นักประวัติศาสตร์ไทยบางคนพยายามโจมตีการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนที่ออกมาปกป้องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร และผลกระทบที่จะตามมาหลายล้านไร่ทั้งบนบกและทะเลหากไปยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ว่า กลุ่มคนไทยกลุ่มนี้ซึ่งหมายรวมถึงสำนักสันติอโศก กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำลังปลุกกระแสชาตินิยมคลั่งชาติขึ้นมา
นักประวัติศาสตร์ไทยบางคนพยายามอธิบายความขัดแย้งระหว่างไทยกับเขมร โดยการลากเอาประวัติศาสตร์ดึกดำบรรพ์ว่า ที่ราบภาคตะวันออกเฉียงเหนือลงไปถึงอีสานใต้ของไทยนั้น เคยเป็นแหล่งอารยธรรมของชาติพันธุ์ในตระกูลมอญ-เขมรมาก่อน โดยศึกษาจากร่องรอยของปราสาทหินที่ปรากฏอยู่มากมาย รวมทั้งการเกี่ยวโยงของราชสำนักสุโขทัย อยุธยากับกษัตริย์กัมพูชาที่มีคำราชาศัพท์หลายคำมาจากภาษาเขมร
นัยของคำอธิบายนั้นถูกเอามาสับสนปนเปกับความขัดแย้งเรื่องหลักเขตแดนรัฐชาติในปัจจุบัน ด้านหนึ่งเพื่อชี้ให้เห็นว่าเขมรมีความชอบธรรมที่จะอ้างสิทธิ์ของเขา และอีกด้านหนึ่งปรามว่าคนไทยไม่ควรเอาบาดแผลจากประวัติศาสตร์มาเป็นปมความขัดแย้งระหว่างชนชาติในปัจจุบัน
ถ้าจะอ้างกันอย่างนั้น จนเลยยุคที่มนุษยชาติเริ่มกำหนดเขตแดนรัฐชาติเพื่อสร้างกติกาในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ผมคิดว่ามนุษย์ก็คงต้องเถียงกันไปไกลถึงยุคมนุษย์ปักกิ่งหรือมนุษย์ชวานั่นเลยเทียว
แต่น่าแปลกเสียงที่ปรามคนไทยด้วยกันว่าปลุกเอากระแสคลั่งชาติกลับเป็นฝ่ายย้อนเอาประวัติศาสตร์ยุคมอญ-เขมรตั้งแต่ยุคสมัยที่ตั้งรกรากในภาคอีสานของไทยมาหวังครอบงำกดทับความชอบธรรมของฝ่ายไทยและสร้างความชอบธรรมให้เขมร
ถ้าเราไม่เอาประวัติศาสตร์บาดแผลมาให้เกิดความบาดหมางระหว่างชนชาติ ก็ต้องเลิกอ้างว่าเมื่อเป็นปราสาทหินก็ต้องเป็นของเขมร แต่ถ้าเราเอาหลักฐานทางประวัติศาสตร์แบบนี้มาอ้างเพื่อกำหนดรัฐชาติสมัยใหม่ เราก็ต้องอ้างว่าจังหวัดกาญจนบุรีก็ต้องเป็นของเขมร เพราะมีปราสาทหินเมืองสิงห์ซึ่งเป็นอารยธรรมของขอมตั้งอยู่ (ในที่นี้ผมไม่ได้ถกเถียงว่าขอมคือเขมรหรือขอมไม่ใช่เขมรแต่เป็นชื่อของอารยธรรม)
เมื่อไม่อ้างประวัติศาสตร์บาดแผลมาต่อสู้กัน เราก็ต้องมาดูข้อเท็จจริงในปัจจุบัน เมื่อโลกต้องมีเส้นพรมแดนของแต่ละประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดสงคราม เราจะมาอ้างทำเท่ห์โก้เก๋ว่า ยุคนี้ไม่มีพรมแดนย่อมไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีพรมแดนก็จะไม่มีกติการ่วมในการอยู่ร่วมกัน และโลกจะเกิดสงครามแบบอิสราเอลกับปาเลสไตน์ทุกวันทุกภูมิภาค
น่าประหลาดใจว่า ความพยายามที่จะพูดว่าไม่ควรเอาข้อขัดแย้งเรื่องพรมแดนมาเป็นข้อขัดแย้งระหว่างชนชาติเพราะยุคนี้เป็นยุคโลกไร้พรมแดนแล้วนั้น ไม่น่าจะออกมาจากปากคำของนักประวัติศาสตร์ เพราะนักประวัติศาสตร์ควรจะศึกษาร่องรอยของวัตถุและอารยธรรม วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ พรมแดนมากกว่าการเอาผลประโยชน์ทางการค้ามาเป็นตัวตั้ง
คำพูดเรื่องโลกไม่มีพรมแดน ควรจะแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันนั้นควรจะออกจากปากคำของพ่อค้านายทุนมากกว่าเพราะโลกของพวกนี้คือตลาดการแสวงหากำไรและการลอดรัฐเพื่อจะกำหนดกลไกเสรีเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคอย่างไร้พรมแดนและไร้กฎเกณฑ์ การพูดถึงการลดกรอบภาษีหรือมาตรการกีดกันทางการค้า
แต่ตลกมากเลยครับที่นักประวัติศาสตร์แก๊งชาญวิทย์พยายามเอาเรื่องโลกไร้พรมแดนมาเป็นข้อถกเถียงกับคนไทยเรื่องความขัดแย้ง เรื่องเขตแดนกับเขมร จนกระทั่งได้รับความชื่นชมจากรัฐบาลเขมร
ไม่เพียงแต่นักประวัติศาสาตร์ซึ่งหยิบยกเรื่องโลกไร้พรมแดนมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น น้ำเสียงของรัฐบาลและคนของรัฐบาลไทยหรือฝ่ายอำนาจรัฐก็มีน้ำเสียงไม่ต่างกัน
แต่อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงของคนในรัฐบาลนั้นไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร เพราะรัฐบาลนั้นเป็นตัวแทนของกลุ่มทุน ตราบเท่าที่ประชาชนยังไม่เข้าใจถึงสิทธิหน้าที่ของตัวเองตามระบอบประชาธิปไตย การตัดสินใจของรัฐบาลจึงเป็นการตัดสินที่ห่วงผลกระทบทางธุรกิจและกลุ่มทุน (ที่จ่ายเงินลงทุนในการให้นักการเมืองได้อำนาจ) มากกว่าห่วงอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ
ซึ่งแปลเป็นภาษาชาวบ้านว่ารัฐบาลมีผลประโยชน์แอบแฝง
คำถามนี้มักถูกแม่ยกของอภิสิทธิ์ถามแย้งว่า แล้วอภิสิทธิ์ได้ประโยชน์อะไรหรือจึงต้องสมยอมและศิโรราบต่อเขมร คำตอบก็คือ อภิสิทธิ์ได้ผลประโยชน์ในการรักษาเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และเก้าอี้นายกรัฐมนตรีนั้นถูกค้ำโดยนายสุเทพและกลุ่มนายเนวินที่มีกลุ่มทุนผลประโยชน์หนุนหลัง
นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายสุเทพเป็นผู้ใช้อำนาจแทนนายกรัฐมนตรีในเกือบทุกเรื่อง และกระทรวงที่เป็นหลักในการบริหารประเทศนั้นอยู่ในขอบเขตอำนาจของนายเนวิน
ก่อนจะมีเหตุการณ์ลักพาตัว 7 คนไทยไปขึ้นศาลเขมรในกรุงพนมเปญ เพิ่งมีข่าวไม่นานมานี้ว่า นายสุเทพของไทยจะมีการเจรจาเรื่องผลประโยชน์ทางทะเลกับเขมรในเดือนกุมภาพันธ์
ดังนั้นการตัดสินใจของรัฐบาลไทยเรื่องของ 7 คนไทยที่ถูกเขมรลักพาตัวไปนั้น จึงอยู่บนผลประโยชน์ของทุนมากกว่าเรื่องอื่นจึงทำให้น้ำเสียงของรัฐบาลไทยนั้นยอมรับและศิโรราบต่ออำนาจรัฐเขมรตั้งแต่วันแรกๆ ว่าคนไทยล้ำแดนเขมร
เพราะรัฐบาลและคนในรัฐบาลเรียงหน้าออกมาพูดตอกย้ำกันว่า คนไทยถูกจับในแผ่นดินเขมร ทั้งที่คนไทยที่ถูกจับหรือถูกลักพาตัวไปนั้นพยายามเดินเข้าไปพิสูจน์สิทธิบนแผ่นดินของตัวเองที่รัฐไทยออกเอกสารสิทธิ์ให้ ถ้ารัฐไทยตระหนักถึงอธิปไตยมากกว่าเรื่องผลประโยชน์ รัฐไทยก็จะต้องเรียกทูตเขมรมาชี้แจงตั้งแต่วันแรก และต้องยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเมื่อต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์และมีคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมกันอยู่นั้นก็ย่อมยังไม่ชัดเจนว่า แผ่นดินตรงนั้นเป็นของใคร
รัฐบาลต้องเรียกร้องให้เขมรปล่อยคนไทยกลับมา แล้วให้คณะกรรมการร่วมของทั้งสองชาติเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวว่าเป็นของใครกันแน่ และรัฐบาลต้องมีมาตรการตามลำดับตามขั้นตอนวิธีการทางการทูต อย่างที่ทูตกษิตเคยปากกล้าอภิปรายสอนรัฐบาลทักษิณและตัวแทนของทักษิณบนเวทีพันธมิตรฯ
แต่น่าประหลาดไหมล่ะครับ นายกรัฐมนตรีกลับให้คนสนิทคือนายศิริโชคออกมาเถียงกับกลุ่มคนไทยที่ออกมาพูดว่า คนไทยถูกจับบนแผ่นดินไทย นายกษิต นายชวนนท์ และกระทรวงการต่างประเทศกลัวว่า เขมรจะไม่เชื่อว่าคนไทยยอมจำนนและศิโรราบออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์เพื่อยืนยันว่าคนไทยถูกจับบนแผ่นดินเขมร
แทนที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติและคนไทย รัฐบาลไทยของนายอภิสิทธิ์กลับพยายามให้คนไทยยอมรับอำนาจศาลและพระเจ้าแผ่นดินเขมรเหนือดินแดนดังกล่าว และร่วมมือกับนักประวัติศาสตร์ไทยที่กระทรวงการต่างประเทศจ้างด้วยเงิน 7.1 ล้าน (มีนัดปิดจ๊อบวันนี้ 21 ม.ค.ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร ตลิ่งชัน) เพื่อสร้างทัศนคติเรื่องโลกไร้พรมแดนสลายแนวคิดเรื่องเขตแดนในยุครัฐชาติ และการสมยอมต่ออำนาจรัฐเขมรโดยอ้างอารยธรรมขอมมาครอบงำยุครัฐชาติ
และผมแทบจะบ้าตาย เมื่อได้ยินนายกรัฐมนตรีไทยออกรายการโทรทัศน์ว่า ตรวจสอบแล้วยืนยันว่าคนไทยถูกจับในแดนเขมร
นักประวัติศาสตร์ไทยบางคนพยายามอธิบายความขัดแย้งระหว่างไทยกับเขมร โดยการลากเอาประวัติศาสตร์ดึกดำบรรพ์ว่า ที่ราบภาคตะวันออกเฉียงเหนือลงไปถึงอีสานใต้ของไทยนั้น เคยเป็นแหล่งอารยธรรมของชาติพันธุ์ในตระกูลมอญ-เขมรมาก่อน โดยศึกษาจากร่องรอยของปราสาทหินที่ปรากฏอยู่มากมาย รวมทั้งการเกี่ยวโยงของราชสำนักสุโขทัย อยุธยากับกษัตริย์กัมพูชาที่มีคำราชาศัพท์หลายคำมาจากภาษาเขมร
นัยของคำอธิบายนั้นถูกเอามาสับสนปนเปกับความขัดแย้งเรื่องหลักเขตแดนรัฐชาติในปัจจุบัน ด้านหนึ่งเพื่อชี้ให้เห็นว่าเขมรมีความชอบธรรมที่จะอ้างสิทธิ์ของเขา และอีกด้านหนึ่งปรามว่าคนไทยไม่ควรเอาบาดแผลจากประวัติศาสตร์มาเป็นปมความขัดแย้งระหว่างชนชาติในปัจจุบัน
ถ้าจะอ้างกันอย่างนั้น จนเลยยุคที่มนุษยชาติเริ่มกำหนดเขตแดนรัฐชาติเพื่อสร้างกติกาในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ผมคิดว่ามนุษย์ก็คงต้องเถียงกันไปไกลถึงยุคมนุษย์ปักกิ่งหรือมนุษย์ชวานั่นเลยเทียว
แต่น่าแปลกเสียงที่ปรามคนไทยด้วยกันว่าปลุกเอากระแสคลั่งชาติกลับเป็นฝ่ายย้อนเอาประวัติศาสตร์ยุคมอญ-เขมรตั้งแต่ยุคสมัยที่ตั้งรกรากในภาคอีสานของไทยมาหวังครอบงำกดทับความชอบธรรมของฝ่ายไทยและสร้างความชอบธรรมให้เขมร
ถ้าเราไม่เอาประวัติศาสตร์บาดแผลมาให้เกิดความบาดหมางระหว่างชนชาติ ก็ต้องเลิกอ้างว่าเมื่อเป็นปราสาทหินก็ต้องเป็นของเขมร แต่ถ้าเราเอาหลักฐานทางประวัติศาสตร์แบบนี้มาอ้างเพื่อกำหนดรัฐชาติสมัยใหม่ เราก็ต้องอ้างว่าจังหวัดกาญจนบุรีก็ต้องเป็นของเขมร เพราะมีปราสาทหินเมืองสิงห์ซึ่งเป็นอารยธรรมของขอมตั้งอยู่ (ในที่นี้ผมไม่ได้ถกเถียงว่าขอมคือเขมรหรือขอมไม่ใช่เขมรแต่เป็นชื่อของอารยธรรม)
เมื่อไม่อ้างประวัติศาสตร์บาดแผลมาต่อสู้กัน เราก็ต้องมาดูข้อเท็จจริงในปัจจุบัน เมื่อโลกต้องมีเส้นพรมแดนของแต่ละประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดสงคราม เราจะมาอ้างทำเท่ห์โก้เก๋ว่า ยุคนี้ไม่มีพรมแดนย่อมไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีพรมแดนก็จะไม่มีกติการ่วมในการอยู่ร่วมกัน และโลกจะเกิดสงครามแบบอิสราเอลกับปาเลสไตน์ทุกวันทุกภูมิภาค
น่าประหลาดใจว่า ความพยายามที่จะพูดว่าไม่ควรเอาข้อขัดแย้งเรื่องพรมแดนมาเป็นข้อขัดแย้งระหว่างชนชาติเพราะยุคนี้เป็นยุคโลกไร้พรมแดนแล้วนั้น ไม่น่าจะออกมาจากปากคำของนักประวัติศาสตร์ เพราะนักประวัติศาสตร์ควรจะศึกษาร่องรอยของวัตถุและอารยธรรม วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ พรมแดนมากกว่าการเอาผลประโยชน์ทางการค้ามาเป็นตัวตั้ง
คำพูดเรื่องโลกไม่มีพรมแดน ควรจะแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันนั้นควรจะออกจากปากคำของพ่อค้านายทุนมากกว่าเพราะโลกของพวกนี้คือตลาดการแสวงหากำไรและการลอดรัฐเพื่อจะกำหนดกลไกเสรีเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคอย่างไร้พรมแดนและไร้กฎเกณฑ์ การพูดถึงการลดกรอบภาษีหรือมาตรการกีดกันทางการค้า
แต่ตลกมากเลยครับที่นักประวัติศาสตร์แก๊งชาญวิทย์พยายามเอาเรื่องโลกไร้พรมแดนมาเป็นข้อถกเถียงกับคนไทยเรื่องความขัดแย้ง เรื่องเขตแดนกับเขมร จนกระทั่งได้รับความชื่นชมจากรัฐบาลเขมร
ไม่เพียงแต่นักประวัติศาสาตร์ซึ่งหยิบยกเรื่องโลกไร้พรมแดนมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น น้ำเสียงของรัฐบาลและคนของรัฐบาลไทยหรือฝ่ายอำนาจรัฐก็มีน้ำเสียงไม่ต่างกัน
แต่อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงของคนในรัฐบาลนั้นไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร เพราะรัฐบาลนั้นเป็นตัวแทนของกลุ่มทุน ตราบเท่าที่ประชาชนยังไม่เข้าใจถึงสิทธิหน้าที่ของตัวเองตามระบอบประชาธิปไตย การตัดสินใจของรัฐบาลจึงเป็นการตัดสินที่ห่วงผลกระทบทางธุรกิจและกลุ่มทุน (ที่จ่ายเงินลงทุนในการให้นักการเมืองได้อำนาจ) มากกว่าห่วงอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ
ซึ่งแปลเป็นภาษาชาวบ้านว่ารัฐบาลมีผลประโยชน์แอบแฝง
คำถามนี้มักถูกแม่ยกของอภิสิทธิ์ถามแย้งว่า แล้วอภิสิทธิ์ได้ประโยชน์อะไรหรือจึงต้องสมยอมและศิโรราบต่อเขมร คำตอบก็คือ อภิสิทธิ์ได้ผลประโยชน์ในการรักษาเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และเก้าอี้นายกรัฐมนตรีนั้นถูกค้ำโดยนายสุเทพและกลุ่มนายเนวินที่มีกลุ่มทุนผลประโยชน์หนุนหลัง
นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายสุเทพเป็นผู้ใช้อำนาจแทนนายกรัฐมนตรีในเกือบทุกเรื่อง และกระทรวงที่เป็นหลักในการบริหารประเทศนั้นอยู่ในขอบเขตอำนาจของนายเนวิน
ก่อนจะมีเหตุการณ์ลักพาตัว 7 คนไทยไปขึ้นศาลเขมรในกรุงพนมเปญ เพิ่งมีข่าวไม่นานมานี้ว่า นายสุเทพของไทยจะมีการเจรจาเรื่องผลประโยชน์ทางทะเลกับเขมรในเดือนกุมภาพันธ์
ดังนั้นการตัดสินใจของรัฐบาลไทยเรื่องของ 7 คนไทยที่ถูกเขมรลักพาตัวไปนั้น จึงอยู่บนผลประโยชน์ของทุนมากกว่าเรื่องอื่นจึงทำให้น้ำเสียงของรัฐบาลไทยนั้นยอมรับและศิโรราบต่ออำนาจรัฐเขมรตั้งแต่วันแรกๆ ว่าคนไทยล้ำแดนเขมร
เพราะรัฐบาลและคนในรัฐบาลเรียงหน้าออกมาพูดตอกย้ำกันว่า คนไทยถูกจับในแผ่นดินเขมร ทั้งที่คนไทยที่ถูกจับหรือถูกลักพาตัวไปนั้นพยายามเดินเข้าไปพิสูจน์สิทธิบนแผ่นดินของตัวเองที่รัฐไทยออกเอกสารสิทธิ์ให้ ถ้ารัฐไทยตระหนักถึงอธิปไตยมากกว่าเรื่องผลประโยชน์ รัฐไทยก็จะต้องเรียกทูตเขมรมาชี้แจงตั้งแต่วันแรก และต้องยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเมื่อต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์และมีคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมกันอยู่นั้นก็ย่อมยังไม่ชัดเจนว่า แผ่นดินตรงนั้นเป็นของใคร
รัฐบาลต้องเรียกร้องให้เขมรปล่อยคนไทยกลับมา แล้วให้คณะกรรมการร่วมของทั้งสองชาติเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวว่าเป็นของใครกันแน่ และรัฐบาลต้องมีมาตรการตามลำดับตามขั้นตอนวิธีการทางการทูต อย่างที่ทูตกษิตเคยปากกล้าอภิปรายสอนรัฐบาลทักษิณและตัวแทนของทักษิณบนเวทีพันธมิตรฯ
แต่น่าประหลาดไหมล่ะครับ นายกรัฐมนตรีกลับให้คนสนิทคือนายศิริโชคออกมาเถียงกับกลุ่มคนไทยที่ออกมาพูดว่า คนไทยถูกจับบนแผ่นดินไทย นายกษิต นายชวนนท์ และกระทรวงการต่างประเทศกลัวว่า เขมรจะไม่เชื่อว่าคนไทยยอมจำนนและศิโรราบออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์เพื่อยืนยันว่าคนไทยถูกจับบนแผ่นดินเขมร
แทนที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติและคนไทย รัฐบาลไทยของนายอภิสิทธิ์กลับพยายามให้คนไทยยอมรับอำนาจศาลและพระเจ้าแผ่นดินเขมรเหนือดินแดนดังกล่าว และร่วมมือกับนักประวัติศาสตร์ไทยที่กระทรวงการต่างประเทศจ้างด้วยเงิน 7.1 ล้าน (มีนัดปิดจ๊อบวันนี้ 21 ม.ค.ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร ตลิ่งชัน) เพื่อสร้างทัศนคติเรื่องโลกไร้พรมแดนสลายแนวคิดเรื่องเขตแดนในยุครัฐชาติ และการสมยอมต่ออำนาจรัฐเขมรโดยอ้างอารยธรรมขอมมาครอบงำยุครัฐชาติ
และผมแทบจะบ้าตาย เมื่อได้ยินนายกรัฐมนตรีไทยออกรายการโทรทัศน์ว่า ตรวจสอบแล้วยืนยันว่าคนไทยถูกจับในแดนเขมร