ต่อให้ 7 คนไทยเดินทอดน่องรุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของกัมพูชาสัก 1-2 กิโลเมตรด้วยภารกิจเพื่อการตรวจสอบพื้นที่ทำกินของพี่น้องคนไทย พวกเขาก็ไม่สมควรจะถูกจับกุม ถูกนำไปขยายผลทางการเมืองโดยประเทศกัมพูชาหรือเขมร...พวกเขาไม่ควรกลายเป็น 7 ตัวประกันของสมเด็จฮุนเซน ผู้นำเขมร ที่กำลัง “สยบ” ประเทศไทย ผู้นำในรัฐบาลไทยจนอยู่หมัด...
ครับ นั่นคือความรู้สึกของผมจริงๆ ต่อกรณี 7 คนไทยที่ถูกจับกุม
ดังนั้น ไม่ต้องถามผมว่า ผมผิดหวังกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ในการบริหารจัดการกรณีนี้หรือไม่...เต็มๆ ครับ
วันนี้ผมไม่อยากลงรายละเอียดให้น่าปวดหัว ขอคุยในภาพกว้าง....ทั้งๆ ที่พอจะพูดคุยได้บ้างเพราะอดีตชีวิตเคยทำข่าวมา 30 ปีเต็มและครึ่งหนึ่งก็ขลุกอยู่กับงานสายข่าวกองทัพ - ความมั่นคง พอจะเข้าใจในโครงสร้างพื้นที่ที่เกิดเหตุว่าเป็นอย่างไร...
ถ้ารองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง, รมว.กลาโหม, รมว.ต่างประเทศ และล่าสุด นายกรัฐมนตรีและทีมงานอีกหลายคนไม่ดาหน้าออกมายืนยันว่า 7 คนไทยถูกจับกุมในดินแดน (อธิปไตย) ของกัมพูชา หากแต่ออกมาบอกว่าถูกจับกุมในพื้นที่สีเทาหรือพื้นที่ที่ยังมีปัญหา ถึงแม้อาจจะเป็นการพูดที่ผิด แต่คงไม่ทำให้ผมและคนไทยอีกจำนวนมากรู้สึกผิดหวังมากขนาดนี้
ตอนแรกที่มีกระแสข่าวว่าคณะผู้นำไทยได้วางแผนให้ 7 คนไทยสารภาพผิดว่า “พลัดหลง” ล้ำเขตแดนโดยไม่มีเจตนาเพื่อให้ทางกัมพูชาเห็นใจหรือให้ประกันตัว ผมไม่เชื่อ...แต่มาถึงวันนี้ผมค่อนข้างเชื่อแล้วว่าอาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะทุกความเคลื่อนไหวของคณะผู้นำไทยล้วนแต่อ่อนปวกเปียก ราวกับสมเด็จฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาเป็นคุณพ่อเหนือหัว..
ศักดิ์ศรีของประเทศ ศักดิ์ศรีของคณะผู้นำไทยแทบไม่เหลือหรอ...แล้วอย่ามากล่าวหาคนไทยที่รู้สึกอย่างนี้ว่าคลั่งชาติก็แล้วกัน เพราะครึ่งค่อนประเทศก็คงจะรู้สึกแบบนี้...
ตอนนี้รัฐบาลเหลือข้ออ้างเดียวที่เป็นสูตรสำเร็จรูปในการปกป้องความปวกเปียกของตนเองก็คือ การอ้างว่าไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่างๆ ได้เพราะเป็นเรื่องความมั่นคงที่ละเอียดอ่อน...มากกว่านั้นก็คือการเดินงานข่าวในทางลับด้วยการให้ข่าวทำนองว่า หากเปิดเผยข้อมูลกันจริงๆ จะพบว่าประเทศไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชา ดังนั้นขอให้เฉยๆ ดีกว่า เรื่องของ 7 คนไทยขอให้ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม (ของกัมพูชา) และอีกไม่นานพวกเขาจะกลับมา..
เท่าที่ผมสดับตรับฟัง เรียบเรียงข้อมูลความรับรู้มาโดยลำดับแล้ว ยังเชื่อมั่นว่า 7 คนไทยถูกจับกุมในดินแดนไทย หรืออย่างเลวร้ายก็เป็นพื้นที่ที่ยังมีปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาเท่านั้น ดังนั้นการที่รัฐบาลไทยปล่อยให้กองกำลังกัมพูชามาหิ้วปีก 7 คนไทยซึ่งมี ส.ส.เพื่อนสนิทของนายกรัฐมนตรีไทยรวมอยู่ด้วย จึงเป็นการตบหน้ารัฐบาลไทย ประชาชนคนไทยอย่างรุนแรง...
ดังนั้นกรณี 7 คนไทยถูกจับกุมเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 และแม้จะได้รับประกันตัวแล้ว 6 คน เหลือเพียงวีระ สมความคิด โดยที่ทั้ง 7 คนยังถูกควบคุมตัวให้อยู่ในกัมพูชาต่อไป นอกเหนือจะเป็นการพิสูจน์แล้วว่า รัฐบาลชุดนี้อ่อนด้อยในงานด้านความมั่นคงแล้ว ยังมีอีก 2 ปมปัญหาใหญ่ที่ชวนคิดชวนคุย...
1) กรณีบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. 2543 (MOU 2543) - จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพิสูจน์ให้เห็นว่า MOU 2543 ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรใครได้รวมทั้งรัฐบาลไทย ทั้งๆ ที่ใน MOU 2543 โดยเฉพาะข้อ 8 ระบุว่า “ให้ระงับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา”
เราจะพบว่าไม่ว่า MOU 2543 จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณี 7 คนไทยหรือไม่ก็ตาม แต่เราไม่พบเลยว่ารัฐบาลมีความพยายามที่จะนำ MOU 2543 มาเป็นเครื่องมือในการเจรจากับกัมพูชา ทั้งๆ ที่ผ่านๆ มารัฐบาลชุดนี้อ้างมาเสมอว่า เพราะ MOU 2543 แท้ๆ จึงทำให้ประเทศไทยยังสามารถเจรจายับยั้งกัมพูชาในกรณีต่างๆ ได้ โดยเฉพาะกรณีนำปราสาทพระวิหารจดทะเบียนมรดกโลก
ในขณะที่กัมพูชามีแต่จะได้ประโยชน์จาก MOU 2543 โดยเฉพาะประเด็นแผนที่มาตราส่วน 1:200,000
(2) กรณีอธิปไตยทางศาล - เรื่องนี้ชวนตั้งคำถามเป็นอย่างยิ่งว่าเรากำลังจะสูญเสียอธิปไตยทางศาลหรือไม่ เหตุเพราะเรายังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้เลยว่าจุดที่ 7 คนไทยถูกจับกุมนั้นเป็นดินแดนของใครกันแน่ หากในวันข้างหน้าพิสูจน์ว่าเป็นดินแดนไทยก็เท่ากับว่าประเทศไทยได้สูญเสียอธิปไตยทางศาลไปแล้ว เพราะเท่ากับว่ากัมพูชามาจับกุมคนไทยในเขตราชอาณาจักรไทยไปขึ้นศาลกัมพูชา
แน่นอนที่สุดกรณีดังว่ายังจะเป็นการสูญเสียเอกราชทางการปกครองอีกด้วย
หลายท่านน่าจะยังจำกันได้ว่าในยุคล่าอาณานิคม สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2398 เราเจ็บปวดรวดร้าวขนาดไหน ยุคนั้นบุคคลต่างชาติที่กระทำความผิดในราชอาณาจักรไทย แต่ในการพิจารณาคดีจะกระทำโดยกงสุลและภายใต้กฎหมายที่บุคคลผู้นั้นอยู่ภายใต้บังคับ มิใช่ศาลและกฎหมายของราชอาณาจักรไทย
กรณี 7 คนไทยหากชัดเจนในวันข้างหน้าว่าเขาถูกจับกุมในดินแดนไทย แต่ถูกนำตัวขึ้นศาลกัมพูชาย่อมจะเจ็บปวดรวดร้าวพอกัน หรือยิ่งกว่าเสียอีกและหากจะคิดให้ลึกซึ้งไปอีกขั้นก็ชวนให้ตั้งคำถามว่านอกเหนือจากทำให้เราเสียศักดิ์ศรี เสียเอกราชอธิปไตยทางศาลแล้ว ใช่หรือไม่ว่ายังเป็นการล่วงละเมิดต่อพระราชอำนาจด้วยหรือไม่ !!??
ดังว่ามา...ผมเห็นว่าเป็นความจำเป็นไม่น้อยที่รัฐบาลจะต้องแสดงข้อเท็จจริงต่างๆ ออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างดีที่สุดแล้วอย่างไร ไม่ใช่เอาแต่แสดงบทใจแคบโยนความผิดให้คนชื่อ “วีระ สมความคิด” ว่าเป็นตัวการเป็นต้นเหตุ และตอนหลังๆ ก็หันมาชี้หน้าคนไทยที่เห็นต่างจากรัฐให้หุบปาก หยุดเคลื่อนไหวโดยอ้างว่าจะทำให้เราเสียเปรียบกัมพูชา หรือกัมพูชาไม่พอใจ...!!
น่าเศร้าจริงๆ ครับ..!!!!
samr_rod@hotmail.com
ครับ นั่นคือความรู้สึกของผมจริงๆ ต่อกรณี 7 คนไทยที่ถูกจับกุม
ดังนั้น ไม่ต้องถามผมว่า ผมผิดหวังกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ในการบริหารจัดการกรณีนี้หรือไม่...เต็มๆ ครับ
วันนี้ผมไม่อยากลงรายละเอียดให้น่าปวดหัว ขอคุยในภาพกว้าง....ทั้งๆ ที่พอจะพูดคุยได้บ้างเพราะอดีตชีวิตเคยทำข่าวมา 30 ปีเต็มและครึ่งหนึ่งก็ขลุกอยู่กับงานสายข่าวกองทัพ - ความมั่นคง พอจะเข้าใจในโครงสร้างพื้นที่ที่เกิดเหตุว่าเป็นอย่างไร...
ถ้ารองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง, รมว.กลาโหม, รมว.ต่างประเทศ และล่าสุด นายกรัฐมนตรีและทีมงานอีกหลายคนไม่ดาหน้าออกมายืนยันว่า 7 คนไทยถูกจับกุมในดินแดน (อธิปไตย) ของกัมพูชา หากแต่ออกมาบอกว่าถูกจับกุมในพื้นที่สีเทาหรือพื้นที่ที่ยังมีปัญหา ถึงแม้อาจจะเป็นการพูดที่ผิด แต่คงไม่ทำให้ผมและคนไทยอีกจำนวนมากรู้สึกผิดหวังมากขนาดนี้
ตอนแรกที่มีกระแสข่าวว่าคณะผู้นำไทยได้วางแผนให้ 7 คนไทยสารภาพผิดว่า “พลัดหลง” ล้ำเขตแดนโดยไม่มีเจตนาเพื่อให้ทางกัมพูชาเห็นใจหรือให้ประกันตัว ผมไม่เชื่อ...แต่มาถึงวันนี้ผมค่อนข้างเชื่อแล้วว่าอาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะทุกความเคลื่อนไหวของคณะผู้นำไทยล้วนแต่อ่อนปวกเปียก ราวกับสมเด็จฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาเป็นคุณพ่อเหนือหัว..
ศักดิ์ศรีของประเทศ ศักดิ์ศรีของคณะผู้นำไทยแทบไม่เหลือหรอ...แล้วอย่ามากล่าวหาคนไทยที่รู้สึกอย่างนี้ว่าคลั่งชาติก็แล้วกัน เพราะครึ่งค่อนประเทศก็คงจะรู้สึกแบบนี้...
ตอนนี้รัฐบาลเหลือข้ออ้างเดียวที่เป็นสูตรสำเร็จรูปในการปกป้องความปวกเปียกของตนเองก็คือ การอ้างว่าไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่างๆ ได้เพราะเป็นเรื่องความมั่นคงที่ละเอียดอ่อน...มากกว่านั้นก็คือการเดินงานข่าวในทางลับด้วยการให้ข่าวทำนองว่า หากเปิดเผยข้อมูลกันจริงๆ จะพบว่าประเทศไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชา ดังนั้นขอให้เฉยๆ ดีกว่า เรื่องของ 7 คนไทยขอให้ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม (ของกัมพูชา) และอีกไม่นานพวกเขาจะกลับมา..
เท่าที่ผมสดับตรับฟัง เรียบเรียงข้อมูลความรับรู้มาโดยลำดับแล้ว ยังเชื่อมั่นว่า 7 คนไทยถูกจับกุมในดินแดนไทย หรืออย่างเลวร้ายก็เป็นพื้นที่ที่ยังมีปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาเท่านั้น ดังนั้นการที่รัฐบาลไทยปล่อยให้กองกำลังกัมพูชามาหิ้วปีก 7 คนไทยซึ่งมี ส.ส.เพื่อนสนิทของนายกรัฐมนตรีไทยรวมอยู่ด้วย จึงเป็นการตบหน้ารัฐบาลไทย ประชาชนคนไทยอย่างรุนแรง...
ดังนั้นกรณี 7 คนไทยถูกจับกุมเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 และแม้จะได้รับประกันตัวแล้ว 6 คน เหลือเพียงวีระ สมความคิด โดยที่ทั้ง 7 คนยังถูกควบคุมตัวให้อยู่ในกัมพูชาต่อไป นอกเหนือจะเป็นการพิสูจน์แล้วว่า รัฐบาลชุดนี้อ่อนด้อยในงานด้านความมั่นคงแล้ว ยังมีอีก 2 ปมปัญหาใหญ่ที่ชวนคิดชวนคุย...
1) กรณีบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. 2543 (MOU 2543) - จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพิสูจน์ให้เห็นว่า MOU 2543 ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรใครได้รวมทั้งรัฐบาลไทย ทั้งๆ ที่ใน MOU 2543 โดยเฉพาะข้อ 8 ระบุว่า “ให้ระงับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา”
เราจะพบว่าไม่ว่า MOU 2543 จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณี 7 คนไทยหรือไม่ก็ตาม แต่เราไม่พบเลยว่ารัฐบาลมีความพยายามที่จะนำ MOU 2543 มาเป็นเครื่องมือในการเจรจากับกัมพูชา ทั้งๆ ที่ผ่านๆ มารัฐบาลชุดนี้อ้างมาเสมอว่า เพราะ MOU 2543 แท้ๆ จึงทำให้ประเทศไทยยังสามารถเจรจายับยั้งกัมพูชาในกรณีต่างๆ ได้ โดยเฉพาะกรณีนำปราสาทพระวิหารจดทะเบียนมรดกโลก
ในขณะที่กัมพูชามีแต่จะได้ประโยชน์จาก MOU 2543 โดยเฉพาะประเด็นแผนที่มาตราส่วน 1:200,000
(2) กรณีอธิปไตยทางศาล - เรื่องนี้ชวนตั้งคำถามเป็นอย่างยิ่งว่าเรากำลังจะสูญเสียอธิปไตยทางศาลหรือไม่ เหตุเพราะเรายังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้เลยว่าจุดที่ 7 คนไทยถูกจับกุมนั้นเป็นดินแดนของใครกันแน่ หากในวันข้างหน้าพิสูจน์ว่าเป็นดินแดนไทยก็เท่ากับว่าประเทศไทยได้สูญเสียอธิปไตยทางศาลไปแล้ว เพราะเท่ากับว่ากัมพูชามาจับกุมคนไทยในเขตราชอาณาจักรไทยไปขึ้นศาลกัมพูชา
แน่นอนที่สุดกรณีดังว่ายังจะเป็นการสูญเสียเอกราชทางการปกครองอีกด้วย
หลายท่านน่าจะยังจำกันได้ว่าในยุคล่าอาณานิคม สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง พ.ศ. 2398 เราเจ็บปวดรวดร้าวขนาดไหน ยุคนั้นบุคคลต่างชาติที่กระทำความผิดในราชอาณาจักรไทย แต่ในการพิจารณาคดีจะกระทำโดยกงสุลและภายใต้กฎหมายที่บุคคลผู้นั้นอยู่ภายใต้บังคับ มิใช่ศาลและกฎหมายของราชอาณาจักรไทย
กรณี 7 คนไทยหากชัดเจนในวันข้างหน้าว่าเขาถูกจับกุมในดินแดนไทย แต่ถูกนำตัวขึ้นศาลกัมพูชาย่อมจะเจ็บปวดรวดร้าวพอกัน หรือยิ่งกว่าเสียอีกและหากจะคิดให้ลึกซึ้งไปอีกขั้นก็ชวนให้ตั้งคำถามว่านอกเหนือจากทำให้เราเสียศักดิ์ศรี เสียเอกราชอธิปไตยทางศาลแล้ว ใช่หรือไม่ว่ายังเป็นการล่วงละเมิดต่อพระราชอำนาจด้วยหรือไม่ !!??
ดังว่ามา...ผมเห็นว่าเป็นความจำเป็นไม่น้อยที่รัฐบาลจะต้องแสดงข้อเท็จจริงต่างๆ ออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างดีที่สุดแล้วอย่างไร ไม่ใช่เอาแต่แสดงบทใจแคบโยนความผิดให้คนชื่อ “วีระ สมความคิด” ว่าเป็นตัวการเป็นต้นเหตุ และตอนหลังๆ ก็หันมาชี้หน้าคนไทยที่เห็นต่างจากรัฐให้หุบปาก หยุดเคลื่อนไหวโดยอ้างว่าจะทำให้เราเสียเปรียบกัมพูชา หรือกัมพูชาไม่พอใจ...!!
น่าเศร้าจริงๆ ครับ..!!!!
samr_rod@hotmail.com