“อภิสิทธิ์” ยอมรับคณะ “พนิช” แจ้งความประสงค์ก่อนลงตรวจสอบพื้นที่ “โนนหมากมุ่น” จนถูกทหารเขมรจับกุมจริง มั่นใจ 7 คนไทยไม่มีเจตนารุกล้ำ ยันจุดเกิดเหตุเป็นพื้นที่พิพาท โบ้ยเหตุปล่อยศาลกัมพูชาสั่งจำคุกเป็นเรื่องยถากรรม แต่ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าไทยสูญเสียอธิปไตย ยังปากดีทำหนังสือแย้ง ท่องคาถาต้องยึดเอ็มโอยู 43-เจบีซีเป็นที่ตั้งเท่านั้น
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (23 ม.ค.) ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ (เอ็นบีที) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวชี้แจงกรณีคนไทย 7 คน ถูกจับกุมในกัมพูชาว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์คนไทย 7 คนถูกจับกุมบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากมีความวิตก ห่วงใย และจะกระทบต่อเขตแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่ ตนรอคอยที่จะได้มีโอกาสชี้แจงต่อประชาชน แต่ก่อนหน้านี้ด้วยความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ และ 7 คนไทยก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลกัมพูชา จึงต้องระมัดระวังการบอกกล่าว หรือพูดจาอะไร เพราะมันจะมีผลกระทบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า วันนี้เมื่อศาลมีคำพิพากษาไปแล้วสำหรับ 5 คนไทย เป็นจังหวะที่เรารอต่อไปอีกไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องมาชี้แจงเพื่อให้เกิดความชัดเจน คือ ประการแรก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.มานั้นเกิดอะไรขึ้น มีที่มาที่ไปอย่างไร และเราดำเนินการอะไร ประการที่ 2 คือ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แนวทางการทำงานของรัฐบาลมีผลกระทบต่อเรื่องของเขตแดน อธิปไตยของประเทศหรือไม่ และประการที่ 3 จากนี้ไปเราจะแก้ไขปัญหากรณี 2 คนไทยที่เหลือ ทั้งปัญหาเขตแดนบริเวณชายแดน รวมไปถึงความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ว่าจะทำกันอย่างไรต่อไป นี่คือเหตุผลที่ตนใช้เวลานี้เพื่อชี้แจงประชาชน
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ปัญหาเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา เป็นปัญหาที่สลับซับซ้อน มีความอ่อนไหว ยืดเยื้อเรื้อรังมาหลายสิบปี เหตุผลเพราะว่าสถานการณ์ชายแดนนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการสู้รบ มีสงคราม มีการอพยพ การขยายตัวของชุมชน และอะไรต่างๆ อีกมามาย ไม่นับว่าในเชิงกฎหมายมีข้อตกลงสนธิสัญญาหรือการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน จึงทำให้เกิดความสับสนเป็นอย่างมาก และเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันว่าสภาพการณ์ต่างๆ นั้นเป็นอย่างไร
บางพื้นที่ที่มีความสลับซับซ้อนไม่เหมือนกัน ทำให้มองไม่เหมือนกันด้วย บางทีอาจไปมองจุดหนึ่ง แต่คิดว่าเป็นอีกจุดหนึ่ง บริเวณที่เกิดขึ้นที่ จ.สระแก้ว ที่เราจะไปดูกันในวันนี้นั้นเป็นบริเวณที่มีหลักเขตอยู่แล้ว ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าเส้นเขตแดนเป็นเส้นตรงที่ลากระหว่างหลักเขตที่ 46 และ47 เพียงแต่ว่าเส้นเขตแดนยังไม่เป็นที่ยุติก็เพราะว่าทั้งสองฝ่ายยังโต้แย้งกันอยู่ว่าหลักเขตที่ปรากฏปัจจุบันนั้นถูกต้องตามบันทึกที่เคยมีการตกลงกันไว้ตามสนธิสัญญาหรือไม่อย่างไร ทีนี้เราก็ต้องมาดูว่าเหตุการณ์วันที่ 29 ธ.ค.นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร และไปเกี่ยวข้อง ส.ส.พนิช วิกิตเศรษฐ์ ซึ่งสังกัดในพรรครัฐบาล
นับตั้งแต่มีข้อโต้แย้ง วิพากษ์วิจารณ์ ตนก็เห็นว่าจะเกิดปัญหาความตึงเครียดขึ้นระหว่างกลุ่มบุคคลที่มีความห่วงใยในเรื่องนี้ ที่มีการทักท้วง ร้องเรียนมายังรัฐบาลอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับชายแดนกัมพูชา ตนเห็นว่าถ้าเรื่องนี้ไม่สามารถทำความเข้าใจกันได้ ไม่รับฟังกันเลย ก็จะทำให้ปัญหาลุกลามบานปลายออกไป โดยการปัญหาสองลักษณะ คือ 1.เติมปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศมากขึ้น และ 2.ปัญหานี้อาจจะลุกลามออกไปจนกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แล้วก็จะส่งผลกระทบต่อประชาชนแนวชายแดนเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุผลนี้ เมื่อนายพนิชอาสาบอกตนว่าจะไปรับฟังว่ากลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับชายแดนไทยกัมพูชาเขามีประเด็นอะไรอย่างไร ตนก็บอกว่าจริงๆ ก็ถือเป็นหน้าที่ของ ส.ส.อยู่แล้วที่จะต้องรับฟังประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ว่าเขาจะวิพากษ์วิจารณ์รับบาลหรือไม่ก็ตาม ซึ่งนายพนิชย์ก็ได้เข้าไปประสานงาน และบอกกับตนว่าหนึ่งในประเด็นที่หลายฝ่ายติดใจในบริเวณชายแดนมีอยู่บางจุดที่บอกว่ามีประชาชนเดือดร้อน เพราะที่ทำกินของตัวเองแต่ไม่สามารถเข้าไปทำกินได้ เพราะเข้าไปแล้วจะมีปัญหา จึงเป็นการบ่งบอกหรือไม่ว่าเราสูญเสียดินแดนไปหรือไม่ ซึ่ง 1 วันก่อนการเดินทางไป ก็มาถามตนว่าจะไปลงพื้นที่ชายแดน จ.ปราจีนบุรี กับทางกลุ่มที่จะไปดูข้อมูลได้หรือไม่ ตนก็บอกไปว่าสามารถที่จะไปลงพื้นที่บริเวณชายแดนได้ เช้าวันที่ 29 นายพนิชก็ได้โทร.มาหาตน แล้วบอกว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้อาจมีความจำเป็นที่ต้องประสานงานกับทาง ตชด. ตนจึงบอกว่าเมื่อเข้าไปถึงพื้นที่ แล้วพบกับ ตชด.แล้วก็ให้ประสานงานเข้ามาเราจะได้ดำเนินการให้ แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตนทราบข่าวครั้งแรกจากนายพนิชติดต่อมาจากการลงพื้นที่เมื่อถูกจับกุมแล้ว
“นี่คือที่มาที่ผมจะยืนยันกับประชาชนว่า คนไทย 7 คนนี้ไม่ได้มีเจตนาอะไรเลยครับ นอกเหนือจากการที่จะเข้าไปดูปัญหาในพื้นที่ที่มีการร้องเรียนจากประชาชน และผมก็ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าประชาชนกลุ่มนี้เคยร้องเรียนมาหลายสิบปีแล้ว หลายรัฐบาล แต่ไม่มีการดำเนินการอะไร” นายกรัฐมนตรีกล่าว
จากการนำแผนที่มาโชว์ในรายการ จะเห็นถนนศรีเพ็ญ ซึ่งเป็นที่มีการตัดเลียบตามแนวชายแดนกัมพูชา จากจากนี้บริเวณดังกล่าวยังมีความสลับซับซ้อนไปอีก เรามีจุดหลักเขตที่ 46 และ 47 แต่ยังไม่มีการเจรจาข้อยุติ นอกจากนี้ยังมีชุมชนของกัมพูชามาคร่อมอยู่บนเส้นสีขาว หรือใครบางคนบอกว่ามีการรุกล้ำกันไปมาทั้งไทยและกัมพูชาตลอดแนว มีมากกว่า 10 จุด ซึ่งแต่ละจุดจะมีความแตกต่างกันไป บ้างก็บอกว่ากัมพูชาได้เปรียบไทยเสียเปรียบ บางจุดก็บอกว่าไทยได้เปรียบกัมพูชาเสียเปรียบ เป็นต้น
ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น เมื่อบุคคลทั้ง 7 ได้นั่งรถตามถนนศรีเพ็ญ เมื่อเขาลงจากรถตรงจุดสีแดง และเดินลงมาบริเวณทุ่งนา ผ่านเส้นประ ซึ่งเป็นเส้นที่เป็นแนวลวดหนาม ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ชุมชนกัมพูชาเข้ามาในช่วงที่มีการสู้รบหลบหนีกัน ก็มาครอบครองพื้นที่อยู่ในบริเวณนี้ แต่ยังไม่สามารถกำหนดเส้นเขตแดนกันได้ ก็มีการตกลงกัน และปฏิบัติเป็นแนวแบบนี้หลายๆ จุด โดยกำหนดว่าทำอย่างไรอย่าให้การรุกล้ำนั้นขยายตัว จึงจะมีการกำหนดแนวไว้เป็นรั้วลวดหนาม ซึ่งปัจจุบันไม่มีลวดหนามแล้ว แต่จะมีเส้นแนวปูนอยู่ เมื่อเขาเดินลงมาจะเห็นว่าเขาเดินเลี้ยวขึ้นถนนที่เป็นเส้นประ ความสำคัญคือ ก่อนหน้านี้มีการพูดกันมาก 1.บุคคลเหล่านี้ถูกจับกุมในบริเวณทุ่งนา ซึ่งไม่ใช่ เพราะบริเวณทุ่งนาเขาเดินผ่านมาเรียบร้อยแล้ว 2.มีการพูดกันว่าเขาถูกจับบนที่ดินมีเอกสารสิทธิ น.ส.3 ของนายเบ ปรากฏว่า น.ส.3 ดังกล่าวจะอยู่ที่หลักเขตที่ 46 ดังนั้นเมื่อเขาเดินมาตรงนี้แล้วเลี้ยวไป จะเห็นว่าเขาไม่ได้ถูกจับในทุ่งนาและ น.ส.3 ถ้าดูแบบนี้เหมือนเขากำลังเดินลึกเข้ามาในเขตของไทย
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า การดำเนินการต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติอย่างไร มีการถามว่าเราได้ปฏิบัติอย่างไรบ้าง หลังจากเป็นข่าวสิ่งที่รัฐบาลทำคือพยายามเจรจากับกัมพูชาว่าเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างเขตแดนที่ยังไม่เป็นที่ยุติ เป็นไปได้ไหมที่จะมีการส่งคืนตัวบุคคล อย่าไปขึ้นศาลอะไรทั้งสิ้น แต่ทั้ง 7 คนก็ถูกนำตัวไป วันรุ่งขึ้นตนก็เรียกประชุมหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และรมว.ต่างประเทศก็เดินทางไปกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาบอกว่า ทั้ง 7 ล้ำเข้าไปในเขตแดนกัมพูชา พร้อมกับให้วิดีโอที่ถ่ายโดยทั้ง 7 คนไทย
จากนั้นเราได้นำวิดีโอมาตรวจสอบ จากนั้นวันที่ 31 ธ.ค.53 ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไป เพื่อให้กัมพูชาชี้จุดว่าจับกุมตรงไหน เราจึงบอกว่าขอวัดพิกัด พบว่าไม่ว่าจะเป็นจุดสีน้ำเงิน หรือจุดสีแดง เมื่อทาบลงบนเส้นตรงระหว่างหลักเขตที่ 46 และ 47 ปรากฏว่าอยู่ฝั่งทางด้านนี้ ด้วยเหตุผลนี้ตนจึงต้องอธิบาย เพราะแนวปฏิบัติจะแตกต่างกันอยู่ เราพยายามเร่งรัดให้ 7 คนไทยสามารถกลับเมืองไทย เพื่อที่เราจะได้มีการดำเนินการต่างๆ ต่อไป ที่เหลืออีก 2 คนต้องการจะต่อสู้อีกแนวทางหนึ่ง ในวันที่ 1 ก.พ.54 ศาลจึงพิพากษาเฉพาะ 5 คน
“การที่ศาลกัมพูชาตัดสินเช่นนี้ เป็นการยอมรับหรือไม่ว่าบุคคลที่ถูกจับและเดินเข้าไปนั้นอยู่ในเขตแดนกัมพูชา ผมก็จะบอกว่าตามหลักแล้วการตัดสินของศาลภายในประเทศใดประเทศหนึ่ง ย่อมไม่มีผลชี้เรื่องของเขตแดนได้ ความผูกพันก็จะมีเฉพาะกับคู่ความ แต่จะมาบอกว่าคำพิพากษาของกัมพูชา ถือว่าอยู่ในเขตกัมพูชาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกัมพูชาลงนามใน MOU 2543 ไว้แล้ว ว่าบริเวณทั้งหมดเขตแดนยังไม่เป็นที่ยุติ และจะยุติได้ตามกระบวนการที่กำหนดไว้ใน MOU เท่านั้น เบื้องต้นผมขอยืนยันว่า ไม่มีตรงไหนที่รัฐบาลจะไปยอมรับเนื้อหาสาระของศาลที่ตัดสินคดีนี้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน ตรงนี้จะเป็นคำตอบว่าเราไม่ได้สูญเสียดินแดนหรืออธิไตยแต่อย่างใด” นายกรัฐมนตรีกล่าว และว่า เมื่อมีคำพิพากษาออกมา ศาลต้องแปลคำพิพากษาส่งมายังฝ่ายไทย เพื่อทำหนังสือโต้แย้ง และบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่าคำพิพากษาของศาลนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการชี้เขตแดนใดๆ ทั้งสิ้น
จากนี้ไป รัฐบาลจะมีหน้าที่ช่วยคนไทยทั้ง 2 ต่อสู้คดีต่อไป และเราต้องเคารพการตัดสินใจและทางเลือกของคนไทยอีก 2 คน แต่จะทำให้ดีที่สุดในการสนับสนุนเพื่อให้ 2 คนที่เหลือกลับมาประเทศไทยเร็วที่สุด โดยจะปรึกษาหารือกับเจ้าตัวและทนายความ
ในแง่พื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิในบริเวณนี้แต่เจ้าของทำกินไม่ได้ ตนได้มีการปรึกษาแล้ว จะมีการดำเนินการขอเปลี่ยนแนวปฏิบัติ เพื่อให้เข้าไปทำกินในพื้นที่ตัวเองได้ แต่จะมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่มี ส.ค.1 หลายแปลง ยังไม่สามารถกำหนดแนวต่างๆ ชัดเจน แต่จะตรวจสอบอีกครั้ง และจะประสานงานเพื่อชี้แนวให้ชัด เพื่อเป็นข้อมูลใช้ประโยชน์การอ้างกำหนดเส้นเขตแดนต่อไป
“รัฐบาลยืนยันจะรักษาผลประโยชน์ประเทศไทย อธิปไตยไทย การแก้ไขปัญหาเขตแดนต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านด้วย ยืนยันว่าไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง หากมีเรื่องของเถื่อนชายแดน หรืออะไรก็ตาม ให้แจ้งเข้ามา จะดำเนินการเต็มที่ เรื่องนี้ไม่จำเป็นที่คนไทยจะมาทะเลาะกันเอง ขอให้มาคุยกันด้วยเหตุด้วยผล”