xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” ย้ำเอ็มโอยู 43 สองมาตรฐาน ลั้นต้องฉีกทิ้งอย่างเดียว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
"ปานเทพ" บอก"มาร์ค" เลิกหลอกชาวบ้าน ยันมีเอ็มโอยู 43 ชาวบ้านไม่มีทางได้ที่ดินคืน วอนยกเลิกเอ็มโอยู 43 และถอนตัวจากภาคีมรดกโลก ปลดแอกทหารให้ใช้กำลังขับไล่เขมรออกไป


 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ "รวมพลังปกป้องแผ่นดิน" ปาฐกถาโดย "นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์"  

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวย้ำโดยอ้างเหตุผลสนับสนุนว่า 7 คนไทยถูกจับบนผืนแผ่นดินไทย ในรายการ "รวมพลังปกป้องแผ่นดิน" ถ่ายทอดทางสถานีเอเอสทีวี ทีวีของประชาชน จากโรงแรมโฆษะ จ.ขอนแก่น ว่า เมื่อปี ค.ศ. 2498 ตาบุญจันทร์ ได้ที่ดินทำกินที่ออกให้โดยกรมที่ดินที่คนไทยถูกจับกุม นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านยืนยันว่าสระน้ำที่ยูเอ็นขุด เคยเป็นพื้นที่ของไทย โดยมีหนังสือรับรองซึ่งมีตราครุฑอยู่บนหัว เป็นการครอบครองก่อนเกิดการอพยพเข้ามาของเขมร อย่างไรก็ดีเพื่อความมั่นใจ ตนเลยให้บุคลเหล่านี้วาดเส้นเขตแดนพื้นที่ของเขา ปรากฎว่าได้เส้นสีน้ำเงิน



นอกจากนี้ นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ ได้เขียนไว้ในรายงานว่า "ได้จัดพื้นที่บ้านหนองจานซึ่งอยู่ลึกเข้ามาในเขตไทยระหว่างเขตที่ 46และ47 ให้เขมรอพยพอาศัยอยู่ในพื้นที่ของชาวบ้านซึ่งเป็นคนไทย" เพราะฉะนั้นเราสามารถยืนยันได้ว่าบริเวณที่ 7 คนไทยถูกจับอยู่บนพื้นที่ของไทยแน่นอน

อย่างไรก็ดี หลายคนคงสงสัยว่าหลักเขตมันเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ตรงนี้มีหลักฐานจากบันทึกของ พล.อ.จรัล กุลลวนิช อดีต สนช. ระบุไว้ว่า "หลังจากแก้ไขปัญหาเขมรอพยพได้แล้ว นักธุรกิจและนายทุนเล็งเห็นผลได้ว่าแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีป่าไม้เยอะ จึงลักลอบย้ายหลักให้ลึกเข้ามสในเขตไทย เพื่อให้ป่าไม้ตรงนั้นกลายเป็นป่าของเขมร จะได้ตัดไม้สะดวก เมื่้อป่าหมดก็ไม่ได้ย้ายหลักไว้ที่เดิม" ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่

นายปานเทพ ลำดับหลักฐานเส้นเขตแดนหลักที่ 46-47 ในบริเวณค่ายอพยพหนองจาน ว่า สนธิสัญญา พ.ศ.2450 ได้มีการแบ่งเขตแดนตามสนธิสัญญา แต่ปรากฎว่าหาย ,พ.ศ.2452 สำรวจและปักหลักเขตโดยทำเป็นแท่งปูน ต่อมา พ.ศ.2498 นายบุญจันทร์ เกศทาษ ได้หนังสือรับรองการทำกิน (สค.1) พ.ศ. 2522 เขมรอพยพ ไทยร้องขอ ยูเอ็นช่วยเหลือ ,พ.ศ. 2538 -2539 ไทยทำแผนที่ L7017มีการวาดแดนที่รุกล้ำเข้ามาในเขตไทย และหลังจากนั้น พ.ศ.2548-2549 ไทยทำแผนที่ L7018 ประกฏว่ารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทยอีก เพราะความบกพร่องกรมแผนที่ทหาร การลากเส้นไม่ใช่ให้คนรุ่นหลังมาลากเส้น เราต้องยึดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ต้องดูย้อนหลังตั้งแต่ พ.ศ. 2498



นอกจากนี้นายปานเทพ ยังกล่าวถึงจุดที่ทำผิดพลาดของแผนที่ทหาร โดยยกตัวอย่างกรณีเขาพระวิหาร ที่ไทยยึดเส้นเขตแดนตามแนวขอบหน้าผาและเราได้สงวนสิทธิ์ไว้วาจะทวงคืนตัวปราสาทเขาพระวิหาร ต่อมากรมแผนที่ทหารมีการวาดแผนที่ L7017 แต่ดันไปขีดเส้นเขตแดนผิดไปจากหลักสากล ทำให้เราเสียเป้ยตานี ด้วยเหตุนี้ทำให้ข้อมูลของแผนที่ทหาร น่าจะมีความคลาดเคลื่อน เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วรัฐบาลจะอ้างตามแผนทีทหารได้อย่างไร ว่า 7 คนไทยถูกจับในพื้นที่กัมพูชา

"น่าสงสารชาวบ้านซึ่งไม่เคยรู้เลยว่า เอ็มโอยู 43 ในข้อ 5 เขียนไว้ว่า "เพื่ออำนวยความสะดวกในการสำรวจปักหลักเขตแดนทางบก...จะงดเว้นการใดๆที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพเขตแดน" ข้อสงวนตรงนี้คิดง่ายๆ หากมีเพื่อนบ้านสำมะเรเทเมาเข้ามาอยู่ในบ้านเรา แล้วบอกว่าถ้ายังตกลงกันไม่ได้จะไม่ออกจากบ้าน ดังนี้ถ้าหากเขาเจ้าเลห์ก็ทำให้การเจรจาไม่สำเร็จไปเรื่้อยๆจะได้อาศัยอยู่ตลอดชีวิต แล้วอย่างนี้จะให้ชาวบ้านได้สิทธิ์อย่างไร ในเมื่อนายกฯ บอกเองว่าจะไม่ยกเลิก เอ็มโอยู 43" นายปานเทพ กล่าว

นายปานเทพ กล่าวต่อว่าเส้นสีเหลืองรอบเขาพระวิหาร คือแนวเส้นเขตแดนสากลยึดตามแนวขอบหน้าผา แต่บริเวณนี้ถูกชาวเขมรยึดครอง โดยที่ไทยไม่ใช้กำลังผลักดัน ไม่นำตัวคนเขมรขึ้นสู่กระบวนการศาล เพราะนายกฯบอกว่าเรายังไม่เสียดินแดน เนื่องจากยังไม่มีการตกลงปักหลักเขตแดนในพื้นที่นี้ และเอ็มโอยู 43 กำหนดห้ามใช้กำลัง ตรงนี้แตกต่างจากกรณีจับ 7 คนไทย ถูกนำตัวขึ้นศาลกัมพูชาอย่างสิ้นเชิง ที่น่าเจ็บใจไปมากกว่านี้รัฐบาลยังพูดตอกย้ำไปอีกว่า 7 คนไทยรุกล้ำเขตกัมพูชา

ไทยเสียรู้ให้กัมพูชา สาเหตุที่ชาวโลกไม่เชื่อไทยต่อกรณีเอ็มโอยู 43 เพราะขณะที่กัมพูชาร้องขอจะทะเบียนปราสาทเขาวิหารเป็นมรดกโลก ได้แนบแผนที่ 1ต่อ 2แสน ซึ่งเป็นแผนที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียว กับแผนที่ที่วาดเส้นเขตแดนผิดไปจากหลักสากลวาดเส้นล้ำเข้ามาในพื้้นที่ของไทย อย่างไรก็ดีขณะนั้นศาลโลก ได้พิจารณาให้กัมพูชาได้เฉพาะตัวปราสาท แต่พอมีเอ็มโอยู 43 ทำให้กัมพูชาสามารถเลือกเอาเส้นเขตแดนที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ส่งผลให้กัมพูชาได้บรรยายคำฟ้อง ว่า เพราะประเทศไทยไม่ปฎิเสธแผนที่ 1ต่อ2 แสน ทำให้ตัวปราสาทตกเป็นของกัมพูชา แล้วบอกนานาชาติว่าไทยรุกล้ำตามแผนที่ 1ต่อ2 แสน ในเร็วๆนี้ถึงเวลาที่เขมรจะยื่นแผนจัดการบริหาร ตามเงื่อนไขของมรดกโลก จึงได้มีการถอนกำลังทหาร ชุมชนชาวเขมร ออกไปจากรอบๆเขาวิหาร แล้วนายอภิสิทธิ์ หลงดีใจออกมาพูดว่าเป็นเพราะเอ็มโอยู 43 ทำให้กัมพูชาถอนชุมชนออก ทำให้ ฮุนเซน ออกมาตอบโต้ว่า "ที่ถอนทหาร ชาวบ้านออกไปไม่ได้เกี่ยวกับเอ็มโอยู 43 แต่เป็นไปตามเงื่้นไขตามข้อเรียกร้องของคณะกรรมการมรดกโลก และไทยได้ถอนกำลังทหารแล้ว" สรุปได้ว่าขณะนี้พื้นที่รอบเขาวิหารเป็นพื้นที่สงบ เข้าเงือนไขสามารถเป็นพื้นที่จัดการได้ ทำให้เขมรเขียนไว้บนหินซึ่งเป็นจุดที่ทหารไทยเคยประจำอยู่ ว่า นี้คือจุดที่ประเทศไทยรุกล้ำกัมพูชา ตามแผนที่ 1ต่อ2แสน

กัมพูชาอาศัยแผนที่ 1ต่อ2 แสน กล่าวร้ายไทยและอ้างสิทธิ์บนเขาพระวิหาร สร้างสิ่งปลูกสร้างเชิญธงชาติเขมร นำตัวคนไทยขึ้นสู่ศาลกัมพูชา ใช้กฎหมายเขมรออกโฉนดบริเวณซึ่งเป็นพื้นที่ของไทย ตรงนี้ทำให้เห็นว่าเขมรมีแต่ได้กับได้ ไม่ว่าจะอ้างตามคำพิพากษาศาลโลกหรือสิทธิตามพฤตินัย อย่างไรก็ดีเรายังมีความหวัง คือ (1.)ต้องยกเลิกข้อผูกพัน เอ็มโอยู 43 ที่เกี่ยวกับแผนที่ 1ต่อ2เสน ทั้งหมด ( 2.)ถอนตัวออกจาภาคีมรดกโลกแล้วให้ทหารผลักดันให้เขมรออกไป หากทำได้อย่างนี้ จะทำให้ชาวบ้านได้ที่ดินคืน ในการนี้นายปานเทพ ยังได้ยกผู้เชี่ยวชาญสนับสนุนให้ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 ว่ามี ศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ปรมาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกโลก กล่าวว่า "ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และถอนตัวออกจากมรดกโลก" ,นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา กล่าวว่า " เอ็มโอยู 2543 จะทำให้ไทยเสียดินแดน เหตุผลของพันธมิตรมีน้ำหนักมากกว่า ให้ทหารผลักดันเขมรออกจากดินแดนไทย", ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ นักกฏหมายมหาชน กล่าวว่า "หากเป็นดินแดนไทย ประเทศไทยต้องแสงดอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นได้ หากทำไม่ได้ก็ย่อมไม่ใช่ดินแดนไทย" ,ร.ศ.ศรีศักร วัลลิโภคม นักวิชาการ นักโบราณคดีนักกฎหมายมนุษยวิททยา กล่าวว่า "เห็นด้วยถอนตัวจากมรดกโลกและเลิก เอ็มโอยู 2543"


นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ นักกฏหมายมหาชน
ร.ศ.ศรีศักร วัลลิโภคม นักวิชาการนักโบราณคดีนักกฎหมายมนุษยวิททยา
ศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ปรมาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น