xs
xsm
sm
md
lg

เร่ขายปาร์ตี้ลิสต์30-50ล. จวกร้ายแรงกว่าซื้อเสียงส.ส.เขต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวถึงกระแสข่าวความขัดแย้งของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาล ในกรณีการแก้ไขรธน.ว่าปัญหาเรื่องสูตร และสัดส่วนของส.ส.ในระบบเลือกตั้งที่ยังไม่ลงตัวนั้น เป็นเพียงปาหี่ในพรรคร่วมรัฐบาล เชื่อว่าปัญหานี้จะไม่บานปลาย จนกลายเป็นความแตกแยก เพราะสุดท้ายก็จะสามารถเจรจา และไกล่เกลี่ยผลประโยชน์กันได้ในที่สุด เฉกเช่น กรณีรถเมล์เอ็นจีวี หรือกรณีแต่งตั้งโยกย้าย ในกระทวงมหาดไทย
เรื่องนี้ยังสะท้อนชัดเจนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยนักการเมือง ที่ต้องการแค่ผลประโยชน์ และส่วนได้เสียของนักการเมืองเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าสัดส่วนของ ส.ส.ทั้ง 2 รูปแบบ จะใช้สูตร 400 +100 หรือ 375 + 125 ก็ตาม ไม่ได้มีหลักประกันใดๆว่า ตัวแทนของภาคประชาชน คนด้อยโอกาสในสังคม จะได้รับโอกาสเข้ามามีที่นั่งในสภาแต่อย่างใด และปัญหาสำคัญที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข คือ การทุจริตเลือกตั้ง และคุณภาพของส.ส. ที่ยังไม่สามารถสะท้อนความแตกต่างระหว่างผู้แทนที่มาจากระบบบัญชีรายชื่อ หรือระบบเขต แต่อย่างใด
"การที่รัฐธรรมนูญแยก ส.ส.เป็น 2 แบบนั้น ต้องให้คนดีมีความรู้ความสามารถได้เข้ามาทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส.สัดส่วน ขณะที่ ส.ส.เขต ก็เป็นเรื่องการดูแลประชาชนในพื้นที่นั้นๆ แต่ที่ผ่านมา กลับมีการใช้ระบบอย่างไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ โดยมักนำบุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีมาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วน ส.ส.เขต ก็ทำหน้าที่ในสภาไป จึงเป็นเพียงวิธีการจัดโควต้าของพรรคการเมืองใหญ่ๆ เท่านั้นเอง" นายสุริยะใสกล่าว และว่า ข่าวความขัดแย้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เป็นแค่ฉากกลบข่าวความไม่เอาไหนของรัฐบาล กรณีช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุม และดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม

** แฉประมูลปาร์ตี้ลิสต์ 30-50 ล้าน
ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน กลุ่มโคราช แกนนำกลุ่ม 3 พี. กล่าวถึงการแก้ไขรธน.ที่ยังมีความเห็นแตกต่างกันว่า อยากให้ความแตกต่างนั้นเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์กับพรรคใดพรรคหนึ่ง ประชาชนเคยชินกับสูตร 400+100 ใช้มาตั้งแต่ รธน.ปี 40 ถ้าเปลี่ยนสูตรเป็น 375+125 คงมีความสับสนอีกหลายเรื่อง บ้านเราบัญชีรายชื่อมากมาย ไม่เหมือนต่างประเทศ ซึ่งจะนำนักวิชาการ ผู้สำเร็จทางวิชาชีพต่างๆ ที่มีความรู้ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ มาเป็นบัญชีรายชื่อ แต่ประเทศเรา ผู้ที่มีเงินมาซื้อ ขออยู่ไม่เกิน 10 ตำแหน่ง หรือหมายเลข 10 จ่าย 30 – 50 ล้านบาท ไม่เกินที่ 20 จ่าย 20 - 30 ล้านบาท มันเป็นการประมูลเก้าอี้ส.ส.แรงยิ่งกว่าที่ไปกล่าวหาว่า ผู้สมัครเลือกตั้งในพื้นที่ไปซื้อเสียง
ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อแผ่นดิน ยืนยัน สูตร 400+100 และเรื่องความขัดแย้งในเรื่อง 400 หรือ 375 ตนคิดว่าไม่ควรจะเอาไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน หรือไม่ควรเอาไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง เพราะเป็นความขัดแย้งทางความคิดเห็น น่าจะเอาเสียงสะท้อนของประชาชนเป็นหลัก
ส่วนเรื่องนี้จะนำไปสู่การยุบสภาหรือไม่นั้น การยุบสภาอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ถ้าขัดแย้งกันแค่ในเรื่อง 400+100 หรือ 375+125 ว่าจะเอาอย่างไหน และเป็นเหตุอ้างยุบสภานั้น ตนว่า จะทำให้ความสง่างาม หรือความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรี ในการอ้างเหตุนี้นำไปสู่ การยุบสภา หรือการข่มขู่ของพรรคแกนจัดตั้งรัฐบาลทำให้เสียความชอบธรรม และคิดว่าเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ

**ปชป.ปัดเล่นเกมฮั้วแก้รธน.
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาประกาศจุดยืนของพรรคเพื่อไทยว่า จะไม่เข้าร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเรียกร้องให้มีการนำเอารัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้ว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ เป็นการแสดงจุดยืนในนามพรรคหรือไม่ เพราะในขณะนี้ในพรรคเพื่อไทย ยังมีความชุลมุน แสดงความคิดเห็นไปคนละทิศ ละทาง ถ้าจะเรียกร้องให้มีการนำรัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้ ก็ต้องรอให้พรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมาก และเป็นตัวตั้งตัวตีในการแก้ไข แต่ในขณะนี้ เมื่อยังไม่มีสิทธิ์ที่จะแก้ไขได้ ก็ขอให้ฝันกลางวันไปก่อน
ส่วนที่มองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นการเล่นละครของประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมนั้น ก็ไม่เป็นความจริง แต่เป็นการแสดงจุดยืนทางการเมืองที่จริงจัง ส่วนการออกมาเหน็บแนมว่าจะมอบยาหยอดตาให้แก่พรรคร่วมรัฐบาลให้ตาสว่างเพื่อไม่ให้โดนพรรคประชาธิปัตย์แหกตานั้น สมาชิกพรรคร่วมทุกคนดวงตาเห็นธรรมกันแล้วทั้งสิ้น ไม่เหมือนพรรคเพื่อไทย ที่ยังหน้ามืดตามัว ยังเดินชนกำแพง ครั้งแล้วครั้งเล่า
"ถ้าจะมอบยาหยอดตาให้แก่พรรคร่วมรัฐบาล ก็ควรจะนำยาหยอดตาไปมอบให้แก่นายใหญ่ของตัวเอง ที่ดวงตากำลังพร่ามัว มองไม่เห็นสัจจะธรรมของชีวิต ยังยุยงปลุกปั่นให้สมาชิกพรรคของตัวเองก่อความวุ่นวาย นำประเทศไปสู่ความมืดมน ถ้าหากได้มอบยาหยอดตาให้พรรคเพื่อไทย ได้ใช้ก็คงจะไม่ทำให้นักการเมืองประเภทตาบอด หลงแก่อำนาจ เดินชนกันเอง"
นายเทพไท ยังกล่าวถึงกระแสข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินมาในที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยส่งสัญญาณให้ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ นำทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ถ้าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริงก็คงจะทำให้เกิดความชัดเจนในตัวผู้นำการอภิปรายได้ระดับหนึ่ง เพราะเมื่อนายใหญ่ชี้นิ้วบัญชาการมาอย่างนี้แล้ว ก็คงจะไม่มีใครขัดขืน แต่อาจจะมีแอบบ่นน้อยใจเพียงคนเดียว เหมือนกับกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่พลาดโอกาส นายใหญ่ไม่ให้ความสำคัญ จนต้องเก็บตัวไม่เข้าร่วมประชุมพรรค ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ เพราะที่ผ่านมา ได้แสดงฝีมือปกป้องนายใหญ่อย่างเต็มที่ จนกระทั่งประกาศตัวเป็นสาวก กลางที่ประชุมสภา แต่นายใหญ่กลับไม่ให้ราคา จนต้องออกมาแก้เกี้ยวว่า ที่ยอมให้นายมิ่งขวัญ นำทีมเพื่อจะได้แสดงฝีมือบ้าง
ส่วนที่ออกมายอมรับด้วยตัวเอง ว่า การหาข้อมูลครั้งนี้ยากกว่าและมีข้อมูลด้อยกว่าการอภิปราย 2 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทย ไม่มีข้อมูลมากเพียงพอที่จะเปิดอภิปรายได้ เมื่อดูจากหนังสือทุจริตอภิสิทธิ์ชน ที่พิมพ์ออกมา ก็เห็นได้ว่าข้อมูลดังกล่าว ยิ่งกว่าข้อมูลตัดแปะ เมื่อการอภิปราย 2 ครั้งที่ผ่านมา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การอภิปรายครั้งนี้ ก็คงมีแต่ข้อมูลลม
ส่วนกรณีที่ส.ส.เพื่อไทยอ้างเหตุผลเรื่องโลโก้พรรคว่า ไม่ถูกโฉลก อาจจะถูกยุบอีกครั้งก็ได้ เพราะโลโก้ของพรรค ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย โลโก้พรรคที่เป็นตัวอักษร ถูกตัดหัวทั้งสิ้นนั้น ว่าไม่น่าจะเป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้พรรคเหล่านี้ถูกยุบ
"อยากจะให้คนในพรรคเพื่อไทย อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ควรงมงาย บ้าหมอดูหรือไสยศาสตร์เหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าพรรคการเมืองไม่โกงการเลือกตั้ง ไม่ทำผิดกฎหมาย ก็ไม่มีวันจะถูกยุบ จะเปลี่ยนแปลงโลโก้อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่เปลี่ยนพฤฒิกรรมและนิสัยอันถาวรของคนในพรรค ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกยุบพรรคได้" นายเทพไท กล่าว

**ปชป.โต้พท.ปัดใช้งบฯกดดัน
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ในส่วนของกรรมาธิการถือว่าสิ้นสุดแล้ว ต่อไปเป็นการร่วมปรึกษาพรรคร่วมรัฐบาลและส.ว. เชื่อว่าทุกฝ่ายเห็นตรงกันที่จะยึดประโยชน์ของประเทศ และแนวทางปฏิรูปการเมืองในภาพรวม มากกว่าเรื่องการได้เปรียบ เสียเปรียบทางการเมือง
ทั้งนี้ ทราบว่าพรรคร่วมจะมีการประชุมเรื่องดังกล่าวสัปดาห์หน้า เชื่อว่าจะใช้เหตุผลในการตัดสินใจของสมาชิกรัฐสภา ที่ผ่านมา ทุกคนใช้ความคุ้นเคยในระบบการเลือกตั้งแบบ ส.ส.เขต 400 คน ถือเป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 40 ตามหลักสากลจะเปิดให้ประชาชนแสดงเจตจำนง ผ่านการเลือกตั้ง แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งชุดของคณะกรรมการศึกษาและปฏิรูปทางการเมือง ที่ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน ได้ยึดหลักสากล เช่น ประเทศเยอรมัน กำหนดสัดส่วนส.ส.เขต กับส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 ต่อ 1 หรือ 1 ต่อ 2 แต่บริบทสังคมไทยเป็นได้ยาก
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญปี 40 ใช้สัดส่วน 1 ต่อ 4 และรัฐธรรมนูญปี 50 ใช้สัดส่วน 1 ต่อ 5 จึงเป็นที่มาของจุดสมดุล ที่จะใช้สัดส่วนให้เหมาะสมในประเทศไทย คือ 1 ต่อ 3 หรือ 125 ต่อ 375 และเชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาจะก้าวข้ามความคุ้นเคยและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป นพ.บุรณัชย์ ยืนยันว่า พรรคไม่มีการที่จะวิธีการข่มขู่ หรือใช้งบประมาณแลกเปลี่ยน หรือมีการเกี๊ยเซียะ เล่นละครอย่างที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหา
ทั้งนี้ อยากให้พรรคเพื่อไทยแสดงความเห็นในการเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มากกว่าการสร้างความแตกแยกในรัฐบาล และการที่จะยึดรัฐธรรมนูญ ปี 40 มาใช้ เป็นการสะท้อน ว่าเป็นการตอบโจทย์ส่วนตัว และหวังผลทางการเมืองต่อผู้กระทำผิดทางการเมือง มากกว่าการตอบโจทย์ของประเทศ

**ส.ว.เลือกตั้งหนุนสูตร400+100
นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา และส.ว.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ส.ว.เลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 50 คน พร้อมใจจะสนับสนุนการแก้ไขรธน. ที่ะจให้มีส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 บวก ปาร์ตี้ลิสต์ 100 เพราะเห็นว่า สูตร 375 + 125 ทำให้จำนวนเขตเลือกตั้งในภาคเหนือ และภาคอีสานหายไป อีกทั้งยังเป็นการรอนสิทธิของประชาชนอีกด้วย โดยเฉพาะการแบ่งสัดส่วนตามจำนวนประชากร เขต 1.5 แสนคนต่อ 1 เขต มีความถูกต้องอยู่แล้ว การไปเพิ่มตามสัดส่วน 375 ต่อ 125 คือ 1.7 แสนคนต่อ 1 เขต จึงไม่สมเหตุสมผลตามข้อมูลและสถิติ และข้ออ้างที่ว่าต้องการเพิ่มสัดส่วนผู้มีความรู้ หรือนักวิชาการก็ควรไปจัดอยู่ ในจำนวน 125 เสียง เห็นว่าเอาไปไว้ในระบบปาร์ตี้ลิสต์ ก็เหมาะสมแล้ว
ขณะนี้มีการคุยในส่วนของส.ว.สายเลือกตั้ง และส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลแล้วยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏว่าเห็นชอบกับแนวทางสูตร 400 +100 แต่ยอมรับว่าหากประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วย ก็จะผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ ยกเว้นพรรคเพื่อไทยจะร่วมโหวตหรือไม่ อย่างไร

** "นิคม"พร้อมชิงเก้าอี้ประธาน ส.ว.
นายนิคม กล่าวถึงกรณีการชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภา หลังจากนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภาจะลาออกในเร็วๆนี้ว่า มี ส.ว.สรรหา จำนวนหนึ่งพยายามไปกดดันไม่ให้นายประสพสุข ลาออก เพราะต้องการรอให้มีสรรหา ส.ว.ชุดใหม่เข้ามาก่อน และค่อยเลือกประธานวุฒิคนใหม่ ซึ่งขณะนี้ก็มีหลายความเห็น เพราะบางคนก็เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องรอในสิ่งที่ยังมองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ และที่สำคัญควรให้ความสำคัญกับคนที่อยู่แต่ก่อน เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของประธานวุฒิสภา ว่าจะดำเนินการอย่างไร
ทั้งนี้ ส่วนตัวหากนายประสพสุขลาออก ก็พร้อมจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานวุฒิ แต่ตอนนี้ยอมรับว่า คนที่มาแรง คือ นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี ที่มีเสียงสนับสนุนตามหน้าหนังสือพิมพ์เกือบ 100 คน ซึ่งตนก็ไม่ได้คาดหวังกับตำแหน่งดังกล่าว หากไม่ได้รับเลือกเป็นประธาน ก็ยังเป็นรองประธานวุฒิสภาต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น