ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กรณีที่คนไทย 7 คน ถูกจับกุมตัวโดยทหารกัมพูชา ถ้าว่ากันตรงๆ มันควรจะเรียกว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนอยู่ ระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะดูจากแผนที่ต่างๆ และภาพถ่ายดาวเทียมแล้ว ตรงที่คนไทยถูกจับกุมยังอยู่ในหลักเขตแดนที่ 46 ซึ่งยังพบความกำกวมอยู่ ส่วนคนไทยที่เดินเข้าไปในเขตนั้นก็ยังไม่ควรเรียกว่าล้ำเขตแดน เมื่อพื้นที่ยังเป็นลักษณะพิพาทกันอยู่ ถ้ามีการเข้าไปทำกิจกรรมต่างๆ ของผ่ายไทย เช่นไม่ได้ไปตัดไม้ทำลายป่า แต่กรณีนี้เป็นบุคคลซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการลงไปตรวจดูพื้นที่ ควรจะให้เกียรติด้วยความเป็นเพื่อนบ้านกัน และต้องปฏิบัติตามหลักของเอ็มโอยู ที่มีข้อตกลงระหว่าง 2 ประเทศร่วมกันอยู่ จึงควรที่จะมีเจรจากันก่อนไม่ใช่เป็นการจับตัวส่งขึ้นศาล อีกทั้งเคยมีกรณีที่ชาวกัมพูชาเข้ามาล้ำแดนทางไทยมีการเจรจาก่อนที่จะปล่อยตัวไป เพราะไม่ได้เข้ามาทำความเสียหายอะไร
สำหรับ คุณพนิช วิกิตเศรษฐ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มีฐานะเป็นคณะกรรมาธิการ จึงเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะต้องลงไปตรวจสอบความถูกต้องของพื้นที่ดังกล่าว ทางกัมพูชาต้องให้เกรียติในความเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย ส่วนที่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยกับคุณพนิช ก่อนที่จะถูกจับกุมหรือไม่นั้น ดูท่าทีของนายกรัฐมนตรี ดูจะตอบแบบอ้อมแอ้ม อาจจะมีการนัดหมายไว้เป็นการส่วนตัวหรือแบบไม่เป็นทางการ หรืออาจจะไม่ได้บอกกันแบบกระจ่างแจ้งนัก ก็ไม่ทราบนายกรัฐมนตรีได้
สำหรับคุณอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ต่อสู้ได้ในสภาผู้แทนราษฎร เป็นนักต่อสู้ในเรื่องทางการเมืองในทางโวหาร แต่ที่ผ่านมาไม่สามารถที่จะต่อสู้ได้ในเวทีโลก หรือแก้ปัญหายามประเทศชาติเกิดวิกฤตได้ ในส่วนของกระทรวงต่างประเทศได้กระทำผิดพลาดไว้ในอดีต คนในกระทรวงต่างประเทศและกรมแผนที่ทหาร ปัจจุบันกำลังปกปิดความผิดในกับคนในอดีตว่าทำอะไรไว้บ้าง โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องเอกสารที่สามารถเถียงกันได้ไม่จบง่ายๆ แต่ทางไทยก็มีหลักฐานแผนที่ต่างๆ ที่จะนำไปพิสูจน์
ค่อนข้างจะเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับการที่ฝ่ายไทยยอมรับว่าเราลุกล้ำเขตแดนของประเทศกัมพูชา ตามที่เป็นข่าว โดยการจับกุมครั้งนี้เหมือนกับฝ่ายกัมพูชาทราบอยู่แล้วว่าเราจะไปทำอะไร เหมือนวางเป็นกับดักไว้ มีข้อสังเกตว่าการจับกุมครั้งนี้อาจจะเป็นกับดักให้ อ.เทพมนตรี ลิมปพยอม ไปถูกจับแทน คุณวีระ สมความคิด เพราะตอนแรก อ.เทพมนตรี กับผม เป็นคนที่ถูกรับเชิญนัดหมายไว้ตอนแรก แต่บังเอิญไม่ใช่กิจกรรมของเรา ซึ่งเรามีกิจกรรมจะไปบริเวณเขาพระวิหาร โดยคุณพนิชได้เป็นคนนัดหมาย อ.เทพมนตรีเอง แล้ว อ.เทพมนตรีจึงได้เชิญผมและคุณจำลอง ศรีเมือง ด้วย
แต่คุณจำลองมีเงื่อนไขว่าการจะไปขึ้นเขาพระวิหารต้องเข้าไปอย่างคนไทยในแผ่นดินไทย ต้องถือธงชาติไทยขึ้นไปได้ ซึ่งทางคุณพนิช ได้นัดหมายตอนแรกว่าจะไปตรวจสอบบริเวณเขาพระวิหารแต่เกิดเปลี่ยนแปลงภายหลังว่าจะไปตรวจพื้นที่บริเวณ จ.สระแก้ว แต่เนื่องด้วยจากไม่ใช่พื้นที่ที่เราทำงานอยู่ ผมและอ.เทพมนตรีจึงไม่ได้ตกลงเดินทางไปในครั้งนี้ด้วย ทางคุณพนิชจึงเปลี่ยนไปประสานงานกับทางคุณวีระ
ผมคิดว่า คุณพนิช ไม่น่าจะใช่บุคคลที่ทางกัมพูชารังเกียจอะไรมาก แต่บุคคลที่ทางกัมพูชามองว่าเป็นคู่ต่อสู้คือ อ.เทพมนตรี ทางเรามีการวิเคราะห์ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่ทางคุณพนิช เป็นตัวหลอก ในส่วนของคุณพนิชเป็นคนที่ให้ความเคารพ คุณอภิสิทธิ์มาก แต่แทนที่ขณะที่คุณพนิชถูกจับกุม คุณอภิสิทธิ์จะเดือนร้อนใจ กลับเห็นท่าทีไม่เดือดร้อน เที่ยวเตร่สบายใจ ผมจึงมองว่าจุดนี้มีการนัดหมายไว้เรียบร้อยว่าให้ไปถูกจับซัก 2-3 วัน ซึ่งรัฐบาลก็มีการยื่นมือเข้าไปช่วยทุกคน แต่สำหรับ คุณวีระจะหนักตรงที่เคยถูกจับกุมก่อนหน้านี้แล้ว ก็ต้องดูว่าได้ไปเขียนข้อตกลงแบบลายลักษณ์อักษรไว้หรือไม่
การที่รัฐบาลออกมายอมรับว่าคนไทย 7 คน ล้ำดินแดนของทางกัมพูชา ขณะนี้รู้สึกว่าทางรัฐบาลลมจะพัดกลับไปกลับมา ครั้งแรกออกมาบอกว่าคนไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชา แต่ภายหลังเหตุการณ์เปลี่ยน ออกมาระบุว่าเราล้ำดินแดนไม่มาก ซึ่งความจริงแล้วทางเรามีทั้งภาพถ่ายทางอากาศ รวมถึงพยานต่างๆ มา ยืนยันว่ามีความเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้อย่างไร ที่ระบุว่าคนไทยล้ำดินแดนระยะเกือบ 2 กิโลเมตร จึงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งมีพิกัดบอกระยะทางว่าเดินทางด้วยเท้า เกือบ 2 กิโลเมตรต้องใช้ระยะเวลานาน ไม่ใช่แค่ระยะเวลาแค่ 20 นาที ถ้าเอาภาพแผนที่ทางอากาศและพิกัดต่างๆ จะเห็นชัดเจน
ถ้าจะบอกว่าไทยล้ำดินแดนเล็กน้อยก็คงไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากบริเวณที่คนไทยถูกจับกุมตัวยังเป็นพื้นที่ที่มีการยื้อสิทธิ์กันอยู่ ซึ่งในอดีตหลักเขตแดนมีการย้ายกลับไปกลับมาโดยผู้อพยพต่างๆ เพื่อที่จะไม่ให้โดยไล่กลับ ปัจจุบันจึงมีปัญหาเรื่องการกั้นรั้ว ซึ่งทางกัมพูชาได้โมเมว่าเป็นหลักเจตแดนของทางกัมพูชาอยู่ ซึ่งความจริงแล้วยังไม่มีการสรุปว่าเขตแดนตรงนั้นเป็นของใครแน่