่ได้แล้วทำอย่างไร ถ้าทำไม่ได้นายกฯ ก็ต้องออกซิครับ เพราะทางแก้ MOU นี้นายกฯ เป็นคนกอดอยู่ ถ้าเลิก MOU แล้วเลิกไม่ได้ นายกฯ ไม่ยอมเลิก นายกฯก็ต้องพิจารณาตัวเองออก เพราะเรื่องดินแดนเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำประเทศทุกประเทศในโลกนี้ ถ้าใครทำประเทศตัวเองเสียดินแดนเขาจะแสดงสปิริตในการรับผิดชอบ แต่นายกฯ ไทยดีแต่พูดแล้วเถียงกับคนไทย ไม่เก่งกับคนกัมพูชา ถ้าหากว่าเจ้าหน้าที่ที่ยังยึด MOU อยู่ เมื่อเลิก MOU แล้วต้องเปลี่ยนชุดปฏิบัติการนี้ทั้งหมด ให้คนไทยที่เข้าใจสนธิสัญญา และเข้าใจหลักดินแดนของประเทศ มาทำงาน
สุดท้ายที่ท่านเรียกร้องความสามัคคีว่า ถ้าเลิก MOU แล้วเรามาพูดกันด้วยเหตุด้วยผล มันมีวิธีแก้หลายทาง เชื่อไหมครับ ภาคประชาชนเป็นคนที่พูดมีเหตุผลกว่านายกฯ ข้อมูล ข้อเท็จจริง หลักกฎหมาย หลักวิชาการ มีครบถ้วนมากกว่านายกฯ มีเหตุผลท่วมฟ้าท่วมแผ่นดิน แต่นายอภิสิทธิ์ไม่เคยฟัง ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ดร.อมร ดร.สมปอง ท่าน อ.ศรีศักร ท่านนาม ยิ้มแย้ม ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีความรู้ในบ้านเมือง ท่านประสงค์ สุ่นศิริ คนที่ทำงานด้านความมั่นคงมาตลอด นายอภิสิทธิ์ไม่เคยปรึกษา ไม่เคยฟัง แต่เวลาท่านออกทีวี ท่านพูดประหนึ่งว่า พวกเราไม่ให้ความร่วมมือ ความจริงเราพูดมา 2-3 ปีแล้ว นายกฯ ไม่เคยฟังใครต่างหาก นายกฯ มีอีโก้ มีความหยิ่งทนงจนเกินความพอดีของความเป็นผู้นำประเทศ และนายกฯ ฟังแต่เด็กๆ ที่อยู่รอบข้างตัวของนายกฯ เท่านั้น ไม่เคยปรึกษาผู้รู้จริงในประเทศนี้ ปัญหามันถึงเป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้นท่านจะเรียกร้องความสามัคคี นายกฯ ต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง อย่าคับแคบ อย่าหยิ่งทนง อย่ายโสโอหัง ถ่มตัวรับฟังความเห็นที่มีเหตุมีผลของพวกเราบ้าง ปัญหาบ้านเมืองจะไม่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นที่ท่าน พล.ต.จำลอง ตอบว่า เราชุมนุมจะเอาถึงที่ไหน ถ้านายกฯ ฟังและปฏิบัติตามข้อเรียกร้องนี้ เราไม่มีเหตุผลที่จะเคลื่อนไหวต่อไป แต่เมื่อท่านไม่ฟังมันก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะการอยู่ของท่านทำให้ประเทศไทยเสียหาย ท่านก็ต้องออกไปเท่านั้นเองครับ
พล.ต.จำลอง- คำถามที่ว่า จะชุมนุมปักหลักพักค้างนานไปถึงไหน คุณประพันธ์บอกไปแล้ว สั้นๆ คือว่า ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ถ้าออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ทำเมื่อไหร่เราก็เลิกเมื่อนั้นง่ายนิดเดียว มีใครอยากไปนอนกลางดินกินกลางทรายบ้าง มันเต็มไปด้วยความยากลำบาก พรุ่งนี้เริ่มตั้งแต่บ่าย 2 โมงเป็นต้นไป เชิงสะพานมัฆวานฯ ถนนราชดำเนิน ขอเรียนให้ทราบอีกครั้ง และจะมีการถ่ายทอดสดโดย ASTV จนถึงตีสอง เราจะมี 2 เวที เวทีของกองทัพธรรม อยู่ที่เดิม เวทีของพันธมิตรฯ ลงมือพรุ่งนี้ ซึ่งทั้ง 2 เวทีทำงานร่วมกัน ประสานกัน ถ้าเมื่อใดก็ตามมีความจำเป็นจะออกข่าวอย่างเดียวกันเราจะออกข่าวเดียวกันทั้ง 2 แห่ง ชี้แจงให้ทราบไม่ได้มีความแตกแยกทั้งสิ้น ทำงานประสานกันโดยตลอด
ถาม- ปิดถนน
พล.ต.จำลอง- เราไม่ได้ออกมาชุมนุมเพื่อตั้งหน้าตั้งตาปิดถนน คนมามากแค่ไหนก็เป็นไปตามนั้น ยกตัวอย่าง เมื่อต้นปี 2549 ชาวกองทัพธรรมไปชุมนุมที่ถนนวิทยุ หน้าสำนักงาน ก.ล.ต.คนมากเราใช้ช่องมาก คนน้อยเราใช้ช่องน้อย คนน้อยจริงๆ เราอยู่บนทางเท้า นี่คือการชุมนุมอย่างสงบตามความจำเป็น ไม่ต้องการให้ใครเดือดร้อน แต่อาจจะมีความเดือดร้อนบ้าง ต้องเทียบกัน เดือดร้อนแค่นั้นกับการเสียดินแดนจะเลือกอย่างไหน คราวนี้เป็นคราวที่กระทบร้ายแรงที่สุดในช่วงชีวิตเราแต่ละคน ไม่มีคราวไหนที่กระทบต่อบ้านเมืองร้ายแรงเท่านี้แล้ว อย่างขณะนี้ข้างทำเนียบ ประตู 4 บางช่วงเวลา เช่นตอนเช้าตั้งแต่ 06.00-10.00 น. ตอนเย็นตั้งแต่ 15.00-18.00 น. เปิด 2 ช่องทางจราจร ผมยังไปขอร้องตำรวจเลยว่าให้ดูแลเรื่องการจราจรนะ ตำรวจที่ไปรักษาการณ์อยู่ที่นั่น บอกพี่น้องประชาชนอย่าเดินล้ำออกมานอกเสาเต็นท์ เดินในเต็นท์ จะอยู่นอกเสาเต็นท์เฉพาะตำรวจเท่านั้นที่เป็นผู้มาอำนวยความปลอดภัยและจัดการเรื่องการจราจร ขอให้ตำรวจบอกกับคนที่ออกมาเดินนอกเต็นท์ได้เลยว่า ถูกรถชนรถเฉี่ยวไม่มีใครรับผิดชอบนะ บอกเลยว่า เป็นการตกลงระหว่างกองทัพธรรมกับตำรวจ นี่คือความตั้งใจของเรา ไม่ใช่นึกจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ทำ
ถาม-
พล.ต.จำลอง- ง่ายมาก ก็ทำ 3 อย่าง ง่ายกว่าที่เราจะชุมนุม ถ้าทำ 3 อย่าง พวกเราไม่ต้องติดตารางที่เขมร 3 อาทิตย์เต็มๆ กำลังพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ปล่อยให้ติดตารางได้อย่างไร 3 อาทิตย์ ถูกแมลงสาปแทะหัว ถูกหนูแทะขา แทะเท้า เพราะใช้แต่คำพูดนี้ตลอดจนกระทั่งคนไทยออกมา ถ้านายกฯ พูดอย่างนั้นเราก็พูดคำเดิม เราจะไม่ยอมเลิกถ้านายกฯ ไม่ออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ยุติธรรมไหมครับ
ถาม-
พล.ต.จำลอง- ไม่ได้ออกมาปกป้องแผ่นดิน ได้แต่พูดไป โกหกรายวัน
ถาม- ออกมาว่าไม่เสียดินแดน เป็นเรื่องบุคคล
พล.ต.จำลอง- อะไรเรื่องบุคคล ก็เป็นคนไทย ทำไมตอบแทนเขมร ถ้าไม่เสียดินแดนพวกนี้ถูกจับได้ไง
ปานเทพ- คำว่าดินแดน กับคำว่าอธิปไตย ต่างกัน ดินแดนคือผืนดิน แต่ ณ เวลาตอนนี้มีการใช้อำนาจอธิปไตย อำนาจอธิปไตยหมายถึงว่าเขาใช้อำนาจในการบริหารโดยกองกำลังทหารที่คนไทยเข้าไปอาศัยอยู่ไม่ได้ เก็บภาษีศุลกากร ตรวจคนเข้าเมืองไม่ได้ บวกกับอำนาจทางศาล ได้ใช้อำนาจทางศาลในการพิพากษาใครก็ตามที่เข้าไปในพื้นที่นับจับขึ้นศาลกัมพูชา อันนี้เขาเรียกว่าสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไทยโดยทางปฏิบัติ อันนี้เสียจริงๆ แล้วนะครับ
จำลอง- ที่จริงก็เหมือนกันนะครับ ถ้าจะพูดเชิงวิชาการหน่อยก็คือ เรื่องอธิปไตย ถ้าจะพูดอย่างชาวบ้านธรรมดาๆ เข้าใจ คือเสียดินแดน ก็เป็นดินแดนของเราแล้วเขามายึด แล้วบอกไม่เสียได้ยังไงครับ ก็เขามายึดไง พวกเรา 7 คนถึงถูกจับ เพราะชาวบ้านมาร้อง ที่ทำกินของตัวเองก็เข้าไปไม่ได้ เป็นแผ่นดินของเรา นี่ล่ะครับ เสียดินแดนและเสียอธิปไตย ง่ายมาก เดี๋ยวพูดเสียอธิปไตยชาวบ้านจะไม่เข้าใจอีก อะไรก็ไม่รู้ อธิปตง อธิปไตย เสียดินแดน คุณมีที่ทำกินอยู่แล้วเราเข้าไปยึด คุณเสียดินแดนหรือเปล่า เสียใช่ไหมครับ
แซมดิน- สำหรับผมเห็นได้ชัดเจน เนื่องจากประสบด้วยตัวเอง ในขณะที่เราเดินไปนั้น ทหารกัมพูชาได้สะพายปืนอาก้า แล้วก็มาล้อมเรา ทั้งๆ ที่เรายังไม่ไปถึงจุดตัดนั้นเลย เขาก็มีปืนอาก้าและเดินไปเดินมาในเขตที่บอกว่าเป็นแผ่นดินไทย ได้ชัดเจน แล้วอีกอย่างหนึ่ง ทหาร ตำรวจ ของเราที่เข้าไปเพื่อจะช่วยเรา ไม่สามารถพกอาวุธใดๆ เข้าไปได้เลย ที่สระน้ำ ซึ่งบอกว่าสระน้ำนั้นเป็นดินแดนของไทย ไม่สามารถพกอาวุธใดๆ เข้าไปได้เลย แล้วพอเขาบอกให้กลับ ก็กลับไปเลย แล้วตกลงยังไง เขาก็ถามว่า ถ้าเป็นดินแดนคุณแล้ว ทำไมทหาร ตำรวจคุณ ถึงไม่ช่วยคุณล่ะ เราก็เลยตอบไม่ถูกเลย ตอนนี้เราก็เลยต้องนิ่ง ยกให้เขาไปหรือยัง
ตายแน่- ผมขออนุญาตเพิ่มเติมอีกนิดนะครับ ในเชิงของหลักฐาน ผมมีเทปบันทึกเสียงของ ส.ส.อลงกรณ์ พลบุตร ได้ตั้งกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ปี 45 ก็คือทักษิณ ชินวัตร ในกรณีพื้นที่บริเวณบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งผมเคยเอาออกออนแอร์ทางเอฟเอ็มทีวีไปแล้ว เรื่องนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์ในยุคนั้นเป็นฝ่ายค้าน ได้กระตือรือร้นตรวจสอบเรื่องนี้อย่างดีมากเลย แต่ 2 ปีที่เป็นพรรครัฐบาล ชาวบ้านจึงเกิดข้อกังขาว่า ในช่วงท่านเป็นพรรคฝ่ายค้าน ท่านพูดเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎรและตั้งกระทู้ถามสด ผมมีเทปนะครับ แล้วก็เปิดออนแอร์ไปทางเอฟเอ็มทีวีแล้วด้วย แต่ในยุครัฐบาลทำไมท่านถึงไม่เข้าไปแก้ปัญหา นั่นก็เป็นสิ่งที่ชาวบ้านท้วงติงมา จนเกิดเหตุให้พวกเราลงไปพื้นที่กันอีกครั้งหนึ่ง และ ณ วันนี้ ถ้าหากท่านไม่แก้ไขอีก เดี๋ยวเราก็ลงพื้นที่กันไปอีก เพื่ออะไรครับ ก็เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของคนไทยในฐานะของพวกเราที่มีเครื่องมือจะทำอะไรได้ ผมเป็นสื่อ ผมก็เอาเครื่องมือของสื่อไปทำงาน แต่ถ้าหากทหาร รัฐบาล กองกำลัง ที่มีเครื่องมืออยู่ ไม่รักษาปกป้องสิทธิประโยชน์ของคนไทย มันหมายความว่าอย่างไร
จำลอง- แล้วกรุณาอย่าเข้าใจผิดนะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าทำไมกองทัพธรรมถึงออกมาก่อน เป็นเพราะว่าชาวกองทัพธรรมทั้งนั้น นายตายแน่ มุ่งมาจน ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ นี่เป็นชาวกองทัพธรรมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวกองทัพธรรมหรือไม่ใช่ชาวกองทัพธรรม เมื่อเป็นคนไทยถูกเขาจับ เราก็ต้องออกมาครับ กองทัพธรรมก็ต้องออกมา พันธมิตรฯ ก็ต้องออกมา อย่างที่เราแถลงการณ์ไปแล้ว แล้วนายกฯ ไม่ทำสักอย่างใน 2 อย่าง ที่บอกว่าประกาศอย่างแข็งกร้าวว่าจะไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลเขมร และ 2 ให้ปล่อยคนไทย 7 อย่างเร่งด่วนโดยไม่มีเงื่อนไข เล่นเอา 3 อาทิตย์เต็มแล้วไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ตายแน่- ขอเพิ่มเติมนิดหนึ่ง เมื่อกี้ยกตัวอย่างเรื่องหนองจาน 7 คนไทย ใช่ไหมครับ ถ้าเกิดพี่น้องสื่อมวลชนจำได้ ท่านนายกฯ นี่ล่ะเป็นคนอภิปรายไม่ไว้วางใจคุณสมัคร สุนทรเวช กับคุณนพดล ปัทมะ เรื่องปราสาทพระวิหาร ณ วันนี้ท่านนายกฯ รัฐบาลท่านนายกฯ โดยรัฐมนตรีฯ กษิต ภิรมย์ ได้ไปว่าจ้างนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ที่ผมเรียกว่ากลุ่ม 7.1 ล้าน ทำอะไรรู้ไหมครับ จะไปยกเลิกข้อสงวนสิทธิ์ที่เราสงวนเอาไว้ตั้งแต่ปี 2505 เรื่องดินแดนปราสาทพระวิหาร กับตัวปราสาทพระวิหาร เขาพยายามจะจ้างนักวิชาการนี้เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องนี้ เพราะกระทรวงการต่างประเทศเคยไปเพ็ดทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่าข้อสงวนสิทธิ์นั้นใช้ไม่ได้แล้ว มันหมดอายุไปแล้ว นี่ข้อที่ 1 นะครับ ข้อที่ 2 ก็คือว่า พยายามที่จะไปเอาแผนที่ 1:200,000 กลับมาอีกรอบหนึ่ง คือไปว่าจ้างกลุ่มนักวิชาการกลุ่ม 7.1 ล้าน ให้เอาแผนที่ 1:200,000 ระวางดงรักที่ท่านนายกฯ บอกว่าไม่ใช้ กลับมาให้เป็นประโยชน์กับประเทศเขมรอีกรอบหนึ่ง ดูสิครับ กระทรวงต่างประเทศไทยทำอย่างนั้น นายกรัฐมนตรีบอกว่า ระวางดงรักไม่ใช้ แต่กระทรวงการต่างประเทศบอกว่าใช้ ไปว่าจ้างนักวิชาการมาแล้ว แล้วพวกนี้มั่วมากครับ ไปยกตัวอย่างเอายุโรป ไปเอาดินแดนที่เป็น transpary ใช้สำนวนโวหารเหมือนนายกฯ เปี๊ยบเลย แต่อยู่ตรงข้ามนายกฯ คือจะเอา 1:200,000 มาใช้ตรงประเด็นปราสาทพระวิหาร จะบอกว่ามรดกโลกข้ามพรมแดนในต่างประเทศเขามีหมดแล้ว แต่ขอโทษเถอะ ทุกประเทศเขามีดินแดน เขตแดนเรียบร้อยหมดแล้ว เรายังมีปัญหาเขตแดนอยู่ แต่พยายามที่จะไปเอาตัวอย่างซึ่งมันผิดฝาผิดตัวมาอ้าง แล้วจับยัดใส่กระทรวงการต่างประเทศ แล้วเดี๋ยวคอยดูนะครับ ปรากฏการณ์ก็คือ กระทรวงต่างประเทศจะใช้ข้อมูลกลุ่มนักวิชาการ 7.1 ล้านนี่ล่ะ มาต่อต้านประชาชนประเทศตัวเอง ผมถึงบอกว่า เดี๋ยวเขาจะไปทำอีกทีหนึ่งที่เชียงใหม่ แล้วผมคิดว่าเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดกระบวนการที่ท่านนายกฯ จะทราบหรือไม่ทราบ ไม่รู้ แต่คุณกษิต ภิรมย์ รู้ เพราะเป็นคนอนุมัติเงินให้นักวิชาการ 7.1 ล้านไปใช้ และไปทำอะไรรู้ไหมครับ สื่อมวลชน เอาเงินไปเที่ยวครับ ในการสัมมนาเมื่อวันที่ 21 มีการพูดจา หมายถึงว่าหยอกล้อกันด้วยซ้ำไปว่า นักวิชาการท่านนั้น ท่านนี้ ท่านนู้น ท่านนี้ ไปเที่ยวแล้ว ไปเจอชาวบ้าน ไปอะไรอย่างนี้ เสร็จแล้วใช้เงินภาษีราษฎรกลับมาทำร้ายประเทศเราเอง โดยการผลิตเอกสารขึ้นมาทั้งชุด มันประหลาดมากเลย กระทรวงต่างประเทศของเรา ผมเริ่มไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นกระทรวงต่างประเทศไทยหรือเปล่า เพราะว่าสถาปัตยกรรมก็บ่งบอกว่าคล้ายๆ สถานทูตกัมพูชานะ ผมคิดว่าเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สื่อมวลชนควรจะเกาะติด เพราะว่า TOR 7.1 ล้านนี่เฉพาะค่าวิจัยนะ ส่วนค่าเดินทางไปต่างประเทศกระทรวงต่างประเทศต้องออกเองนะครับ และผมคิดว่า ป.ป.ช.ควรจะไปสอบด้วย คือมันหลายอย่าง ประเทศนี้ รู้สึกว่าเป็นอาณานิคมกัมพูชาหรือเปล่า ไม่รู้ ขอบคุณครับ
ประพันธ์- ประเด็นที่ท่านนายกฯ แถลงอีกนิดหนึ่ง คือประเด็นว่าท่านจะทำหนังสือประท้วงคำพิพากษา นี่ก็สะท้อนความอ่อนหัดของผู้นำประเทศเรานะครับ คือในการ object หรือการคัดค้าน เขาต้องคัดค้านโดยทันทีเพื่อให้เป็นผล ในวันที่ควรจะแสดงการประท้วงหรือการคัดค้าน ก็คือทันทีที่คนไทยถูกจับ 7 คน และอยู่บนผืนแผ่นดินไทย รัฐบาลไทยจะต้องประท้วงและเรียกทูตมาประท้วง และเรียกร้องให้ปล่อยคนไทย แต่การไปแสดงการคัดค้าน หรือไป object ภายหลังจากที่ศาลเขามีคำพิพากษาแล้ว เป็นเรื่องน่าขันและน่าหัวเราะที่สุดของการเป็นผู้นำประเทศ และเรื่องของนโยบายต่างประเทศ เพราะศาลเขาได้มีคำพิพากษาแล้ว ย่อมเป็นเครื่องบ่งบอกว่าศาลกัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนนั้น จึงสามารถตัดสินจำคุกคนไทยได้ทั้ง 7 คน ทั้ง 5 คน แล้วยังเอาคนไทยไปกักขังไว้ในคุกในเรือนจำจนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นการไปประท้วงหรือการไปโต้แย้งว่าเราไม่ยอมรับคำพิพากษาในภายหลังนั้น เป็นเรื่องที่น่าขันและน่าหัวเราะที่สุดของการดำเนินกุศโลบายทางการเมืองในการต่างประเทศ ไม่มีใครเขาทำกันนะครับ แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพิพากษานี้ไม่ผูกพันอย่างที่ผมอธิบายไปแล้วในช่วงแรก ก็เป็นประเด็นสุดท้ายเพิ่มเติมแล้วกันนะครับ
จำลอง- อย่าเข้าใจผิดนะครับว่าเรามีอคติต่อกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ ผมเคยถามท่าน ดร.สมปอง สุจริตกุล ผมอ้างเสมอ ว่าท่านอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ศาลโลกตัดสินเราเรื่องปราสาทพระวิหาร ตอนนั้นท่านอายุ 29 ปี อภิสิทธิ์ยังไม่เกิดเลยนะครับ ท่านยืนยันเลยว่าเรามีปัญหาตามที่พวกเราได้เสนอไปแล้ว และวิธีแก้ปัญหานั้นถูกต้องแล้ว ผมก็ถามท่านในการอภิปรายแห่งหนึ่งว่า ท่านอาจารย์ ดร.สมปอง ครับ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศมาก่อน และท่านยังเกาะติดการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ ท่านคิดว่ากระทรวงการต่างประเทศทำงานเป็นอย่างไรบ้างครับ ท่านบอกผมมาสั้นๆ ท่านใช้คำนี้นะครับ "ผมอยากจะกลั้นใจตาย" ปิดการแถลงข่าวครับ