ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เชื่อแน่ว่าคนไทยที่รักชาติและรักศักดิ์ศรีในความเป็น “ประเทศไทย” ทุกคนคงรู้สึกอเนจอนาถใจกับท่าทีของผู้นำกองทัพที่ออกมา “ฮึ่มฮั่ม!” คำรามกร้าวใส่ประชาชน-คนไทยที่ออกมาแสดงความรักชาติรักแผ่นดินในกรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น แต่พอหันหน้าไปทางเขมร, ผู้นำกองทัพ “ทหารเสือ-บูรพาพยัคฆ์” ที่องอาจดุดันดุจดั่ง “ราชสีห์คำราม” ของไทยกลับคล้ายจะกลายเป็น “แมวเหมียว” ส่งเสียงร้อง “เมี้ยวๆ” ไปในทันทีเมื่อ “นายฮุนเซน” ผู้นำเขมรออกมา “เห่า” ใส่ และทหารเขมรออกมากระทำย่ำยีศักดิ์ศรีของประเทศไทยและคนไทยครั้งแล้วครั้งเล่า
ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก!
โดยเฉพาะกรณี 7 คนไทยที่ถูกทหารเขมรจับกุมตัวขณะเดินทางไปตรวจสอบพื้นที่ที่ท้ายบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งชาวบ้านร้องเรียนว่าไร่นาของตัวเองถูกทหารเขมรบุกเข้ามายึดครองทั้งๆ ที่พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นดินแดนไทยที่มีโฉนดและเสียภาษีอย่างถูกต้อง จนถูกตั้งข้อหาเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย บางรายโดนหนักถึงขั้นถูกตั้งข้อหา “จารกรรมข้อมูล” ถูก “ขังเดี่ยว” ไว้ที่เรือนจำเปรย์ซอร์ เพื่อรอการดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้
และเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้คนจำนวนไม่น้อยคงต้องแปลกใจกับท่าทีของผู้นำกองทัพไทยที่ดูเหมือนจะเก่งแต่ด่าคนไทยด้วยกันเอง แต่กับเขมรแล้วพวกเขากลับไม่หือไม่อือ เป็นทหารบื้อใบ้กันไปหมด ไม่ตอบโต้หรือมีปากเสียงใดๆ ทั้งสิ้น แต่พอบทจะพูดอะไรออกมากลับทำ “งามหน้า” อย่าง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รมว.กลาโหม ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลทหารไทยทั้งมวล ก็ออกมายอมรับอย่างหน้าตาเฉยว่า จุดที่คนไทยถูกจับกุมอยู่ในเขตกัมพูชา ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มีการลงไปตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุด้วยซ้ำ
แน่นอน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นเพราะโกรธ เกลียด หรือมีอคติใดๆ และยิ่งไม่ใช่ต้องการยุยงส่งเสริมให้ทหารออกมาทำสงคราม เพราะไม่มีคนไทยที่รักสงบคนไหนอยากเห็นความโหดร้ายทารุณของสงคราม แต่พวกเขา (คนไทย) อยากเห็นทหารไทยออกมาพูดหรือทำ “อะไรบ้าง” ที่ดูเป็นการปกป้องเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศชาติ เมื่อมีผู้ไม่หวังดี หรือถ้าหากจะเรียนตามตรงก็คือ แม้เวลาที่ “นายฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีเขมรออกมาพูดโจมตี ให้ร้ายป้ายสี หรือกระทำย่ำยี-หยามหมิ่น และแสดงออกถึงการรุกล้ำก้ำเกินประเทศไทยและคนไทยไม่ว่าจะด้านไหนและประการใดก็ตาม พวกเขา “คนไทย” ก็อยากเห็น “ทหารไทย” ออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของ “ประเทศไทย” บ้าง
เพราะ “...ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่...” ไม่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ยังจำเพลงชาติท่อนนี้ได้หรือไม่!?
ไม่ใช่เก่งแต่ด่าและสำแดงความกราดเกรี้ยวใส่คนไทยด้วยกัน เพราะมีข้อมูลจากหลายฝ่ายยืนยันตรงกันว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขมรได้รุกล้ำและเข้ามายึดครองแผ่นดินไทยในหลายพื้นที่ โดยทหารไม่ได้ดำเนินการผลักดันออกไปแต่อย่างใด แต่กลับปล่อยให้ชาวเขมรเข้ามาสร้างบ้านเรือนตั้งเป็นชุมชนหมู่บ้านบนผืนแผ่นดินไทย จากกรณีดังกล่าวทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เหตุใดกองทัพไทยซึ่งมีแสนยานุภาพอันเกรียงไกร ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และเหล่าทหารหาญที่ชำนาญในการรบ กลับมาสยบให้กับกองทัพกัมพูชา ประเทศด้อยพัฒนาที่ไม่มีศักยภาพด้านใดที่เทียบกับไทยได้เลย ?
ถ้าไม่สงสัย ไม่เดือดร้อน เขาคงไม่สะท้อนออกมา!
เหมือนกับที่เขาสงสัย เดือดร้อน จึงสะท้อนออกมาว่า กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ปกติมีบุคลิกห้าวหาญ ยอมหักไม่ยอมงอต่อเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่กับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “เขมร” แล้วกลับไม่เห็นออกมาพูดหรือทำอะไรที่เป็นการปกป้องเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศไทย จะเห็นก็แต่อาการ “ของขึ้น” ฉุนม็อบประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ที่กล่าวหาว่าทหารเอี่ยวผลประโยชน์ชายแดนเขมร กระทั่งพล.อ.ประยุทธ์ท้าโชว์หลักฐาน และบอกว่า “อย่ากล่าวหาลอยๆ” โดยขู่ฟ่อๆ ว่าทำลายกองทัพ ระวังถูกดำเนินคดี โดยกระโดดออกมาปกป้อง “พี่ป้อม” อย่างเต็มที่ว่า เป็นคนช่วยเจรจากล่อมเขมรทุกวิถีทาง
“ยืนยันว่าไม่มีใครอยากเสียดินแดนและไม่มีทหารคนไหนจะไปได้ผลประโยชน์จากการ ป้องกันชายแดน ผมอยู่ชายแดนมาก็นาน ผู้บังคับบัญชาการทุกระดับชั้นก็เคยอยู่ชายแดน ผบ.ทบ. ทุกคนก็เคยอยู่ชายแดน แล้วมันเสียดินแดนตรงไหน ได้ผลประโยชน์ตรงไหนกัน ที่บอกว่าได้ประโยชน์ตามแนวชายแดน ระวังจะมีการดำเนินการตามกฎหมาย ถ้ามันพูดอะไรไม่มีเหตุผล ไม่มีเรื่องราวอะไรขึ้นมาจะมากล่าวอ้างอย่างนี้ไม่ได้ มันถือว่าทำลายกองทัพ
“ที่อยู่มาได้ทุกวันนี้ก็กองทัพนี่แหละที่ดูแลท่านอยู่ เสียเลือดเนื้อชีวิตไปเท่าไหร่แล้ว ทำไมไม่เห็นใจเขาบ้าง มาบอกว่าผู้บังคับบัญชามีผลประโยชน์ตรงไหน ผมไม่เห็นจะมีผลประโยชน์ตรงไหน มีแต่ปวดหัวทุกวัน คนนั้นจะเอาอย่างนี้ คนนี้จะเอาอย่างนั้น เราต้องทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันให้ได้ ทำให้ประชาชนปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าบอกว่ามีเรื่องผลประโยชน์หรือบ่อนกาสิโนก็ขอให้ไปเอาหลักฐานมา ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชาผมไปเกี่ยวข้องผมก็จะลงโทษ ไม่ใช่พูดกันลอยๆ กล่าวอ้างไปเรื่อย" พล.อ.ประยทธ์กล่าว
ทั้งนี้ ข้อข้องใจที่ 1 จากคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ที่บอกว่า “ที่อยู่มาได้ทุกวันนี้ก็กองทัพนี่แหละที่ดูแลท่านอยู่ เสียเลือดเนื้อชีวิตไปเท่าไหร่แล้ว” ก็อยากจะยกคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์เองอีกเช่นกันที่ว่า “ทหารไปกลัวไม่ได้ ถ้าเป็นทหารแล้วกลัวก็ไม่ต้องเป็น ไม่มีใครบังคับท่านมาเป็นทหาร ท่านเลือกมาเป็นเอง ฉะนั้นอย่าไปกลัว หน้าที่ทหารคือ พิทักษ์ ปกป้อง”
ใช่หรือไม่! พล.อ.ประยุทธ์คงตอบตัวเองได้ว่าหน้าที่ทหารคือ “พิทักษ์และปกป้อง” เพราะไม่มีใครบังคับให้มาเป็นทหาร
และที่ พล.อ.ประยุทธ์ท้าประชาชนว่าให้เอาหลักฐานมาพิสูจน์ในกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าทหารมีผลประโยชน์ตามแนวชายแดน ในความเป็นจริงแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ควรที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบว่ามีการฮั้วผลประโยชน์ของทหารตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาจริงหรือไม่
เพราะท่านผบ.ทบ.ก็รู้ว่าทหารเลวก็มีและทหารดีก็เยอะ ใช่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่ากองทัพต้องทำหน้าที่ในการรักษาอธิปไตยและความมั่นคงตามแนวชายแดน อีกทั้งยังต้องทำหน้าที่ในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำทางด้านการทหาร เพื่อให้เกิดการพูดคุย เจรจาทำความเข้าใจ เพื่อลดความขัดแย้งในกรณีที่จะเกิดการกระทบกระทั่ง หรือความไม่เข้าใจกัน จึงได้สร้างกลไกระดับคณะกรรมการชายแดนทั่วไปขึ้นมา อย่างน้อยก็มีความร่วมมือในเบื้องต้น และลดการใช้กำลังเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องอาณาเขต หรือการที่กำลังทหารที่อยู่ในพื้นที่รุกล้ำพื้นที่ซึ่งมีข้อพิพาทกันเรื่องดินแดน
และก็เข้าใจอีกเช่นกันว่า ในกรณีของ 7 คนไทยที่เกิดปัญหาขึ้น ผู้นำกองทัพได้พยายามใช้การประสานงานของทหารในพื้นที่กับผู้นำทหารกัมพูชาเป็นหลัก เนื่องจากมีการตกลงทางวาจาว่าในพื้นที่ที่ยังต้องรอการปักปันเขตแดน หากมีการล้ำแดนเข้ามาก็ต้องมีการพูดคุยและแก้ไขปัญหา และปล่อยตัวกลับในกรณีที่ไม่ใช่กองกำลังติดอาวุธ หรือตั้งใจรุกล้ำเข้าไปอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งข้อตกลงทางวาจาเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เมื่อทางการไทยและกัมพูชาได้เริ่มในการฟื้นสัมพันธ์และพูดคุยกันใกล้ชิดมากกว่าเมื่อก่อน
แต่ปัญหาก็คือ อำนาจการบริหารของกัมพูชารวมศูนย์อยู่ที่ “นายฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาเพียงผู้เดียว ปัญหาที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดน หรือที่ไหนก็ตามในประเทศ บัญชาของนายฮุนเซนจะมีเสียงดังมากที่สุด ปัญหาที่คิดว่าจะเคลียร์ได้ในการช่วยเหลือเบื้องต้นโดยใช้ช่องทางของทหาร จึงไม่เป็นไปอย่างที่คิด ทำให้คนไทยทั้งหมดถูกส่งไปพื้นที่ส่วนในอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นเหตุผลที่ให้กับทางผู้นำทหารของไทยว่า ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ขอเพียงรอกระบวนการตัดสินในทางศาลเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกองทัพอยู่ในระดับที่ดี แต่ในนโยบายภาพรวมของรัฐบาลในการกำหนดแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาซึ่งล่วงเลยมาถึงระดับนี้ จึงต้องใช้กลยุทธ์ทุกรูปแบบในฐานะกองทัพซึ่งเป็นกลไกของรัฐ และถือเป็นดุลอำนาจระหว่างรัฐที่สำคัญที่จะใช้เป็นแต้มต่อในการเจรจาได้อย่างดีที่สุด ในส่วนของกองทัพเองจึงอาจต้องใช้การทูตสองหน้า ทั้งการพูดคุยยอมรับในเหตุผล แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องโชว์ “เขี้ยวเล็บ” สำแดงแสนยานุภาพของกองทัพไทยให้เขาได้ประจักษ์ด้วย ไม่ว่าจะในเชิงใส่ข้อมูล หรือเชิงจิตวิทยาก็ตาม ทั้งนี้ ก็เพื่อลดความเสียเปรียบที่เกิดขึ้นจากปัญหาที่เรายังตกเป็นรอง
แต่กองทัพได้ทำหรือไม่
หรือว่าติดเงื่อนไขเรื่อง “อาวุธยุทโธปกรณ์” ที่ “ล้าหลังกว่าเขา” อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า ประเทศเพื่อนบ้านยังมีจีดีพีมากกว่าเราและได้ของฟรี คือประเทศเพื่อนบ้านเขาให้ความช่วยเหลือ ส่วนประเทศไทยเขาเห็นว่าเก่งแล้วต่างประเทศเลยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ แต่เมื่อเวลาประเทศเรามีการจัดซื้อ ก็มีการแข่งขันเข้าไป มีการแย่งกันตีกันเข้าไป จึงทำให้ซื้อยุทโธปกรณ์ไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันซื้อได้แต่ก็ซื้อไม่ได้ เมื่อซื้อยุทโธปกรณ์ไม่ได้งบประมาณก็จะต้องคืน พอคืนเสร็จ ก็จะต้องตั้งโครงการในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ใหม่อีก 5 ปีถึงจะได้ แล้วว่าอย่างนี้เมื่อไหร่เราจะไปทันประเทศอื่นเขา
“จะให้ทหารไปรบกับเขา ผมอยากถามว่าทหารไม่มีเลือดเนื้อหรืออย่างไร ฝ่ายตรงข้ามมีรถเกราะ รถถัง และมีอาวุธที่ทันสมัยกว่าเราเยอะ วันนี้เราล้าหลังกว่าเขาในเรื่องความทันสมัย หากเทียบกับจำนวนกำลังของทหารไทยก็แข็งแรง แต่ถ้าถามว่ายุทโธปกรณ์ล้าหลังกว่าเขามันจะทำอย่างไร"
ฟังผบ.ทบ.พูดแล้วสะทกสะท้อนใจ เพราะทุกคนรู้ดีว่า 4 ปีมานี้ งบประมาณของกองทัพ “จัดหนัก” มาตลอด ใช่หรือไม่ หรือว่ามัวแต่เอาไปเหมาซื้อ GT200 ยานเกราะ (ยูเครน) กับเรือเหาะที่บินไม่ได้มาใช้หมด
“...ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่...” ถ้ามันไม่สำคัญ ในเพลงชาติคงไม่มีท่อนนี้มาให้เราร้องกันทุกวันหรอก ไม่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ยังจำเพลงชาติท่อนนี้ได้หรือไม่!?