"ประพันธ์" ชี้พฤติกรรม รบ. เข้าข่ายผิด กม.อาญาโทษจำคุกตลอดชีวิต เชื่อ"วีระ"โดนขังเดี่ยวฐานหมันไส้ แนะผู้เสียหายช่วยชาติด้วยการฟ้องฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมให้กำลังใจ "วีระ" แน่วแน่ในจุดยืนชี้เป็นหลักฐานเด็ดยันเขมรอ้างเรื่องเขตแดน เตือนทำหูอื้อไม่ฟังเสียงประชาชนไม่เคยมี รบ.ไหนอยู่ได้ ด้าน "ดร.ปราโมทย์" วอนรัฐอย่าหลอกคนไทย แนะเขียน จม.ถึงยูเนสโกว่าทำให้ประเทศแตกแยก เรื่องจะได้ยุติ
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "คนในข่าว"
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน วันที่ 20 ม.ค.2554 เวลา 20.30-22.00 น.โดยมีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ได้รับเกียรติจากนายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ มาร่วมพูดคุยถึงความถูกต้องในจุดยืนของรัฐบาล ต่อกรณีช่วยเหลือ 7 คนไทย
นายประพันธ์ กล่าวถึงพัฒนาการของรัฐบาล กรณีเขมรจับกุม 7 คนไทย ว่า หากเป็นประเทศอื่นนายกรัฐมนตรีเขาลาออกไปนานแล้ว เพราะดำเนินนโยบายผิดพลาดตั้งแต่ต้นที่ไปยอมจำนนด้วยคำพูดว่าคนไทยรุกล้ำเข้าไปในเขตกัมพูชา ผลักดันคนตัวเองขึ้นศาลกัมพูชา พฤติกรรมของรัฐบาลเช่นนี้ เท่ากับสมคบกับบุคคลนอกประเทศ ทำให้อธิปไตยไทยเสื่อมเสีย ปรับเข้ากับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 มีโทษหนักถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต
ส่วนการกระทำของรัฐบาลที่อ้างพยายามช่วยเหลือคนไทยทั้งหมด นั้น ขณะนี้ตนมองว่าเป็นการพยายามที่โง่เขลา ยอมจำนนในสิ่งที่ไม่ควร ยอมรับกระบวนการศาลของกัมพูชาด้วยการพยายามให้คนไทยรับสารภาพ ยิ่งทำให้ไทยเสี่อมเสียเอกราช พฤติกรรมอย่างนี้ไม่ใช่การช่วย แต่เป็นการทำร้ายประเทศ ทำร้ายประชาชนของตัวเอง หากเปิดสภา ตนอยากให้ฝ่ายค้านซักฟอกตรวจสอบการกระทำผิด รวมทั้งยื่นถอดถอนด้วย นอกจากนี้ญาติผู้เสียหายน่าจะฟ้อง นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ด้วยฐานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หากเรื่องนี้ขึ้นสู่กระบวนการศาลแล้วศาลตัดสินว่าการกระทำของผู้แทนรัฐบาลเป็นความผิด จะเป็นอีกหนทางหนึ่งในการช่วยประเทศชาติ เพราะถ้ากัมพูชาอ้างเรื่องไทยยอมรับเขตอำนาจศาลมาเป็นข้อต่อสู้ในการพิจารณาพื้นที่เขตแดนตามแนวชายแดนแล้ว เราจะได้ต่อสู้ได้ ว่ารัฐบาลไปกระทำให้เรื่องที่ศาลไทยและคนไทยไม่ยอมรับ ดังนั้นหากใครยังหน้ามืดตามัวปกป้องรัฐบาลอยู่ ควรหันมาศึกษาข้อเท็จจริง ว่าพฤติกรรมของรัฐบาล ถือว่ากระทำผิดร้ายแรงแล้วหรือไม่
นายประพันธ์ กล่าวชื่นชม นายวีระ สมความคิด ว่า เป็นการต้องสู้บนหลักการ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไรก็ยืนยันว่าถูกจับในเขตไทย หากศาลกัมพูชาตัดสินอย่างไร ก็อย่าคุกเขาขออภัยโทษ ถึงแม้ช่วงเวลาระหว่างการยื่นอุทธร ฏีกา จะมีระยะเวลายาวนานที่ท่านต้องทนทุกข์อยู่ในคุกเขมร ประเทศไทยต้องการคนเสียสละ สิ่งที่ท่านทำจะเป็นคุณต่อประเทศ จะเป็นหลักฐานยืนยันว่า ไม่เคยยอมรับอธิปไตยของกัมพูชาหลังกล่าวหาว่ารุกล้ำเขตแดน ไม่ต้องคำนึงว่ารัฐบาลจะให้คนของเขาไปให้การอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขาแน่นอนว่าเมื่อเป็นรัฐบาลย่อมร่มสลาย หากมีรัฐบาลใหม่ที่มีแนวคิดนโยบายใหม่ เขาจะช่วยคุณออกมาเอง แล้วท่านจะอยู่อย่างยิ่งใหญ่เป็นวีรุรุษของประชาชน
การที่รัฐบาลบอกว่า ผลการตัดสินของศาลกัมพูชาไม่มีผลผูกพันธ์การพิจารณาเขตแดนไม่ผูกพันเอ็มโอยู43 เป็นการพูดแบบเด็กๆ การกระทำของรัฐบาลเท่ากับยอมรับแล้วว่าคนไทยผิด ยอมรับว่าเป็นดินแดนของกัมพูชา เมื่อเกิดการต่อสู้ในข้อเท็จจริงขึ้นจะเป็นกฎหมายปิดปาก เมื่อเป็นอย่างนี้รัฐประชาคมโลกก็คงไม่มีใครเชื่อประเทศไทย และที่ชอบพูดว่า เอ็มโอยู43 มีประโยชน์ ไทยไม่เสียดินแดน หากมีข้อพิพาทเจรจากันได้ ก็เห็นนายก ได้แต่ปิดปากเงียบไม่พูดถึงข้อโต้แย้งที่ไทยได้ประโยชน์ในเอ็มโอยู43 เลย กรรมเป็นเรื่องชี้เจตนาพฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้คนสงสัยว่ารัฐบาลไทยรู้เห็นเป็นใจสมคบคิดกับรัฐบาลต่างประเทศ อย่างไรก็ดี หากรัฐบาลยังดื้อดึงไม่ล้มเลิกเอ็มโอยู43 ความจริงจะถูกตีแผ่ประชาชนจะรับทราบข้อเท็จจริงมากขึ้น ตอนเป็นฝ่ายค้านนายกพูดว่า “แม้เสียงประชาชนหนึ่งเสียงที่มีเหตุผลก็ต้องรับฟัง” วันนี้ท่านเป็นรัฐบาล มีเสียงของประชาชนทั้งแผ่นดินที่ต่อต้าน ท่านกลับทำหูอื้อไม่ได้ยิน เรื่องนี้เคยเป็นคำตอบอยู่แล้วว่ารัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน ไม่เคยมีรัฐบาลไหนอยู่ได้ เชื่อว่าสักวันหนึ่งประชาชนต้องลงโทษ
“ที่นายกฯพูดว่า “จะล้ำหรือไม่ล้ำกรณีอย่างนี้เอาไปขึ้นศาลไม่ได้” การเป็นคนเป็นผู้นำคนเขาจะนับถือพูดแล้วต้องทำ และต้องทำให้ได้ ไม่ใช่พูดพ่นขึ้นฟ้าแล้วรดหน้าตัวเอง ต้องพิสูจน์ให้เห็นแถลงจุดยืนปฎิบัติตอบโต้กลับไปอย่างเด็ดขาด กรณีนี้ทำช้ายังดีกว่าเดินอยู่ในแนวทางเดิมที่มีสิทธิ์เสียอธิปไตยไทยแน่นอน” นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า คนในรัฐบาลมีความคิด หมันไส้นายวีระ ตัวอย่างกรณีนายอภิสิทธิ์ พูดในวันที่ประกัน 6 คนไทยแล้ว ว่า "เข้าใจว่านายวีระ คงกระทำผิดซ้ำซากหลายครั้งแล้ว เป็นเหตุไม่ให้ได้รับการประกัน" ซึ่งตนไม่รู้ว่านายกฯเอาทัศนะอะไรมาพูด เพราะความจริงแล้ว นายวีระ ถูกจับบนแผ่นดินไทย และยังไม่เคยกระทำผิดฐานรุกล้ำดินแดนเลย การจับตัวนายวีระเมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ก็ไม่ได้ถูกจับในเขตเขมร สำหรับข้อหาควรหมันไส้ นายวีระ ตนเชื่อว่าต้องเป็นเรื่องที่นายวีระ ชอบเอาความจริงมาเปิดเผยทำให้รัฐบาลหน้าแตก อย่างกรณีไม่ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่ร้องขอความช่วยเหลือมาแล้วหลายครั้ง ด้าน ฮุนเซน ก็หมันไส้ วีระ ที่เป็นหัวหองคัดค้านการขึ้นทะเบียนมรดก และไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลไทยที่ไปสมคบกับรัฐบาลกัมพูชาแฝงหาผลประโยชน์กัน
ดร.ปราโมทย์ กล่าวถึงภาพรวมกรณีรัฐบาลไทยช่วยเหลือ 7 คนไทย ว่า เป็นการเสียท่าในด้านการทูต และผลประโยชน์ของชาติ ทำให้เกิดความแตกแยกในชาติ ที่รัฐบาล ไร้ความสามารถล่าช้าในการแก้ไข ไม่มีความเข้าใจในข้อเท็จจริง การที่ประชาชนรักชาติออกมาเคลื่อนไหวกลับถูกกล่าวหากว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ส่งผลให้ คำนิยามใดๆ ที่เกี่ยวกับประโยชน์ของชาติต้องเสื่อมศูนย์ไป ถึงจะไม่สิ้นเชิงก็ทำให้มูลค่าลดลงเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากนายกฯมีความเป็นลูกผูชายและกล้าหาญพอ รู้สำนึกตัวว่าทำผิด ต้องรับฟังอดีตทูต ผู้พิพากษา นักวิชาการ หากยอมฟังปัญหานี้ควรจบไปง่ายๆตั้งแต่ เมื่อครั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชมุนม193 วันแล้ว จนทำให้มองได้ว่าแม้รัฐบาลนั้นจะดื้อด้านแต่รัฐบาลนี้ดื้อด้านกว่า
“ไม่ต้องมาหลอกว่ายูเอ็นจะมาแทรกแซง ไม่ต้องหลอกว่าขึ้นศาลโลกเราจะแพ้ เพียงแค่ท่านเขียนจดหมายไปถึงยูเนสโก แค่ฉบับเดียวว่าเรื่องนี้ทำให้ประเทศไทยเกิดความแตกแยกของคนในชาติ ทุกอย่างจะคลี่คลาย ไม่ต้องปักปันเขตแดนเพราะเคยปักไว้แล้วตั้งแต่สนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส เรื่องนี้เป็นเรื่องหลักหมุดระหว่างเพื่อนบ้านที่มีการเคลื่อนย้ายจากเดิม จะตัดไม้ร่วมกันก็ย้ายหลักหมุด หากรัฐบาลไม่ได้ตั้งอยู่บนวามกล้าหาญ ยังยึดผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง เมื่อท่านตกจากกระป๋องเมื่อไรก็จะติดคุก” ดร.ปราโมทย์ กล่าว
ดร.ปราโมทย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยกล่าวถึงการนัดชุมนุมของพันธมิตรฯว่า ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ รัฐบาลต้องอดทนเคารพและสนับสนุน จะหาว่าฝ่ายนั้นนี้มีเบื้องหลังไม่ได้ประชาชนก็มีความคิดเขาก็แสดงออกไปตามครรลองความเชื่อของเขา หากเป็นรัฐบาลใจกว้างจริง ทำให้ข่าวฟรีทีวีเป็นสื่อที่เปิดเผย เข้าสู่กระบวนการเจรจากับประชาชนอย่างถูกต้อง แล้วความสามัคคีของประชาชนก็จะเกิดขึ้น
ส่วนกรณีตำรวจหิ้วตัวนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และ นายสมบูรณ์ ทองบุราณ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ดร.ปราโมทย์ กล่าวว่าไม่ใช่การกระทำของตำรวจในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งในด้านจรรยาบรรณอาชีพ ล้วนแต่สำแดงความป่าเถื่อน สะท้อนถึงองค์กรณ์ที่ล้าหลังใช้ไม่ได้ ตำรวจเป็นปัญหาที่แท้จริงของชาติ ต้องมีการปฎิรูปกรมตำรวจอย่างจริงจัง
นายประพันธ์ กล่าวเสริมประเด็นนี้ว่า มีปัญหาตั้งแต่ตั้งข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายแล้ว พอประเทศไทยมีบทบัญญัติว่าด้วยการก่อการร้าย ทำให้ตำรวจเห็นการ แสดงความคิดเห็นทางการเมือง ก็จะตั้งข้อกล่าวหาก่อการร้ายทั้งหมด ทั้งที่จริงคำว่าก่อการร้ายจะต้องเข้าเหตุ การใช้อาวุธ รุนแรง มุ่งล้มล้างอำนาจรัฐเปลี่ยนแปลงระบอบเศรษฐกิจ ดังนั้น การแสดงออกของประชาชนจะเอากฎหมายนี้มาใช้ไม่ได้เลย