ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ประเด็นมันก็อยู่ตรงที่ว่า หนึ่ง- มันมีข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาเป็นสองเส้นเขตแดน คือ หนึ่ง- บริเวณเขาพระวิหาร ฝั่งไทยยึดสันปันน้ำและหน้าผาเป็นเส้นเขตแดน แต่ว่ากัมพูชายึดแผนที่ 1:200000 ทีนี้เขาได้ตรวจใน MOU 2543 บางคนเห็นชื่อแผนที่ปุ๊บ นึกถึงกฎหมายปิดปากเพราะว่ายึดแผนที่มากกว่า สอง- ตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ไล่ไปจนถึง จ.สระแก้ว ใช้หลักเขตเป็นเส้นเขตแดน บริเวณนี้ก็มีแผนที่ 1:200000 ทาบด้วย บางส่วนเลยหลักเขตเข้าไปอีก นี่ก็กลายเป็นปัญหาที่สอง และยิ่งสลับซับซ้อนกว่าเพราะว่าหลักเขตมันเคลื่อนย้ายได้
ทีนี้พอคนไทยถูกจับในพื้นที่ที่เรียกว่ามีปัญหากัน ไทยก็ต้องถือว่ามันเป็นส่วนของไทย แต่ถ้าไปประกาศว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา เสียเปรียบทันที ไม่ควรจะไปประกาศว่าคนไทยรุกเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชา เพราะว่า บริเวณหลักเขตยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะหลักเขตต้องนิ่งก่อน นิ่ง, หมายถึงว่าคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC เห็นพ้องต้องกันจบแล้ว และขอความเห็นชอบจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบ แม้แต่ขั้นตอนนี้สภายังไม่ผ่านเลย และเฉพาะหลัก 46 47 48 ยังไม่ผ่านแม้กระทั่งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาจะตกลงว่าเป็นพื้นที่ใด
เพราะฉะนั้น เมื่อยังตกลงกันไม่ได้ การจะไปด่วนสรุปว่าคนไทยรุกเข้าไปในพื้นที่กัมพูชาก่อนถึงหลักเขต 46 มันไม่ได้ ไม่สมควรจะทำแบบนั้น มันจะต้องได้ข้อยุติสุดท้ายซึ่งจะอ้างว่าเราก็ยึดตรงนี้อยู่แล้ว ไม่แน่! เพราะสุดท้ายสภาอาจจะไม่เห็นชอบก็ได้ อาจจะเห็นว่าต้องรุกไปในกัมพูชามากกว่านี้ก็ได้ แต่การไปยืนยันตกลงในเวลาตอนนี้คือการทำให้คนไทย 7 คนต้องเสียเปรียบ และทำให้กระบวนการพิจารณาของชั้นศาลมันยากลำบากขึ้นในกระบวนการพิจารณาของทางกัมพูชา คนไทยจะเดือดร้อน ไม่มีข้อต่อสู้ กัมพูชาก็บอกว่าไทยผิด รัฐบาลกัมพูชาก็บอกว่าผิด รัฐบาลไทยก็บอกว่าผิด คนไทย 7 คนก็ตกอยู่ในฐานะที่อันตรายอย่างมาก หมดทางต่อสู้
หลักเขตแดนที่จริงแล้วเดิมทีเราตัดหลักเขตแดนตามสนธิสัญญา 1907 มันเริ่มตัด แล้วเราก็ตัดไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าตัดเสร็จในปี 1909 ตอนนั้นใช้หลักไม้แล้วมันหาย แล้วต่อมาอีกสิบปีถัดไปใช้หลักคอนกรีต ก็เลยเริ่มอย่างที่เราเห็นคือปี 1919 ถึงจะมีหลักเขตเป็นคอนกรีตอย่างทุกวันนี้ แล้วมันก็หายไป ถูกเคลื่อนย้ายไปมาหลายจุด กัมพูชาก็ไม่สนใจ ก็รุกเข้าไปตามแผนที่ 1:200000 ในหลายพื้นที่ แล้วก็ถกเถียงกัน พิพาทกัน แต่เราก็ควรยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักสำคัญมากกว่าจะบอกว่าเป็นพื้นที่กัมพูชา มันไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้ แล้วมันจะไม่จบ ไม่สิ้นสุด ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะบอกว่าคนไทยรุกไปในพื้นที่กัมพูชา
ประการถัดมาก็คือว่า หลักเขต 46 47 ไปจนถึงแถบนี้ทั้งหมด มันถูกรายงานโดยกองกำลังบูรพาว่ามีการรุกล้ำพื้นที่ประเทศไทยจำนวนมาก หลายสิบครั้ง นับตั้งแต่ปี 2551 โดยเฉพาะชาวอพยพที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ ถึงขนาดที่เรียกว่าเฉพาะหลัก 46 47 แถวๆ นี้มันลามไปถึง 87 ไร่ กินพื้นที่ประเทศไทย แล้วรัฐบาลจะอ้างเรื่อง 55 เมตรที่คนไทยรุกล้ำกัมพูชา มันฟังไม่ได้เลย ถ้าจะใช้บรรทัดฐานเดียวกันว่า คนไทยเข้าไปในพื้นที่ที่คลุมเครือ หรือพิพาท หรือก้ำกึ่งอยู่ แล้วถูกจับขึ้นศาลกัมพูชา คนที่อยู่ในพื้นที่เหล่านั้นทั้งหมด ที่อยู่มากกว่าคนไทย 7 คน อย่างมโหฬาร ก็ต้องถูกจับขึ้นศาลไทยหมดเช่นกัน ถ้าหลักการนี้ แต่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นนี่ ก็มีการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา บอกว่าหลักเขตแดนยังไม่แล้วเสร็จ เพราะฉะนั้นต้องไม่มีการจับขึ้นศาล พอเอาเข้าจริงกัมพูชาก็ละเมิด
ในทางตรงกันข้าม เมื่อเทียบกับเขาพระวิหาร เขาพระวิหารไม่มีเขตแดนเลย เห็นสันปันน้ำ เห็นหน้าผาชัด เห็นรุกเข้ามาขนาดนี้นายกฯ บอกว่าไทยยังไม่เสียดินแดน เพราะว่าเรายังไม่ผ่านความเห็นชอบในการปักหลักเขตแดนตามมติรัฐสภา ทั้งๆ ที่มันเห็นแล้วว่า ไม่ต้องอาศัยหลักเขตแดน นี่เขารุกเข้ามาตามหน้าผาแล้ว เรายังพูดอย่างนี้ แต่พอของเขาบ้าง หลักเขตแดนที่คลุมเครือ และพอไทยเข้าไปหาสำรวจ และยังไม่เจอหลักเขตที่ 46 ด้วยซ้ำไป ไทยและกัมพูชาต่างสรุปว่า คนไทยรุกเข้าไปในเขมรแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ผ่านสภาเลย ผมว่าตรรกะแบบนี้มันเป็นตรรกะที่เป็นสองมาตรฐาน มันใช้ไม่ได้
คือกัมพูชาต้องการแสดงอธิปไตย ยิ่งยอมรับว่าพื้นที่นั้นเป็นของกัมพูชา, กัมพูชายิ่งใช้ในทางสาธารณะ ในทางนานาชาติ เขาใช้อธิปไตยทางศาลในดินแดนพื้นที่ตรงนั้น ซึ่งผมคิดว่าเราไม่ควรจะยอม ไม่ควรจะประกาศว่านั่นคือเรารุกล้ำกัมพูชาแล้ว เพราะรั้วที่เราเห็นวันนั้นก็คือรั้วที่ UNHCR เขามากั้นเอาไว้ เพื่อกั้นเป็นศูนย์อพยพชาวกัมพูชาที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เข้ามาอยู่ในไทย หนีมาตอนช่วงที่เขมรแตก มาพึ่งเพื่อเอาชีวิตรอด แล้วก็กั้นรั้วไว้เพื่อไม่ให้เขารุกล้ำไปไกลกว่านี้ แต่ไม่ได้หมายถึงเส้นเขตแดน แต่เราให้เขาอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือแบบมนุษยธรรม แต่ไม่ได้หมายความว่าคนไทยเข้าไปแล้วต้องถูกทหารกัมพูชาจับแล้วถูกนำตัวไปขึ้นศาล มันคนละความหมายกัน
และที่รัฐบาลและกระทรวงต่างประเทศยอมรับว่า 7 คนไทยรุกล้ำกัมพูชา ผมคิดว่ามันเป็นท่าทีของฝ่ายรัฐบาลที่อาจจะไม่ต้องการยกระดับการพิพาทในระหว่างประเทศ ผมคาดการณ์นะ เช่น ถ้ายอมรับว่ากัมพูชาแสดงอธิปไตยทางอำนาจศาลจนถึงแผ่นดินไทย ประเทศไทยก็ต้องยกระดับในการโต้แย้งหนักขึ้น และการโต้แย้งหนักขึ้นก็อาจนำไปสู่การเจรจาเรื่องผลประโยชน์ทางพลังงานไม่ได้ เพราะว่าคนไทยก็ต้องจับจ้องเช่นเดียวกัน
ประการที่สาม ถ้าประกาศเสียตั้งแต่ตอนต้นว่าคนไทยรุกเข้าไปในกัมพูชา มันก็ง่าย เพราะเขาไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก เพราะคนไทยผิดเอง และก็ไปหวังพึ่งพระบารมี ขอพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์เขมรเอาเอง เป็นต้น มันเป็นการง่ายต่อการปัดความรับผิดชอบจากฝ่ายรัฐบาล ที่ผมพูดอย่างนี้ก็เพราะว่ารัฐบาลไม่สืบค้นตั้งแต่ตอนต้นอย่างละเอียด แต่ไปประกาศเสียตั้งแต่วันแรกว่าคนเหล่านี้รุกล้ำ ผมว่าอย่างนี้ไม่เป็นธรรม เท่ากับว่าเป็นการด่วนสรุปเร็วเกินไป