ASTVผู้จัดการรายวัน- “พนิช” ยันไม่ได้สารภาพศาลเขมรรุกล้ำดินแดน ระบุลงพื้นที่ด้วยใจบริสุทธิ์ไม่มีใครหลอก ด้านสื่อท้องถิ่นแฉ “ฮุนเซน” สั่งทำป้ายด่าคนไทยล้ำเขตแดน พันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์จับผิด “อภิสิทธิ์” บิดเบือนข้อมูล 7 คนไทยโดนเขมรจับ ยันบ่อน้ำยูเอ็นหลักฐานสำคัญ ก๊วนคนไทยโดนจับในแผ่นดินตัวเอง "มาร์ค"โยน ผบ.ทบ.เคลียร์เขมรต้องรื้อ ด้านผบ.ทบ. เผย "ประวิตร" เจรจา "เตีย บันห์" ให้ถอนป้ายประณามไทยแล้ว แย้ม 1-2 วันมีข่าวดี
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ ( 24 ม.ค.) ที่โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท 49 ได้มีการแถลงข่าว โดยคณะแพทย์ผู้ให้การ รักษา นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่เข้ารักษาตัว เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 22 ม.ค. ที่ผ่านมา ด้วยอาการอ่อนเพลีย คันตามร่างกายจากการถูกแมลงสาบ และตัวเลือดกัดตามตัว รวมถึงอาการมีไข้ และอาการถ่ายเหลวร่วมด้วย ทั้งนี้นายพนิช ได้แถลงข่าวในชุดของโรงพยาบาล พร้อมด้วยผ้าคลุม แต่มีสีหน้ายิ้มแย้ม ว่า พวกเราทั้ง 7 คน ซาบซึ้งที่สื่อมวลชนให้ความเป็นห่วงในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตนต้องขอเป็นตัวแทนกลุ่ม ขอบคุณรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชากาทหารบก (ผบ.ทบ.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และข้าราชการทุกคนที่สถานทูตไทยประจำประเทศกัมพูชา ที่ทำงานหนักมาก แม้ว่าวันนี้ยังเหลืออีก 2 คนที่ยังถูกคุมขังอยู่ แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะทำทุกวิถีทางให้กลับมาประเทศไทยโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ ตนยังไม่ได้กลับบ้านเลยตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน เพราะเดินทางมาโรงพยาบาลทันที เพราะคิดว่าตัวเองคงมีอาการบางอย่างที่ต้องให้แพทย์ตรวจ เพราะสิ่งที่ได้สัมผัสในเรือนจำเปรซอว์ เป็นสิ่งที่เป็นพิษ และเราเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะที่ถูกคุมตัวในเรือนจำ ก็มีสัตว์หลายประเภท
**ลงพื้นที่ด้วยเจตนาบริสุทธิ์
นายพนิช กล่าวต่อว่า พวกเราทั้ง 7 คนได้ร่วมเดินทางไปในพื้นที่ด้วยเจตนาอย่างเดียวคือ ความบริสุทธิ์ใจหลังจากที่มีประชาชนร้องเรียน และทราบถึงปัญหาของประชาชน ตนในฐานะส.ส. ก็ต้องลงไปดูในพื้นที่ให้เห็นกับตาตัวเอง นี่คือเจตนาของเราที่บริสุทธิ์ แต่สถานะของแต่ละคนในคณะ อาจแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในฐานะที่ตนเคยทำงานกระทรวงการต่างประเทศ ปัญหาที่จะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะให้เกิดขึ้น ซึ่งตนไม่คิดว่าสถานการณ์จะบานปลาย
** ยันให้การปฏิเสธต่อศาลเขมร
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในจุดที่ถูกจับได้ยืนยันหรือไม่ว่า เราไปรุกล้ำ อย่างไร นายพนิช กล่าวว่า ตนปฏิเสธอยู่แล้ว ณ วันที่ตนถูกจับ รวมทั้งวันที่ไปขึ้นศาล ตนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาอยู่แล้ว เพราะตนเข้าใจเสมอว่า ที่เข้าไปเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีข้อยุติ อยู่ในขั้นเจรจา และจริงๆ แล้วไม่ควรมีใครเข้าไปอยู่ แต่เมื่อออกมาแล้ว และทราบข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศ และนายกฯ เราเองก็เคารพข้อมูลที่รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศมี ตนยืนยันว่า ที่ให้การในศาลได้ตอบชัดเจน แต่ข่าวที่ออกมาว่า ตนยอมรับนั้นไม่จริง ตนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ถึงวันนี้ยังยืนยันว่าเป็นพื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทอยู่
***ระบุเคารพ “วีระ-ราตรี” สู้คดีเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า คำให้การของนายพนิช เหมือนกับนายวีระ และนางราตรี หรือไม่ ในเรื่องการรุกล้ำเขตแดน นายพนิช กล่าวว่า ตนเชื่อว่า คำให้การของตนชัดเจนว่า ตอนที่ถูกจับ ตนยังเชื่อว่าอยู่ในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทกันอยู่ โดยยังตกลงกันไม่ได้ ดังนั้น แนวทางการสู้คดีของเรากับนายวีระ ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ของนายวีระ อาจจะต่างกัน เพราะเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง เพราะเขาอ้างว่าไปโจรกรรมข้อมูลในพื้นที่ทางการของกัมพูชาด้วย ดังนั้น เราเองก็เคารพในการตัดสินใจในการสู้คดีของนายวีระ และนางราตรี แต่ตนเชื่อว่าศาลกัมพูชา พิพากษาก็เป็นเรื่องของตัวบุคคล ซึ่งคงไม่เกี่ยวข้องและผูกพันกับรัฐบาล และเขาก็คงนำไปอ้างไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวบุคคล
เมื่อถามว่า เป็นห่วงคนไทยอีก 2 คน ที่ยังไม่รับการปล่อยตัวหรือไม่ นายพนิช กล่าวว่า ก็เป็นห่วง เพราะได้มีโอกาสเจอ นางราตรี 4-5 วันก่อนที่ตนจะกลับมา อย่างไรก็ตาม เราเองก็ต้องเชื่อว่า รัฐบาลต้องทำทุกทางที่จะช่วยให้กลับมาได้ แต่วันนี้นายวีระ เองอาจไม่ได้รับข้อมูลทั้งมด จึงเป็นห่วงเรื่องข้อมูลที่นายวีระได้รับเพื่อจะมาสู้คดี แต่ก็ได้รับการยืนยันจากนายกฯ ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวออกมาจากเรือนจำว่า รัฐบาลจะช่วยทั้ง 7 คนให้กลับมาโดยเร็วที่สุด อยากให้คนที่มีโอกาสเจอนายวีระ และนางราตรี ได้ไปยืนยันด้วย การต่อสู้ก็เป็นสิทธิของแต่ละคนรัฐบาลไปก้าวก่ายการต่อสู้ของคดีไม่ได้
**สื่อกัมพูชาตีข่าวป้าย "ไทยรุกรานเขมร"
แหล่งข่าวตามแนวชายแดนด้านเขาพระวิหาร ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เปิดเผยว่า สื่อของกัมพูชาได้นำเสนอข่าวที่ไปที่มาของป้ายหิน ที่สลักตัวอักษรกัมพูชาแปลตามตัวได้ว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไทยรุกราน เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2553 แล้วถอนกำลังออกไปคืนเมื่อเวลา 10.30 น. เช้าวันที่ 1 ธ.ค. 2553 ” ซึ่งกำลังเป็นประเด็นข่าวใหญ่ของไทยในขณะนี้
สื่อฉบับเดียวกันระบุต่อว่าแผ่นป้ายนี้เป็น ท่านซอ ทาวี รองผวจ.พระวิหาร ประจำพื้นที่ปราสาทพระวิหาร เป็นผู้นำในการก่อสร้าง เมื่อบ่ายวันที่ 8 ม.ค.54 ที่ผ่านมา และกล่าวว่า สัญลักษณ์ที่สร้างขึ้นบนแผ่นหินใหญ่กลางบริเวณวัดแก้ว ฯ ที่แกะสลักตัวอักษรใจความว่า “ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไทยรุกราน” นั้น มีการอนุญาตจากประมุขผู้นำแห่งรัฐบาลกัมพูชา และมีการเห็นชอบจาก ผบ.สมรภูมิด้าน ภท.4 และ ผบ.สมรภูมิทิศที่ 1 ปราสาทพระวิหาร แม้สัญลักษณ์นี้สร้างเสร็จแล้ว ก็ยังคงเหลือแต่ทำรั้วกั้นล้อมรอบเท่านั้น
***โฆษกพันธมิตรแถลงจับโกหก “มาร์ค”
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อ่านแถลงการณ์พันธมิตรฯ ตอบโต้กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาชี้แจงข้อมูล 7 คนไทยถูกกัมพูชาจับกุมตัวและพิพากษาความผิดว่า ตามที่นายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรณี 7 คนไทยถูกจับกุมและปล่อยให้ศาลกัมพูชาพิพากษาความผิด ทางพันธมิตรฯ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่า บริเวณดังกล่าวเป็นค่ายอพยพที่ทางการไทยให้ชาวกัมพูชาที่หลบหนีสงครามภายในมาใช้พักพิงอาศัยชั่วคราว ดังนั้นจึงมีล้อมรั้วเลยเข้ามาในเขตแดนไทย มีจุดสังเกตอยู่ที่สระน้ำยูเอ็น ซึ่งยืนยันได้ว่าบริเวณดังกล่าวยังเป็นของไทย ดังนั้น การที่ 7 คนไทยเดินไปยังไม่ถึงสระน้ำยูเอ็น จึงถือว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นรัฐบาลไทยไม่เคยชี้แจงประเด็นเหล่านี้เพื่อโต้แย้งกัมพูชา
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ พันธมิตรฯ ยังตรวจสอบเอกสารสิทธิ พบว่า 7 คนไทยถูกจับในดินแดนตนเอง เนื่องจากชาวบ้านที่เป็นเจ้าของที่ดิน และเสียที่ดินทำกินให้แก่กัมพูชา ได้ออกมาระบุว่า หลังจากกัมพูชาอพยพมาพักอาศัยในที่ดินผืนดังกล่าว ชาวบ้านก็เข้าไปทำมาหากินไม่ได้ ซึ่งการชี้แจงของนายอภิสิทธิ์เมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่ได้ตรงต่อข้อเท็จจริง และการกระทำดังกล่าวทำให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน มีโทษทางอาญาสูงสุดคือประหาร หรือจำคุกตลอดชีวิต รวมทั้งอาจทำให้ไทยเสียดินแดนดังกล่าวให้แก่กัมพูชา อีกทั้งยังมีการพบว่า หลักเขตแดนบริเวณที่เกิดเหตุมีการเคลื่อนย้ายอยู่บ่อยครั้ง แต่ทั้งนี้เรามีกรรมสิทธิ์ของชาวบ้านยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของคนไทย แต่นายกฯ ไม่มีมาตรการตอบโต้หรือกดดันใดๆ ที่เป็นรูปธรรมกับกัมพูชา ทั้งนี้ เพื่อให้กัมพูชาหยุดใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลเหนือแผ่นดินไทย
“ประการสำคัญ คือ ท่าทีของรัฐบาลไทยทำให้ไทยเสียดินแดนช่วงหลักเขตแดนที่ 46-47 ให้แก่กัมพูชาไปโดยปริยาย ทั้งที่ชาวบ้านที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่สามารถเข้าไปทำกินยังดินแดนของตนเองได้ และทำให้คนเขมรที่ยืดพื้นที่ดังกล่าวสามารถขยายอาณาเขตหมู่บ้านได้ออกไปไม่มีกำหนดที่ชัดเจน” นายปานเทพกล่าว
***"เทือก"หงุดหงิด ทำไมต้องใจร้อน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่กัมพูชา ตั้งป้ายประจานไทยรุกรานดินแดนกัมพูชา ที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ โดยมีรายงานข่าวว่า ผบ.ทบ. เป็นคนสั่งให้ถอนทหารไทยลงจากพื้นที่ จนทำให้สมเด็จฮุนเซน กลับมาญาติดีกับเรา เป็นความจริงหรือไม่ว่า เรื่องของพื้นที่ชายแดน ที่มีทหารของแต่ละฝ่ายตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทางทหาร เราคงไม่เอามาพูดคุยกันมาก แต่ตนได้ติดตามสถานการณ์และพูดคุยกับบรรดาผู้บังคับบัญชาทางทหารอยู่ตลอดเวลา เราพร้อมที่จะดูแลปกป้องอธิปไตยของประเทศ ไม่เสียเปรียบแน่
เมื่อถามว่าทหารกัมพูชาในพื้นที่ยืนยันจะไม่รื้อทำลายป้ายดังกล่าว หากไม่ได้รับคำสั่งจากฮุนเซน นายสุเทพ กล่าวว่า ดูกันไปก่อน ทำไมต้องใจร้อนนัก การที่ฝ่ายไทยถอนกำลังลงมานั้น พื้นที่ ดังกล่าวเป็นพื้นที่ยาว แต่เฉพาะจุดที่อยู่บริเวณรอบๆ ปราสาทพระวิหาร แต่ละฝ่ายก็พยายามที่จะไม่ให้เกิดความตึงเครียดในลักษณะของการเผชิญหน้ากันอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุต้องปะทะสูญเสียกันได้ แต่พื้นที่ตรงนั้นก็จะไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปยึดครอง เพราะยังต้องเจรจาพิสูจน์สิทธิกันอยู่
**"มาร์ค"โยนผบ.ทบ.จัดการเขมรปักป้าย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ทหารกัมพูชายังไม่ถอนป้ายกล่าวหาไทยว่ารุกล้ำดินแดนบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ด้านทิศตะวันตกของประสาทพระวิหารว่า ฝ่ายการเมืองได้มอบหมายให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ดำเนินการประสานกับกัมพูชา เพื่อให้รื้อถอนป้ายดังกล่าวแล้ว และขอให้เป็นเรื่องของผบ.ทบ. ให้ไปถามผบ.ทบ.ดู
**"ประวิตร" เจรจา "เตีย บันห์"ให้ถอนป้าย
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีการดำเนินการให้ประเทศกัมพูชา ถอนป้ายประณามไทยรุกล้ำเขตแดนว่า กำลังดำเนินการอยู่
เมื่อถามว่าจำเป็นต้องมีการพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่เป็นไร ตนกำลังดำเนินการอยู่ เมื่อถามว่าจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ทุกอย่างแก้ไขได้ และเราก็แก้ไขกันมาโดยตลอด
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีต้องการให้ทหารชี้แจง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใช่ ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ดูแลอยู่ ไม่เป็นไร
**ชี้ปัญหาชายแดนเรื่องละเอียดอ่อน
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า ทหารทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็มีความกดดันด้วยกันทั้งคู่ ตนจะไม่พูดว่าต้องทำอะไร อย่างไร กับใคร แต่ขณะนี้ทางกองทัพบก ได้เรียนให้รมว.กลาโหมทราบแล้ว และทั้ง 2 ฝ่าย ต้องเจรจากัน ซึ่งการเจรจาไม่ใช่การขอร้อง เพียงแต่ขอให้เห็นแก่ความสัมพันธไมตรีที่มีต่อกัน ซึ่งแนวโน้มไปในทางที่ดี ขอให้ใจเย็นๆ และ ก็รอ
เมื่อถามว่า การพูดคุยในระดับ รมว.กลาโหม ของทั้ง 2 ประเทศ น่าจะจบลง ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการพูดคุยระหว่าง ผบ.ทบ. ของทั้ง 2 ฝ่าย ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เราต้องพูดกันหมด แต่อย่าไปหาว่าใครปักก่อน ปักหลัง เอาเป็นว่าทำอย่างไรไม่ให้มีการปักก็แล้วกัน และสิ่งที่จะต้องอยู่ให้ได้ในวันนี้คือทำอย่างไรไม่ให้มีการทะเลาะกัน และจะไม่ทำให้ประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่เดือดร้อน เพราะเรามีการค้าขายกันไปมา เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปพิสูจน์ทราบอะไรต่าง ๆ ก็ขอให้เป็นเรื่องกลไกลทางกฎหมายที่มีอยู่เดิม ถ้าเราไม่ใช้กลไกลทางกฎหมาย ใช้ความรู้สึกกันเอง
**ยันจะมีข่าวดีใน 1-2 วันนี้
เมื่อถามว่า ท่านเคยระบุว่า ปัญหาไทย-กัมพูชา จะไม่จบและจะต้องมีปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กองทัพต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดนี้ หรือชุดไหนในอดีตเขามีการพัฒนามาตามลำดับ ให้ไปทบทวนดูว่า มีกี่รัฐบาล และการที่รัฐบาลดำเนินการแก้ปัญหามาโดยตามลำดับนั้น ท้ายสุดแล้วก็มาอยู่ที่ MOU ปี 43 ทหารก็ต้องทำตามกรอบของการพัฒนา ไม่ใช่ว่าทหารจะไปทำอะไรใครก็ได้ ตรงไหนที่มีความชัดเจนของเส้นเขตแดน ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าตรงไหนที่ปัญหาในเส้นเขตแดน ต้องระบุว่ามีตรงบ้าง และจะมีสัญญาในการดูแลกันว่า ถ้าจับได้ตรงนี้ ต้องปล่อยตัว ถ้าเลยตรงนี้ไม่ได้ แต่ถ้าตรงไหนที่ไม่มีการปักปัน แต่มาถือว่าปักปันไปแล้ว อันนี้ที่เป็นสาเหตุให้ทหารมีการปะทะกันมาตลอด ถือเป็นเครื่องหมายให้คนยิงกัน ถ้าไม่วางอาวุธ จึงอยากให้เข้าใจตรงนี้
เมื่อถามว่า การเจราจาดำเนินการให้กัมพูชาถอนป้าย มีความคืบหน้ามากน้อยเพียงใด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขารับเรื่องไปแล้ว เขาบอกว่ากำลังพูดคุยกันอยู่ และจะทำให้เราเร็วที่สุด ซึ่งอาจจะมีข่าวดี 1 - 2 วันนี้ และไม่ต้องมาถามตนบ่อย พูดกันแล้วรับหลักการแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด และถ้าไม่เอาป้ายออก จะเกิดอะไรขึ้นนั้น ก็ต้องว่ากันต่อไป และรัฐบาลจะต้องมีมาตรการอื่นๆ ตามมา
" เรื่องทั้งหมดไม่ใช่เพราะไอ้ป้ายอันเดียวตัวนี้ และป้ายอันนี้ก็ไม่ใช่ตัวพิสูจน์ว่าถ้าคุณปักป้ายแล้วเป็นเขตของคุณ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณจะรับได้หรือไม่ มันก็ไม่ได้ แล้วถ้าผมไปปักป้ายตรงไหน นี่ก็เป็นเขตของผมซิ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของความเข้าใจซึ่งกันและกัน มันอาจจะเป็นการสร้างความกดดัน เพราะฉะนั้นเราอย่าไปตื่นเต้นกับมันมาก ซึ่งทุกพื้นที่ตามแนวชายแดน เรามีกติกาทั้งสิ้น คณะกรรมธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (JBC) ถ้าตกลงกันไม่ได้ มันก็ไม่เป็นของใครทั้งสิ้น" ผบ.ทบ. กล่าว
** ผบ.ทบ.กร้าวอย่ากดดันกองทัพ
"ไม่ใช่ว่าผมไม่รักประเทศ ถ้าผมไม่รักจะเป็นอย่างไร ทหารไม่รักประเทศชาติ จะเป็นทหารได้อย่างไร ผมอยากจะรู้นัก ใครอยากจะพูดอะไรต่างๆ ก็ตาม ให้กลับไปคิด และทบทวนดูซิ ว่าอะไรควรพูด ไม่ควรพูด ไอ้ที่ทหารไม่พูดเพราะพูดไปแล้วจะทำให้เกิดความเพลี่ยงพล้ำ ในการเจรจาพูดคุย มีอะไรต้องมาพูดกันหมดเลยหรือ ซึ่งมันไม่ใช่ รมว.กลาโหมก็ทำเต็มที่ กองทัพก็ทำเต็มที่ แล้วท่านมาบอกว่า กองทัพบกกลัวใคร ทำไมไม่ทำ มีผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า ท่านเอาอะไรมากล่าวอ้าง ผมไม่รู้ กองทัพไม่เคยกลัวใคร ซึ่งผมไม่อยากจะพูดคำนี้ แต่ผมเป็น ผบ.ทบ.ทหารบกทั้งกองทัพ มีจำนวน 2 แสนกว่าคน เขาก็ดูอยู่ว่าผมปกป้องศักดิ์ศรีของเขาหรือเปล่า ผมก็ต้องปกป้องเขา เพราะผมรู้ว่า ลูกน้องผม เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาสูญเสียอะไรต่างๆ มามากมาย ลูกเมียเดือดร้อน ผมพูดไปก็จะหาว่ากองทัพบกทวงบุญคุณอีก และผมจะพูดอะไรได้ ผมต้องปล่อยให้ด่าอยู่ข้างเดียวหรือไง กองทัพถูกด่าข้างเดียวไม่ถูก ผมว่าไม่เป็นธรรม ท่านต้องช่วยกองทัพ วันนี้ถ้าท่านไม่มีกองทัพ ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีทหาร ไม่มีคนทำงาน และท่านจะอยู่อย่างไร ท่านไปถามตัวของท่านเองก็แล้วกัน" ผบ.ทบ. กล่าว
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ ( 24 ม.ค.) ที่โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท 49 ได้มีการแถลงข่าว โดยคณะแพทย์ผู้ให้การ รักษา นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่เข้ารักษาตัว เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 22 ม.ค. ที่ผ่านมา ด้วยอาการอ่อนเพลีย คันตามร่างกายจากการถูกแมลงสาบ และตัวเลือดกัดตามตัว รวมถึงอาการมีไข้ และอาการถ่ายเหลวร่วมด้วย ทั้งนี้นายพนิช ได้แถลงข่าวในชุดของโรงพยาบาล พร้อมด้วยผ้าคลุม แต่มีสีหน้ายิ้มแย้ม ว่า พวกเราทั้ง 7 คน ซาบซึ้งที่สื่อมวลชนให้ความเป็นห่วงในช่วงเดือนที่ผ่านมา ตนต้องขอเป็นตัวแทนกลุ่ม ขอบคุณรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชากาทหารบก (ผบ.ทบ.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และข้าราชการทุกคนที่สถานทูตไทยประจำประเทศกัมพูชา ที่ทำงานหนักมาก แม้ว่าวันนี้ยังเหลืออีก 2 คนที่ยังถูกคุมขังอยู่ แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะทำทุกวิถีทางให้กลับมาประเทศไทยโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ ตนยังไม่ได้กลับบ้านเลยตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน เพราะเดินทางมาโรงพยาบาลทันที เพราะคิดว่าตัวเองคงมีอาการบางอย่างที่ต้องให้แพทย์ตรวจ เพราะสิ่งที่ได้สัมผัสในเรือนจำเปรซอว์ เป็นสิ่งที่เป็นพิษ และเราเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะที่ถูกคุมตัวในเรือนจำ ก็มีสัตว์หลายประเภท
**ลงพื้นที่ด้วยเจตนาบริสุทธิ์
นายพนิช กล่าวต่อว่า พวกเราทั้ง 7 คนได้ร่วมเดินทางไปในพื้นที่ด้วยเจตนาอย่างเดียวคือ ความบริสุทธิ์ใจหลังจากที่มีประชาชนร้องเรียน และทราบถึงปัญหาของประชาชน ตนในฐานะส.ส. ก็ต้องลงไปดูในพื้นที่ให้เห็นกับตาตัวเอง นี่คือเจตนาของเราที่บริสุทธิ์ แต่สถานะของแต่ละคนในคณะ อาจแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในฐานะที่ตนเคยทำงานกระทรวงการต่างประเทศ ปัญหาที่จะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะให้เกิดขึ้น ซึ่งตนไม่คิดว่าสถานการณ์จะบานปลาย
** ยันให้การปฏิเสธต่อศาลเขมร
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในจุดที่ถูกจับได้ยืนยันหรือไม่ว่า เราไปรุกล้ำ อย่างไร นายพนิช กล่าวว่า ตนปฏิเสธอยู่แล้ว ณ วันที่ตนถูกจับ รวมทั้งวันที่ไปขึ้นศาล ตนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาอยู่แล้ว เพราะตนเข้าใจเสมอว่า ที่เข้าไปเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีข้อยุติ อยู่ในขั้นเจรจา และจริงๆ แล้วไม่ควรมีใครเข้าไปอยู่ แต่เมื่อออกมาแล้ว และทราบข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศ และนายกฯ เราเองก็เคารพข้อมูลที่รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศมี ตนยืนยันว่า ที่ให้การในศาลได้ตอบชัดเจน แต่ข่าวที่ออกมาว่า ตนยอมรับนั้นไม่จริง ตนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ถึงวันนี้ยังยืนยันว่าเป็นพื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทอยู่
***ระบุเคารพ “วีระ-ราตรี” สู้คดีเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า คำให้การของนายพนิช เหมือนกับนายวีระ และนางราตรี หรือไม่ ในเรื่องการรุกล้ำเขตแดน นายพนิช กล่าวว่า ตนเชื่อว่า คำให้การของตนชัดเจนว่า ตอนที่ถูกจับ ตนยังเชื่อว่าอยู่ในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทกันอยู่ โดยยังตกลงกันไม่ได้ ดังนั้น แนวทางการสู้คดีของเรากับนายวีระ ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ของนายวีระ อาจจะต่างกัน เพราะเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง เพราะเขาอ้างว่าไปโจรกรรมข้อมูลในพื้นที่ทางการของกัมพูชาด้วย ดังนั้น เราเองก็เคารพในการตัดสินใจในการสู้คดีของนายวีระ และนางราตรี แต่ตนเชื่อว่าศาลกัมพูชา พิพากษาก็เป็นเรื่องของตัวบุคคล ซึ่งคงไม่เกี่ยวข้องและผูกพันกับรัฐบาล และเขาก็คงนำไปอ้างไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวบุคคล
เมื่อถามว่า เป็นห่วงคนไทยอีก 2 คน ที่ยังไม่รับการปล่อยตัวหรือไม่ นายพนิช กล่าวว่า ก็เป็นห่วง เพราะได้มีโอกาสเจอ นางราตรี 4-5 วันก่อนที่ตนจะกลับมา อย่างไรก็ตาม เราเองก็ต้องเชื่อว่า รัฐบาลต้องทำทุกทางที่จะช่วยให้กลับมาได้ แต่วันนี้นายวีระ เองอาจไม่ได้รับข้อมูลทั้งมด จึงเป็นห่วงเรื่องข้อมูลที่นายวีระได้รับเพื่อจะมาสู้คดี แต่ก็ได้รับการยืนยันจากนายกฯ ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวออกมาจากเรือนจำว่า รัฐบาลจะช่วยทั้ง 7 คนให้กลับมาโดยเร็วที่สุด อยากให้คนที่มีโอกาสเจอนายวีระ และนางราตรี ได้ไปยืนยันด้วย การต่อสู้ก็เป็นสิทธิของแต่ละคนรัฐบาลไปก้าวก่ายการต่อสู้ของคดีไม่ได้
**สื่อกัมพูชาตีข่าวป้าย "ไทยรุกรานเขมร"
แหล่งข่าวตามแนวชายแดนด้านเขาพระวิหาร ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เปิดเผยว่า สื่อของกัมพูชาได้นำเสนอข่าวที่ไปที่มาของป้ายหิน ที่สลักตัวอักษรกัมพูชาแปลตามตัวได้ว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไทยรุกราน เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2553 แล้วถอนกำลังออกไปคืนเมื่อเวลา 10.30 น. เช้าวันที่ 1 ธ.ค. 2553 ” ซึ่งกำลังเป็นประเด็นข่าวใหญ่ของไทยในขณะนี้
สื่อฉบับเดียวกันระบุต่อว่าแผ่นป้ายนี้เป็น ท่านซอ ทาวี รองผวจ.พระวิหาร ประจำพื้นที่ปราสาทพระวิหาร เป็นผู้นำในการก่อสร้าง เมื่อบ่ายวันที่ 8 ม.ค.54 ที่ผ่านมา และกล่าวว่า สัญลักษณ์ที่สร้างขึ้นบนแผ่นหินใหญ่กลางบริเวณวัดแก้ว ฯ ที่แกะสลักตัวอักษรใจความว่า “ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไทยรุกราน” นั้น มีการอนุญาตจากประมุขผู้นำแห่งรัฐบาลกัมพูชา และมีการเห็นชอบจาก ผบ.สมรภูมิด้าน ภท.4 และ ผบ.สมรภูมิทิศที่ 1 ปราสาทพระวิหาร แม้สัญลักษณ์นี้สร้างเสร็จแล้ว ก็ยังคงเหลือแต่ทำรั้วกั้นล้อมรอบเท่านั้น
***โฆษกพันธมิตรแถลงจับโกหก “มาร์ค”
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อ่านแถลงการณ์พันธมิตรฯ ตอบโต้กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาชี้แจงข้อมูล 7 คนไทยถูกกัมพูชาจับกุมตัวและพิพากษาความผิดว่า ตามที่นายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรณี 7 คนไทยถูกจับกุมและปล่อยให้ศาลกัมพูชาพิพากษาความผิด ทางพันธมิตรฯ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่า บริเวณดังกล่าวเป็นค่ายอพยพที่ทางการไทยให้ชาวกัมพูชาที่หลบหนีสงครามภายในมาใช้พักพิงอาศัยชั่วคราว ดังนั้นจึงมีล้อมรั้วเลยเข้ามาในเขตแดนไทย มีจุดสังเกตอยู่ที่สระน้ำยูเอ็น ซึ่งยืนยันได้ว่าบริเวณดังกล่าวยังเป็นของไทย ดังนั้น การที่ 7 คนไทยเดินไปยังไม่ถึงสระน้ำยูเอ็น จึงถือว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นรัฐบาลไทยไม่เคยชี้แจงประเด็นเหล่านี้เพื่อโต้แย้งกัมพูชา
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ พันธมิตรฯ ยังตรวจสอบเอกสารสิทธิ พบว่า 7 คนไทยถูกจับในดินแดนตนเอง เนื่องจากชาวบ้านที่เป็นเจ้าของที่ดิน และเสียที่ดินทำกินให้แก่กัมพูชา ได้ออกมาระบุว่า หลังจากกัมพูชาอพยพมาพักอาศัยในที่ดินผืนดังกล่าว ชาวบ้านก็เข้าไปทำมาหากินไม่ได้ ซึ่งการชี้แจงของนายอภิสิทธิ์เมื่อคืนที่ผ่านมา ไม่ได้ตรงต่อข้อเท็จจริง และการกระทำดังกล่าวทำให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน มีโทษทางอาญาสูงสุดคือประหาร หรือจำคุกตลอดชีวิต รวมทั้งอาจทำให้ไทยเสียดินแดนดังกล่าวให้แก่กัมพูชา อีกทั้งยังมีการพบว่า หลักเขตแดนบริเวณที่เกิดเหตุมีการเคลื่อนย้ายอยู่บ่อยครั้ง แต่ทั้งนี้เรามีกรรมสิทธิ์ของชาวบ้านยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของคนไทย แต่นายกฯ ไม่มีมาตรการตอบโต้หรือกดดันใดๆ ที่เป็นรูปธรรมกับกัมพูชา ทั้งนี้ เพื่อให้กัมพูชาหยุดใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลเหนือแผ่นดินไทย
“ประการสำคัญ คือ ท่าทีของรัฐบาลไทยทำให้ไทยเสียดินแดนช่วงหลักเขตแดนที่ 46-47 ให้แก่กัมพูชาไปโดยปริยาย ทั้งที่ชาวบ้านที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่สามารถเข้าไปทำกินยังดินแดนของตนเองได้ และทำให้คนเขมรที่ยืดพื้นที่ดังกล่าวสามารถขยายอาณาเขตหมู่บ้านได้ออกไปไม่มีกำหนดที่ชัดเจน” นายปานเทพกล่าว
***"เทือก"หงุดหงิด ทำไมต้องใจร้อน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่กัมพูชา ตั้งป้ายประจานไทยรุกรานดินแดนกัมพูชา ที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ โดยมีรายงานข่าวว่า ผบ.ทบ. เป็นคนสั่งให้ถอนทหารไทยลงจากพื้นที่ จนทำให้สมเด็จฮุนเซน กลับมาญาติดีกับเรา เป็นความจริงหรือไม่ว่า เรื่องของพื้นที่ชายแดน ที่มีทหารของแต่ละฝ่ายตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทางทหาร เราคงไม่เอามาพูดคุยกันมาก แต่ตนได้ติดตามสถานการณ์และพูดคุยกับบรรดาผู้บังคับบัญชาทางทหารอยู่ตลอดเวลา เราพร้อมที่จะดูแลปกป้องอธิปไตยของประเทศ ไม่เสียเปรียบแน่
เมื่อถามว่าทหารกัมพูชาในพื้นที่ยืนยันจะไม่รื้อทำลายป้ายดังกล่าว หากไม่ได้รับคำสั่งจากฮุนเซน นายสุเทพ กล่าวว่า ดูกันไปก่อน ทำไมต้องใจร้อนนัก การที่ฝ่ายไทยถอนกำลังลงมานั้น พื้นที่ ดังกล่าวเป็นพื้นที่ยาว แต่เฉพาะจุดที่อยู่บริเวณรอบๆ ปราสาทพระวิหาร แต่ละฝ่ายก็พยายามที่จะไม่ให้เกิดความตึงเครียดในลักษณะของการเผชิญหน้ากันอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุต้องปะทะสูญเสียกันได้ แต่พื้นที่ตรงนั้นก็จะไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปยึดครอง เพราะยังต้องเจรจาพิสูจน์สิทธิกันอยู่
**"มาร์ค"โยนผบ.ทบ.จัดการเขมรปักป้าย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ทหารกัมพูชายังไม่ถอนป้ายกล่าวหาไทยว่ารุกล้ำดินแดนบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ด้านทิศตะวันตกของประสาทพระวิหารว่า ฝ่ายการเมืองได้มอบหมายให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ดำเนินการประสานกับกัมพูชา เพื่อให้รื้อถอนป้ายดังกล่าวแล้ว และขอให้เป็นเรื่องของผบ.ทบ. ให้ไปถามผบ.ทบ.ดู
**"ประวิตร" เจรจา "เตีย บันห์"ให้ถอนป้าย
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีการดำเนินการให้ประเทศกัมพูชา ถอนป้ายประณามไทยรุกล้ำเขตแดนว่า กำลังดำเนินการอยู่
เมื่อถามว่าจำเป็นต้องมีการพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่เป็นไร ตนกำลังดำเนินการอยู่ เมื่อถามว่าจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ทุกอย่างแก้ไขได้ และเราก็แก้ไขกันมาโดยตลอด
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีต้องการให้ทหารชี้แจง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใช่ ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ดูแลอยู่ ไม่เป็นไร
**ชี้ปัญหาชายแดนเรื่องละเอียดอ่อน
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า ทหารทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็มีความกดดันด้วยกันทั้งคู่ ตนจะไม่พูดว่าต้องทำอะไร อย่างไร กับใคร แต่ขณะนี้ทางกองทัพบก ได้เรียนให้รมว.กลาโหมทราบแล้ว และทั้ง 2 ฝ่าย ต้องเจรจากัน ซึ่งการเจรจาไม่ใช่การขอร้อง เพียงแต่ขอให้เห็นแก่ความสัมพันธไมตรีที่มีต่อกัน ซึ่งแนวโน้มไปในทางที่ดี ขอให้ใจเย็นๆ และ ก็รอ
เมื่อถามว่า การพูดคุยในระดับ รมว.กลาโหม ของทั้ง 2 ประเทศ น่าจะจบลง ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการพูดคุยระหว่าง ผบ.ทบ. ของทั้ง 2 ฝ่าย ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เราต้องพูดกันหมด แต่อย่าไปหาว่าใครปักก่อน ปักหลัง เอาเป็นว่าทำอย่างไรไม่ให้มีการปักก็แล้วกัน และสิ่งที่จะต้องอยู่ให้ได้ในวันนี้คือทำอย่างไรไม่ให้มีการทะเลาะกัน และจะไม่ทำให้ประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่เดือดร้อน เพราะเรามีการค้าขายกันไปมา เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปพิสูจน์ทราบอะไรต่าง ๆ ก็ขอให้เป็นเรื่องกลไกลทางกฎหมายที่มีอยู่เดิม ถ้าเราไม่ใช้กลไกลทางกฎหมาย ใช้ความรู้สึกกันเอง
**ยันจะมีข่าวดีใน 1-2 วันนี้
เมื่อถามว่า ท่านเคยระบุว่า ปัญหาไทย-กัมพูชา จะไม่จบและจะต้องมีปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กองทัพต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดนี้ หรือชุดไหนในอดีตเขามีการพัฒนามาตามลำดับ ให้ไปทบทวนดูว่า มีกี่รัฐบาล และการที่รัฐบาลดำเนินการแก้ปัญหามาโดยตามลำดับนั้น ท้ายสุดแล้วก็มาอยู่ที่ MOU ปี 43 ทหารก็ต้องทำตามกรอบของการพัฒนา ไม่ใช่ว่าทหารจะไปทำอะไรใครก็ได้ ตรงไหนที่มีความชัดเจนของเส้นเขตแดน ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าตรงไหนที่ปัญหาในเส้นเขตแดน ต้องระบุว่ามีตรงบ้าง และจะมีสัญญาในการดูแลกันว่า ถ้าจับได้ตรงนี้ ต้องปล่อยตัว ถ้าเลยตรงนี้ไม่ได้ แต่ถ้าตรงไหนที่ไม่มีการปักปัน แต่มาถือว่าปักปันไปแล้ว อันนี้ที่เป็นสาเหตุให้ทหารมีการปะทะกันมาตลอด ถือเป็นเครื่องหมายให้คนยิงกัน ถ้าไม่วางอาวุธ จึงอยากให้เข้าใจตรงนี้
เมื่อถามว่า การเจราจาดำเนินการให้กัมพูชาถอนป้าย มีความคืบหน้ามากน้อยเพียงใด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขารับเรื่องไปแล้ว เขาบอกว่ากำลังพูดคุยกันอยู่ และจะทำให้เราเร็วที่สุด ซึ่งอาจจะมีข่าวดี 1 - 2 วันนี้ และไม่ต้องมาถามตนบ่อย พูดกันแล้วรับหลักการแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด และถ้าไม่เอาป้ายออก จะเกิดอะไรขึ้นนั้น ก็ต้องว่ากันต่อไป และรัฐบาลจะต้องมีมาตรการอื่นๆ ตามมา
" เรื่องทั้งหมดไม่ใช่เพราะไอ้ป้ายอันเดียวตัวนี้ และป้ายอันนี้ก็ไม่ใช่ตัวพิสูจน์ว่าถ้าคุณปักป้ายแล้วเป็นเขตของคุณ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณจะรับได้หรือไม่ มันก็ไม่ได้ แล้วถ้าผมไปปักป้ายตรงไหน นี่ก็เป็นเขตของผมซิ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของความเข้าใจซึ่งกันและกัน มันอาจจะเป็นการสร้างความกดดัน เพราะฉะนั้นเราอย่าไปตื่นเต้นกับมันมาก ซึ่งทุกพื้นที่ตามแนวชายแดน เรามีกติกาทั้งสิ้น คณะกรรมธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (JBC) ถ้าตกลงกันไม่ได้ มันก็ไม่เป็นของใครทั้งสิ้น" ผบ.ทบ. กล่าว
** ผบ.ทบ.กร้าวอย่ากดดันกองทัพ
"ไม่ใช่ว่าผมไม่รักประเทศ ถ้าผมไม่รักจะเป็นอย่างไร ทหารไม่รักประเทศชาติ จะเป็นทหารได้อย่างไร ผมอยากจะรู้นัก ใครอยากจะพูดอะไรต่างๆ ก็ตาม ให้กลับไปคิด และทบทวนดูซิ ว่าอะไรควรพูด ไม่ควรพูด ไอ้ที่ทหารไม่พูดเพราะพูดไปแล้วจะทำให้เกิดความเพลี่ยงพล้ำ ในการเจรจาพูดคุย มีอะไรต้องมาพูดกันหมดเลยหรือ ซึ่งมันไม่ใช่ รมว.กลาโหมก็ทำเต็มที่ กองทัพก็ทำเต็มที่ แล้วท่านมาบอกว่า กองทัพบกกลัวใคร ทำไมไม่ทำ มีผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า ท่านเอาอะไรมากล่าวอ้าง ผมไม่รู้ กองทัพไม่เคยกลัวใคร ซึ่งผมไม่อยากจะพูดคำนี้ แต่ผมเป็น ผบ.ทบ.ทหารบกทั้งกองทัพ มีจำนวน 2 แสนกว่าคน เขาก็ดูอยู่ว่าผมปกป้องศักดิ์ศรีของเขาหรือเปล่า ผมก็ต้องปกป้องเขา เพราะผมรู้ว่า ลูกน้องผม เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาสูญเสียอะไรต่างๆ มามากมาย ลูกเมียเดือดร้อน ผมพูดไปก็จะหาว่ากองทัพบกทวงบุญคุณอีก และผมจะพูดอะไรได้ ผมต้องปล่อยให้ด่าอยู่ข้างเดียวหรือไง กองทัพถูกด่าข้างเดียวไม่ถูก ผมว่าไม่เป็นธรรม ท่านต้องช่วยกองทัพ วันนี้ถ้าท่านไม่มีกองทัพ ไม่มีเจ้าหน้าที่ ไม่มีทหาร ไม่มีคนทำงาน และท่านจะอยู่อย่างไร ท่านไปถามตัวของท่านเองก็แล้วกัน" ผบ.ทบ. กล่าว