รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น.วันพฤหัสบดีที่ 20 ม.ค. โดยวันนี้ น.ส.กมลพร วรกุล รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งได้เชิญนายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ บรรณาธิการอาวุโสหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการรายวัน นายสำราญ รอดเพชร อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และนายชัชวาล ชาติสุทธิชัย อดีตคนเดือนตุลาฯ ร่วมพูดคุยในรายการ
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "เคาะข่าวริมโขง"
น.ส.กมลพรกล่าวเปิดประเด็นว่า เรื่อง 7 คนไทย ล่าสุดเหลือนายวีระ คนเดียวที่ยังอยู่ในเรือนจำ ซึ่งวันนี้นายสุนทร ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ เผยว่า นายการุณ ใสงาม นายณฐพร โตประยูร และ ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ได้เดินทางไปกัมพูชา และได้พบพูดคุยกับนายวีระและคนไทยทั้ง 6 คน ซึ่งนายวีระ นางราตรี และนางนฤมล ยืนยันจะสู้คดีต่อ โดยมอบหมายให้นายณฐพร เป็นผู้จัดหาทนายความชาวกัมพูชาและล่ามให้ ซึ่งไม่ใช่ทนายความที่ทางสถานทูตไทยในกัมพูชาจัดให้
และนายวีระได้ฝากคำพูดมาด้วยว่า ยืนยันว่าตนถูกจับบนแผ่นดินไทย ที่ต้องเข้าไปเพราะชาวบ้านร้องเรียนมาว่ามีใบสค. 1 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ UNHCR เคยใช้เป็นศูนย์อพยพชั่วคราว และนายวีระขอเสียสละให้คนไทยอีก 6 คนได้รับการประกันตัว โดยเจ้าตัวจะขอต่อสู้คดีต่อเพียงคนเดียว นอกจากนี้นายวีระยังฝากขอบคุณคนไทยทั้งประเทศที่ให้กำลังใจ และขอยืนยันว่าจะขอต่อสู้ทุกคดี ทั้งบุกรุกเขตแดน เข้าพื้นที่ทหาร และจารกรรมข้อมูล แม้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม
น.ส.กมลพรกล่าวอีกว่า ซึ่งการขอเปลี่ยนทนายเห็นทีว่าจะไม่ได้แล้ว เพราะโฆษกกระทรวงต่างประเทศ ได้เผยว่าทางสภาทนายความของกัมพูชาไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัวทนายเป็นคนไทย ดังนั้นต้องใช้ทนายชาวกัมพูชาเช่นเดิม และทางการไทยก็กังวลกันว่าตัดสินวันที่ 1 ก.พ. มันนานเกินไป
นายชัชวาลกล่าวว่า ที่รัฐบาลอยากให้ตัดสินเร็วๆเพราะอยากลดกระแสที่เราจะชุมุนมวันที่ 25 นี้ ห่วงตัวเองไม่ได้ห่วง 7 คนไทยหรอก
นายตุลย์กล่าวเสริมว่า ขอชื่นชมนายวีระที่สู้เพื่อให้เห็นว่าดินแดนเป็นของไทย เรื่องนี้มันเปรียบเทียบได้กับคนไทยที่หลงเข้าไปในพม่า แล้วถูกทหารพม่าจับ เมื่อนายอำเภอแจ้งไปก็ปล่อยตัวมา แต่เขมรนี่เอาไปขึ้นศาล จะเห็นว่าการแก้ปัญหาของรัฐบาลมันไม่ถูกที่ ทำให้เราต้องเสียอธิปไตย
นายสำราญกล่าวว่า เอาเหอะแม้หากเรายังไม่ยืนยันว่าตรงนั้นเป็นดินแดนไทย แต่ก็ไม่ใช่ของเขมรด้วย แต่รัฐบาลไม่พูดแบบนั้นด้วย นี่คือประเด็นใหญ่ คุณควรพูดว่าเป็นพื้นที่สีเทายังตกลงกันไม่ได้ว่าเป็นของใคร ไม่ใช่ออกมาพูดเลยว่าเราล้ำแดน ซึ่งบทความของนายภุมรัตน์ ทักษาดิพงศ์ อดีตผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ก็บอกว่าถ้าคนธรรมดาอย่างเราพูดไม่เท่าไหร่ แต่นี่รองนายกฯพูด รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และนายกฯ ก็พูดด้วย หลังสุดก็ยังส่งลิ้วล้อมาเถียงกับเราอีก
ทีนี้พอศาลเขมรบอกว่าจะตัดสิน 1 ก.พ. ซึ่งผลจะออกมาอย่างไรอาจจะต้องผิดจริง ต้องติดคุก จะทำอย่างไร ก็ต้องอุทธรณ์ หรือไม่ก็ขออภัยโทษ รัฐบาลเลยเจอโจทย์ที่ต้องให้แก้เยอะ แต่ก็ถูกล่ามโซ่ไว้ด้วยคำพูดของรัฐบาลเอง ที่พูดว่าคนไทยถูกจับในเขมร ถ้ากลับคำพูดตอนแรกๆไม่เสียฟอร์มหรอก แต่นี่ดื้อรั้น จนตอนนี้กลับไม่ได้แล้วต้องเดินหน้าอย่างเดียว แล้วก็มาด่าว่าคนไทยอย่าทะเลาะกัน คงกลัวเขมรไม่รัก
นายชัชวาลกล่าวว่า นายภุมรัตน์ ได้บอกว่านายกฯ รองนายกฯ รมว.ต่างประเทศ รีบออกมาพูดหลังเกิดเหตุเพียง 2-3 วัน ยอมรับว่าคนไทยทั้ง 7 คน บุกรุกเข้าไปในแผ่นดินเขมรจริง แต่ข้อเท็จจริงจุดที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่พิพาท ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่ผู้นำไทยกลับรีบร้อนสรุปในเชิงที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบทันทีทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
หากนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ นายกษิต เป็นประชาชนธรรมดาพูดก็ไม่เกิดผลกระทบมากมาย แต่นี่เท่ากับพูดในนามของประเทศไทยและผูกมัดประเทศ สิ่งที่พูดไปนั้นคงทำให้ฝ่ายเขมรเก็บเป็นข้อมูลไว้เรียบร้อยแล้วสำหรับใช้เป็นหลักฐานในการต่อสู้ในอนาคต
โดยทั่วไปเขาจะให้รัฐมนตรีพูดก่อน ส่วนนายกรัฐมนตรีนั้นจะพูดเป็นคนสุดท้าย เพราะเมื่อนายกรัฐมนตรีพูดก็หมายถึงทุกอย่างจบ นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องออกมาพูดเป็นรายวัน จริงอยู่ ผู้สื่อข่าวพยายามถามนายกรัฐมนตรีได้ทุกวันเพื่อหาข่าวส่งเข้ากอง บก. เพราะนั่นคือ “เบรด แอนด์ บัตเตอร์” ของผู้สื่อข่าว แต่นายกรัฐมนตรีก็ไม่จำเป็นต้องตอบทุกคำถามที่ผู้สื่อข่าวถาม
ขนาดผู้นำประเทศอภิมหาอำนาจยังไม่ค่อยออกมาพูด เขาจะพูดเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น แม้แต่นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ที่เดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ บ่อยมาก ก็ไม่ได้ให้สัมภาษณ์รายวัน เธอจะพูดเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
ยิ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “อธิปไตยเหนือดินแดน” ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่อาจประนีประนอมกันได้ เพราะเป็น “ผลประโยชน์สำคัญยิ่งของชาติ” คำพูดที่หลุดจากปาก หากไม่ระมัดระวังอาจเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับมาได้ ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองเสียหาย
สำหรับ คุณวีระ สมความคิด และพวก ควรยืนหยัดต่อสู้คดีอย่างถึงที่สุดตามที่ประกาศไว้ โดยยืนยันว่า เขาเข้าใจโดยสุจริตใจว่าพื้นที่ที่เขามาสำรวจนั้น เป็นพื้นที่ของประเทศไทย ไม่ใช่พื้นที่ของกัมพูชา เมื่อเข้าใจเช่นนั้น เขาเองจึงเดินเข้ามาดูและถูกเจ้าหน้าที่เขมรจับกุม คุณวีระและพวกต้องต่อสู้คดีในแนวทางนี้แม้จะต้องติดคุกก็ตาม ซึ่งเท่ากับไม่ยอมรับอธิปไตยของกัมพูชาเหนือดินแดนดังกล่าว และเป็นการช่วยประเทศจากการที่รัฐบาลไทยพลาดไปแล้ว
หลายคนขัดหูขัดตามาก ที่ได้เห็นรัฐมนตรีของเราคนหนึ่งซึ่งเดินทางไปประชุมที่กัมพูชาก้มลงไหว้ ฮุนเซน อย่างนอบน้อม จนหัวแทบชนเป้ากางเกงของฮุนเซน ก่อนจะจับมือกับผู้นำเขมร ยังดีที่ฮุนเซนไม่เอามือลูบหัวรัฐมนตรีของเราด้วย การนอบน้อมถ่อมตนถือว่าเป็นคุณสมบัติของคนไทยที่รู้กันทั่วโลก แต่เขากำลังลืมไปว่า ตัวเองเป็นตัวแทนของประเทศไทยที่ต้องมี “เกียรติและศักดิ์ศรี” ไม่จำเป็นต้องก้มหัวไหว้ฮุนเซน (หรือผู้นำต่างชาติคนอื่น) ถึงขนาดนั้นก็ได้
นายชัชวาลกล่าวอีกว่า ตนอยากฝากให้รัฐบาลอ่านบทความของคุณภุมรัตน์ เป็นบทความที่มีคุณค่ามาก
นายสำราญกล่าวเสริมว่า ถ้าวันนึงข้างหน้าพิสูจน์ได้ว่าเป็นดินแดนไทยเท่ากับว่าเราสูญเสียอธิปไตยทันที เสียอธิปไตยทางดินแดนก็ว่าแย่แล้ว แต่นี่เสียอธิปไตยทางศาลด้วย
นายตุลย์กล่าวว่า วันนี้ศักดิ์ศรีประเทศไทยไปไหนหมด หรือตกเป็นประเทศราชของเขมร ถึงต้องให้ไปขึ้นศาลเขมร
นายสำราญกล่าวว่า คุณภุมรัตน์พูดถูก อยากให้สื่อและแฟนคลับนายกฯ ว่าอย่ามองแค่สั้นๆ ไม่มองแค่ผลกระทบในปัจจุบัน แต่ต้องมองไปข้างหน้าด้วย