“โฆษกมาร์ค” เชื่อ “ยิ่งลักษณ์” น้องสาว นช.แม้ว เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยตัวจริง คนอื่นแค่ตัวหลอก เปรียบเรือล่มในหนอง ทองไม่ไปไหน ปัดขวาง “ดร.โกร่ง” ส่วนปัญหาการแก้ไข รธน.พรรคการเมืองควรบริหารจัดการภายในรองรับ ส.ส.เขตลดลงกันเอง ชี้เหตุศาลไม่ให้ประกัน 7 แกนนำแดง เพราะพฤติกรรมคนเสื้อแดงไม่ดีชึ้น ดักคออย่านำไปเป็นเงื่อนไขเคลื่อนไหว เย้ย “เรืองไกร” ยื่นเล่นงาน “มาร์ค-กรณ์” ส่ง SMS กี่ครั้งก็ไม่พบผิด แนะสำรวจตัวเอง เตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการสรรหาใหม่
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการเตรียมยื่นญัตติทั่วไปไม่ไว้วางรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยว่า ถ้าดูความเคลื่อนไหวเห็นได้ชัดว่าความพร้อมในการยื่นอภิปรายฯ ยังไม่ครบถ้วน ดูได้ 2 ส่วน คือ กรณีแรกผู้นำการอภิปรายยังไม่ชัดเจน ดูจากคำให้สัมภาษณ์ของนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังไม่มีการตกผลึกว่าจะมอบหมายให้ใครนำการอภิปราย มีการพูดถึงนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง วันนี้ก็มีคนเสนอตัวคือ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ อีกคน แสดงให้เห็นว่า เฉพาะตัวผู้นำอภิปรายยก็ยังไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะเป็นใครกันแน่
ส่วนที่ 2 คือ ข้อมูลที่จะนำมาอภิปราย ยังมีการเรียกประชุมสำนักปราบโกงพรรคเพื่อไทยกันอย่างเคร่งเครียด เพราะยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการโกงของรัฐบาล เห็นได้ชัดว่ายังเป็นข้อมูลจากสื่อสารมวลชน จึงเป็นที่มาของการหยิบยกกรณีนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกจับกุมที่กัมพูชามาเป็นประเป็นหลักในการอภิปราย เป็นการหยิบฉวยสถานการณ์เฉพาะหน้าไม่มีการเตรียมการหาข้อมูลตั้งแต่ต้น หากไม่มีเหตุการณ์นายพนิชเกิดขึ้น คิดว่ายังต้องคลำหาประเด็นที่มีน้ำหนักเพื่อใช้เป็นหมัดเด็ดโจมตีรัฐบาลไม่ได้ด้วยซ้ำไป
นายเทพไทกล่าวว่า ส่วนที่พูดถึงผู้นำพรรคก็มี 2 คน คือ นายวีรพงษ์ รามางกูร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สำหรับนายวีรพงษ์ที่เป็นกระแสข่าวมาโดยตลอด และครอบครัวของนายวีรพงษ์ได้แสดงความเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางเพราะไม่พอใจการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์นั้น อยากจะเรียนกว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีใครมาขัดขวางการเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยของนายวีรพงษ์ แต่เมื่อเป็นกระแสข่าวก็มีการพิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากนายวีรพงษ์เคยทำงานใกล้ชิด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรษ ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่คิดว่าจะยอมเปลืองตัวว่าเป็นผู้ทรยศต่อชาติบ้านเมืองในการเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีอะไรเป็นส่วนตัวกับนายวีรพงษ์ การแสดงความคิดเห็นทางเศรษฐกิจก็ไม่เคยอคติหรือถือสา เพราะเคยมีคำวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงกว่านี้ ก็ไม่ได้ถือแค้นถือโกรธ
สำหรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น หากวิเคราะห์แล้วมีความเป็นได้มากที่สุด เพราะเป็นคนในครอบครัวถือเป็นสายตรงนายใหญ่ เมื่อเข้ามาเป็นหัวหน้าหน้าพรรคท่อน้ำเลี้ยงก็ไม่อุดตันหรือล้างท่อการมอบหมายให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นหัวหน้าพรรค เหมือนกับการลงทุนในครอบครัว เปรียบเหมือนเรือล่มในหนองเงินทองไม่ไปไหน คนที่จะเป็นไปได้มากสุดคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นอกนั้นเป็นตัวตุ๊กตา เป็นตัวหลอกทางการเมืองทั้งสิ้น
นายเทพไทกล่าวถึงเสียงวิจารณ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็น ส.ส.สูตร 375+125 ว่า เป็นความเห็นโดยอิสระ ควรเคารพกัน กรณีนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ที่ออกมาพูดถึงการตัด ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ก็มีการวิพากษ์วิจาณ์ว่าเป็นการต่อรอง เล่นละคร จึงอยากจะเรียนว่าเป็นอิสระของพรรคการเมือง และพรรคการเมืองมีจุดยืนแตกต่างกัน แม้แต่พรรคร่วมก็ยังมีความเห็นต่างกันในหลาบประเด็น เช่น การลดจำนวน ส.ส.เขตเหลือ 375 เขต เมื่อดูความเคลื่อนไหวจะเห็นว่าคนที่คัดค้านเป็น ส.ส.ที่มาจากจังหวัดที่ได้รับผลกระทบเป็นส่วนใหญ่
ส่วนความเห็นพรรคการเมืองที่วิตกว่าอาจจะกระทบจำนวนสมาชิกของตัวเอง แต่ก็สามารถนำไปเพิ่มที่ระบบสัดส่วนได้ เป็นทางออกที่ต้องไปบริหารจัดการภายในพรรคการเมืองว่า ส.ส.ที่ถูกตัดลงในเขตเลือกตั้งจะไปอยู่ในระบบบัญชีรายชื่อ เป็นเทคนิคของแต่ละพรรคการเมือง ต้องมองภาพใหญ่และเห็นแก่ระบบมากกว่าเห็นผลประโยชน์ของ ส.ส.และพรรคการเมือง
นายเทพไทยังกล่าวถึงการที่ศาลไม่อนุญาติให้ประกันตัว 7 แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ทุกคนควรที่จะเคารพคำวินิจฉัยของศาล แกนนำไม่ควรที่จะหยิบยกเป็นประเด็นเคลื่อนไหวในวันที่ 9 ม.ค. เพราะป็นดุลพินิจของศาลสถิตยุติธรรม แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามอำนวยความสะดวกสำหรับการประกันตัวแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถแทรกแซงชี้นำศาลได้ เป็นบทพิสูจน์ข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลแทรกแซงราชการว่าไมได้เป็นไปตามที่กล่าวหา อยากเรียกร้องว่าไม่ควรจะเอาประเด็นดังกล่าวขึ้นมาเคลื่อนไหวสร้างเงื่อนไขในกลุ่มคนเสื้อแดงอีก
ส่วนกรณีนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หยุดกลั่นแกล้งคนเสื้อแดงนั้น อยากเรียนว่านายกรัฐมนตรีไม่เคยก้าวก่ายแทรกแซงการทำหน้าที่หน่วยงานใดๆ ทั้งสิ้น ผิดกับยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งพรรคเพื่อไทยเคยชินกับการแทรกแซงราชการ องค์กรอิสระ ได้ทุกองค์กร แต่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลได้ให้อิสระในการทำหน้าที่ของดีเอสไอ
“การคัดค้านการประกันตัวเป็นไปตามพฤติกรรมเนื้อหาของการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงทั้งสิ้น เมื่อยกคำร้องเพราะไม่มีเหตุผลใหม่ที่จะให้ประกันตัวได้ แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมาพฤติกรรมกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ไม่น่าไว้วางใจว่าหากได้รับอิสระภาพหรือประกันตัวจะไม่ก่อความวุ่นวายอีก การบอกว่าอยู่ที่คนสองคนก็ไม่มีผล เพราะอยู่ที่พฤติกรรมของคนเสื้อแดงทั้งสิ้น”
นายเทพไทกล่าวถึงกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ประกาศใช้สิทธิตามมาตรา 62 ของรัฐธรรมนูญยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรรามการทุจรติแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการเอาผิดกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลังกรณีส่งเอสเอ็มเอสในปลายปี 2551 ว่านายเรืองไกรเคยใช้สิทธิดังกล่าวมาแล้ว และ ป.ป.ช.ได้ยกคำร้องไปแล้ว โดยบอกว่าไม่เข้าองค์ประกอบความผิด ไม่อยากให้นายเรืองไกรใช้วิธีการเล่นไม่เลิก ควรเคารพการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่ไม่มีใครไปแทรกแซงได้
นายเทพไทกล่าวว่า ที่บอกว่า ป.ป.ช.ยกคำร้องในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง แต่นายอภิสิทธิ์และนายกรณ์ยังเป็น ส.ส. ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในความเห็นส่วนตัวตนเห็นว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคือนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี ส่วน ส.ส.และ ส.ว.ไม่ได้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การพยายามขึ้นมายื่นซ้ำเพื่อเอาผิดนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังเป็นเรื่องไม่น่าจะถูกต้อง อยากเรียกร้องมายังนายเรืองไกรว่าในฐานะที่เป็น ส.ว.สรรหา ที่จะหมดวาระในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ น่าจะเอาเวลาไปทบทวนบทบาทว่าได้ทำหน้าที่สมเจตนารมณ์ของ ส.ว.สรรหาหรือไม่ และถ้าหากอยากเป็น ส.ว.ก็ควรไปเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่กระบวนการสรรหาต่อไปจะดีกว่ามาทำเรื่องในลักษณะนี้ให้เป็นประเด็นสร้างความสับสนให้สังคม
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ พร้อมจะให้มีการตรวจสอบอย่างเต็มที่ และเชื่อว่าเมื่อข้อมูลครั้งแรกไม่พบการกระทำผิด จะมีการตรวจสอบอย่างไรก็ไม่พบความผิดอย่างแน่นอน จึงไม่รู้สึกหวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้นกับเรื่องดังกล่าว