ASTVผู้จัดการรายวัน - “สุริยะใส” จี้รัฐบาลแถลงจุดยืน 7 คนไทยไม่ได้รุกล้ำดินแดนกัมพูชา "คำนูณ" ท้า "มาร์ค" ลงพื้นที่ ถ้าไม่กล้าจะพาปชช.บุกทำเนียบ นักวิชาการชี้ทั้ง 7 คน จะให้การอย่างไรก็ไม่ผูกพันผูกมัดรัฐไทยได้ นัก กม.แนะไทยต้องฟ้องยูเอ็น ศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจพิจารณาคดีเพราะเป็นเรื่องเขตแดนระหว่างประเทศ ต้องใช้กลไกลระงับข้อพิพาทตามกฎบัตรสหประชาชาติ เตือนหากรัฐไทยยอมรับอำนาจและคำตัดสินศาลเขมรเท่ากับเสียแผ่นดิน ฝ่ายม็อบเผชิญหน้าหวิดปะทะ บัวแก้วเตรียมพร้อมประกันตัว
*** “สุริยะใส”จี้รัฐแถลงจุดยืนปกป้องคนไทย
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (กมม.) กล่าวว่า ชะตากรรมของคนไทยทั้ง 7 คนในขณะนี้ ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะถ้าดูแนวทางการต่อสู้ของรัฐบาลไม่ค่อยเป็นเอกภาพทั้งในด้านข้อเท็จจริง และจุดยืนเหตุการณ์ครั้งนี้ แม้แต่นายกฯ กับกระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพเอง ก็ยืนอยู่บนข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน ทำให้ท่าทีของนายกฯ ในเรื่องนี้สับสน แกว่งไปแกว่งมา จนอาจจะทำให้ทางการกัมพูชาได้ประโยชน์ในชั้นศาล ทนายความที่รัฐบาลไทยจัดให้นั้น ก็อาจจะเกิดความสับสนในจุดยืนของรัฐบาลไทย จนทำให้ขาดน้ำหนักในการต่อสู้คดี ก็เป็นไปได้
" ผมเชื่อว่ากัมพูชากำลังใช้เล่ห์เหลี่ยม ออกแบบให้การต่อสู้ในคดีนี้ เปรียบเสมือนศาลโลกกลายๆ เพื่อให้คำพิพากษาของศาลกัมพูชาครั้งนี้ ส่งผลต่อข้อพิพาทในเรื่องดินแดนระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งกัมพูชา ก็จะใช้คำพิพากษาครั้งนี้เป็นข้ออ้างปกป้องพลเมืองตัวเองที่กำลังรุกล้ำดินแดนไทยในหลายพื้นที่ โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง และคำโต้แย้งของรัฐบาลไทย ซึ่งที่ผ่านมาทางการไทยก็ทำได้เพียงคัดค้านโต้แย้งด้วยเอกสารเท่านั้น"
นายสุริยะใส กล่าวว่า รัฐบาลไทยควรออกแถลงการณ์เพื่อแสดงจุดยืนให้ชัดเจนต่อรัฐบาลกัมพูชาว่าคนไทยทั้ง 7 คนไม่ได้รุกล้ำดินแดนกัมพูชา เพราะถ้าทางการไทยใช้หลักการเดียวกับกัมพูชา ที่จับกุมคนไทยครั้งนี้ เราก็สามารถจับกุมชาวกัมพูชา และชุมชนกัมพูชาอีกหลายพื้นที่ที่รุกล้ำดินแดนไทยจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งทางกัมพูชา ก็คงไม่ปรารถนาจะให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น
"ถ้อยแถลงที่เป็นทางการเท่านั้น จะเป็นพยานชิ้นสำคัญ เพื่อยืนยันในชั้นศาล เพราะเรื่องนี้เมื่อขึ้นศาลกัมพูชาโอกาสที่คนไทยจะได้รับการปล่อยตัวในชั้นศาล คงเป็นเรื่องยาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายกฯ ฮุนเซน จะไม่รับการติดต่อจากทางการไทยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะกัมพูชาจะใช้วิธีเดิมคือให้ศาลตัดสินถึงที่สุด แล้วค่อยให้ทางการไทยไปเจรจาเพื่อขอปล่อยตัวทั้ง 7 คน ถึงตอนนั้นทางการไทยก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หรือจำยอมรับเงื่อนไขกับกัมพูชาอีก ซึ่งกัมพูชาจะยิ่งได้ใจ ใช้คำตัดสินของศาลในคดีนี้ยกเป็นข้ออ้างปกป้องพลเมืองกัมพูชา ที่รุกล้ำดินแดนไทยอยู่ในหลายๆ พื้นที่ในขณะนี้" นายสุริยะใส กล่าว
***"คำให้การ 7 คนไทย ไม่ผูกพันรัฐบาลไทย"
นายพนัส ทัศนียานนท์ คณบดีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในรายการ "คมชัดลึก" เนชั่นแชนแนล ระบุว่า ประเด็นการต่อสู้ทางกฎหมายในข้อหาการรุกล้ำดินแดนกัมพูชา หากผู้ถูกจับกุมทั้ง 7 คน ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้รุกล้ำดินแดน คือ ต้องหาหลักฐานนำสืบพิสูจน์ให้ได้ว่าบริเวณนั้นเป็นพื้นที่ของไทย ซึ่งทางราชการของไทยทั้งผู้ว่าจังหวัดสระแก้ว, กรมแผนที่ทหาร และกระทรวงการต่างประเทศออกข่าวมาว่าเราเข้าไปในเขตของกัมพูชา ก็ไม่สามารถใช้อ้างอิงได้ ต้องเอาหลักฐานจากกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ, นายคำนูณ สิทธิสมาน, และน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ยืนยันว่าพื้นที่เป็นของไทยเอาไปอ้างอิง ซึ่งไม่มีทางที่ศาลกัมพูชาจะพิจารณาว่าที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของไทย
ในกรณีที่ถ้าหากให้การรับสารภาพ ก็เป็นการยอมรับว่าเรารุกล้ำดินแดนจริง แล้วก็ขอให้รอลงอาญา ถ้าบอกว่าไม่มีเจตนาก็เท่ากับเป็นการยอมรับเช่นกัน ซึ่งระบบไต่สวนของศาลกัมพูชาการพิจารณาเรียกหลักฐานต่างๆขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลเป็นหลัก อย่างไรก็ตามการให้การของกลุ่ม 7 คนนี้จะให้การรับสารภาพอย่างไร ก็ไม่สามารถผูกพันรัฐบาลไทยได้
นายพนัสกล่าวว่า ถ้าทางการไทยยืนยันว่าเป็นพื้นที่ของไทย ก็ต้องยืนยันว่ากัมพูชารุกล้ำดินแดนเข้ามาเหนืออธิปไตยของไทย แต่ที่ผ่านมาจากข่าวฝ่ายราชการไทยออกมาให้ข่าวว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ถ้าทางการไทยไม่แสดงท่าทีอย่างไรก็ไม่สามารถผูกมัดไทยได้ ซึ่งการที่จะผูกมัดรัฐบาลไทยได้ ต้องเป็นการแสดงท่าทีจากผู้ที่ได้รับมอบอำนาจเต็ม เช่น เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ได้รับการมอบหมายโดย มติครม. และเมื่อไปทำหน้าที่แสดงท่าทีอย่างไรแล้ว ก็ยังมีกฎหมายมาตรา 190 ตามรัฐธรรมนูญ ว่าต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาอีก ดังนั้น การที่ทั้ง 7 คน จะให้การอย่างไรก็ไม่สามารถผูกพันผูกมัดรัฐไทยได้ ซึ่งในวันขึ้นศาลทั้ง 7 คนสามารถให้การแตกต่างกันอย่างไรก็ได้ ถ้าให้การปฏิเสธศาลเขาก็สืบพยานหลักฐานต่อไป ถ้าให้การยอมรับศาลก็พิพากษาได้ทันที
***นักกม.ชี้ศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจตัดสินคดี
นายเจริญ คัมภีรภาพ นักกฎหมายระหว่างประเทศ ให้ความเห็นว่า คดีนี้ศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจพิจารณาและตัดสินคดี เพราะเป็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดนที่รัฐไทยและรัฐกัมพูชาต่างอ้างว่าเป็นดินแดนของตนเอง เป็นเรื่องของรัฐต่อรัฐ ไม่ใช่เรื่องคนหลบหนีเข้าเมือง ดังนั้นต้องใช้กลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐต่อรัฐตามกฎบัตรสหประชาชาติ ไม่ใช่ศาลของประเทศใดประเทศหนึ่งจะมีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีนี้
“ถ้าปล่อยให้ศาลกัมพูชาตัดสินคดีนี้ เท่ากับไทยไปยอมรับอำนาจศาลกัมพูชา และยอมรับว่าดินแดนที่เป็นข้อพิพาทกันอยู่นั้นเป็นของกัมพูชา” นายเจริญ กล่าว
นายเจริญ กล่าวว่า รัฐบาลไทยต้องดำเนินการในนามของรัฐไทยยื่นหนังสือต่อสหประชาชาติคัดค้านอำนาจศาลกัมพูชาว่าไม่มีอำนาจในการพิจารณาตัดสินคดีนี้โดยด่วน ก่อนที่ศาลกัมพูชาจะพิจารณาตัดสินคดี และทนายต้องยกข้อต่อสู้ในศาลกัมพูชาว่าเขาไม่มีอำนาจตัดสินเรื่องนี้
“ถ้าจะเอาทนายไปต่อสู้เพื่อให้ได้ประกันตัวเท่านั้นก็ถือว่ารัฐบาลไทยหน่อมแน้มสุดๆ” นายเจริญ กล่าว
***ทหารยันถูกจับบริเวณพื้นที่พิพาท
วานนี้ (5ม.ค.) คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น เป็นประธาน ได้ประชุมเพื่อพิจารณากรณีนายพนิช กับพวกรวม 7 คน ถูกทหารกัมพูชาจับกุมในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และแนวทางให้ความช่วยเหลือ โดยเชิญตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และผวจ.สระแก้ว ให้มาชี้แจง
นายชัช กิตตินภดล รอง ผวจ. สระแก้ว ชี้แจงกับที่ประชุมว่า จุดที่กลุ่มคนไทยถูกจับกุม อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนที่ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องเขตแดนในบริเวณชมรมหนองจาน ซึ่งเป็นคนละสถานที่กับหมู่บ้านหนองจาน อ.โนนหมากมุ่น จ.สะแก้ว โดยการถูกจับกุมของนายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ถือเป็นครั้งที่สองหลังจากเคยพยายามเข้าไปในพื้นที่ที่มีปัญหาและถูกจับกุม เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 53
พลตรี นพดล โชติศิริ รองเจ้ากรมแผนที่ทหาร กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุคนไทยถูกจับกุมเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 53 กระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปวัดพิกัด เพื่อกำหนดจุดที่ถูกจับกุมว่าอยู่ในพื้นที่ใด โดยเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่สำรวจในวันที่ 31 ธ.ค. ผลการวัดพิกัดสำรวจ พบว่าจุดที่คณะของนายพนิชถูกจับกุม อยู่ที่หน้าซุ้มประตูวัดโจกเจีย ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างจากหลักเขตแดนที่ 46 และ 47 เข้าไปในประเทศกัมพูชา 55 เมตร และอยู่ก่อนถึงทางเข้าวัดโจกเจีย ประมาณ 350 เมตร ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่อยู่ระหว่างการหาข้อยุติเรื่องการปักปันเขตแดน โดยชั้นต้นอยู่ในขั้นสำรวจปักปันเขตแดน
นายอนุสิษฐ คุณากร รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ปัญหาเรื่องชมรมบ้านหนองจานที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าเราไม่มีเจตนาบุกรุกอย่างแน่นอน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามปกติของชายแดน ที่หลักเขตแดนไม่ชัดเจน ไม่ควรยกระดับมาเป็นปัญหาระหว่างประเทศ รัฐบาลต้องทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่อยากให้ใช้เรื่องนี้มาหาประโยชน์ เพราะเรื่องกระบวนการตัดสินว่าผิดหรือถูกนั้นมีกฏหมายดูแลในเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงไม่ควรนำมาขยายผลให้เกิดความรุนแรง ในส่วนเรื่องเชิงนโยบาย เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา ครม. มีมติแแต่งตั้งคณะกรรมการเจบีซีชุดใหม่ขึ้นมา เพื่อจะสานต่อการทำงานในช่วงที่ผ่านมา
นายอดิศร ปกมนตรี เอกอัครราชทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า คาดว่าวันนี้ (6 ม.ค.) ทางศาลกัมพูชา จะพิจารณาคดีดังกล่าว ด้วยวิธีการไต่สวนซึ่งจะรวดเร็ว โดยทางกระทรวงการต่างประเทศประสานเอกอัครราชทูตกัมพูชาไว้หากมีโอกาสจะรีบประกันตัวคนไทยทั้งหมดทันที
***“เทพเทือก”อ้อนฮุนเซนเห็นแก่ความสัมพันธ์
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า รัฐบาลพยายามให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ มีการเจรจาประสานงานเป็นระยะๆ ส่วนการต่อสู้คดีความนั้นต้องว่าไปตามกระบวนการ หากทางศาลกัมพูชา อนุญาตให้ประกันตัวได้ เราก็จะประกันตัว
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลออกมาระบุว่า นายพนิช กับพวกรุกล้ำเข้าไปในดินแดนกัมพูชา แต่ภายหลังจาการประชุมครม.วงเล็กเมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่มีการนำเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ทหารหารือด้วย ทำให้ท่าทีของรัฐบาลเปลี่ยนแปลงไป เป็นไม่ยอมรับใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ได้หมายความอย่างนั้น การตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็ต้องดำเนินการกันไป เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดหนึ่งในหลายจุดที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับแนวแผนที่ที่ใช้กันอยู่ จึงจำเป็นต้องมีคณะกรรมการปักปันเขตแดนขึ้นมาและร่วมดูแลเขตแดนในหลายจุด และมีหลายจุดที่ต้องวางกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย หรือดูแลไม่ให้ชุมชนที่อยู่ในรอยต่อของพื้นที่ขยายตัวออกไป จนกว่าจะได้ข้อยุติในคณะกรรมการปักปันเขตแดน
ส่วนกรณีที่นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพิกเฉยไม่ตอบรับต่อความพยายามของไทย นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าสมเด็จฮุนเซนคิดอย่างไร เพราะยังไม่สามารถติดต่อสมเด็จฮุน เซน ได้โดยตรง เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ และไม่ทราบว่าสมเด็จฮุนเซน อยู่ที่ไหนอย่างไร
"ผมหวังว่าสมเด็จฮุนเซนจะได้เห็นแก่การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ท่านได้ร่วมกับนายกฯอภิสิทธิ์ แก้ไขสถานการณ์จนดีขึ้นในระดับที่ประชาชนของทั้งสอง ประเทศมีความสบายใจแล้ว ดังนั้นหวังว่าจะใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนบ้าน ที่เราหวังจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ช่วยแก้ไขปัญหานี้ ที่ผ่านมาผมพยายามติดต่อสมเด็จฮุนเซน อยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยโทรศัพท์โดยตรงกับสมเด็จฮุนเซน แต่เป็นการติดต่อผ่านคนช่วยประสานให้ แต่ยังติดต่อไม่ได้ " นายสุเทพกล่าว
***โฆษก ปชป.วอนคนไทยมีเอกภาพ
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายแสดงเอกภาพในการร่วมใจกันให้การช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับกุม โดยการยึดตามข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบเบื้องต้น พรรคยืนยันว่ามีข้อบ่งชี้หลายส่วนว่ามีความสับสนระหว่างการเดินทางของกลุ่มคนดังกล่าว โดยจะเห็นว่าในการเดินทางผ่านจุดตรวจที่ 48 ตามถนนศรีเพ็ญนั้น ทางคณะได้เดินเท้าไปตามถนน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวนั้นเคยมีความขัดแย้งและมีการปะทะกัน ดังนั้นทางการทั้งสองฝ่ายจึงจัดแนวรั้วลวดหนามเพื่อป้องกันการเผชิญหน้า แต่แนวรั้วดังกล่าวนั้น ไม่ได้อยู่แนวเดียวกันกับเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 ซึ่งเป็นหลักหมุดที่ใช้ในการอ้างอิงในทางปฏิบัติชั่วคราว ในขณะที่การเจรจาในเรื่องเขตแดนของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ทั้งสองฝ่ายยอมรับตรงกันว่าหลักหมุดที่ 46 และ 47 นั้น อาจมีความคลาดเคลื่อน จนกว่าจะมีกระบวนการทั้ง 5 ข้อ ตามกรอบของการทำงานร่วมกันของคณะกรรมาธิการร่วม ตามบันทึกความเข้าใจปี 2543
คือ 1. การหาหลักหมุดให้พบ 2. การสำรวจแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ 3. การกำหนดแนวเส้นประระหว่างหลักหมุดต่างๆ 4. การเดินสำรวจพื้นที่ในบริเวณดังกล่าว และ 5. การจัดทำแผนที่ ซึ่งประธานเจบีซีฝ่ายไทยโดยนายอัษฎา ชัยนาม ก็ยืนยันที่จะเดินหน้าหารือกับทางกัมพูชาในเดือนนี้ แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นคนละกรณีกับเหตุการที่เกิดขึ้น จากข้อมูลเบื้องต้น เห็นว่าเมื่อมีการผ่านจุดตรวจที่ 48 และรั้วลวดหนาม ซึ่งอยู่ถึงก่อนแนวเส้นประทั้งสอง มีหลักฐานอันจะเห็นได้ ทั้งจากการให้สัมภาษณ์เบื้องต้นในเจตนาของการตั้งใจที่จะไปสำรวจหลักหมุดที่ 46 ซึ่งนายพนิช พูดชัดว่า เข้าใจว่าเป็นฝั่งไทย แต่มีทหารกัมพูชายึดครองนั้น ปรากฎว่าในการเดินทาง เมื่อถึงสามแยกแล้ว อาจจะมีความสับสนในการเดินไปหลักหมุดที่ 46 แต่ปรากฎว่าคณะนั้นได้เดินไปทางขวา คือทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นจุดที่ถนนดังกล่าวตัดกับแนวเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 และเดินเข้าไปไม่ถึง 1,200 เมตร ตามที่มีการกล่าวอ้าง แต่เดินเข้าเพียง 55 เมตรเท่านั้น และหากยึดตามแนวสันปันน้ำอาจจะเดินเข้าไปไม่ถึง 10 เมตรด้วยซ้ำ
แสดงให้เห็นว่าจากความสับสนในภูมิประเทศ ประกอบกับความไม่ชัดเจนในเรื่องพื้นที่ที่มีปัญหาตามข้อร้องเรียน จะเห็นได้ว่าเจตนาในการเดินทางเพื่อสำรวจข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียน และเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งและแก้ปัญหาความสับสน ไม่ได้มีเจตนาในการยึดพื้นที่ดังกล่าวเพื่อสร้างประเด็นปัญหาทั้งสองประเทศ
ขณะเดียวกันจากคำพูดที่ปรากฎในวีดีโอคลิป หากดูในส่วนที่มีการพูดว่ากำลังจะเดินทางไปหลักหมุดที่ 46 เชื่อว่าอยู่ในฝั่งไทย แต่ว่าอยู่ภายใต้การคุมพื้นที่ของทหารกัมพูชา จะเห็นว่าอาจจะเกิดการหลงทาง แทนที่จะเดินทางไปหลักหมุดที่ 46 กลับเดินไปหลักหมุดที่ 47 และข้ามแนวเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยทั้ง 7 คน เชื่อว่าทุกฝ่าย รวมถึงกระบวนการและศาลกัมพูชาจะดูใน 2 เรื่องคือ 1. เจตนาในการเดินทาง 2. ข้อพิสูจน์ในการยืนยันว่าไม่มีความตั้งใจในการที่จะพลัดหลงเข้าไปในบริเวณดังกล่าว
***คำนูณ ท้านายกฯลงพื้นที่
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. เปิดเผยว่า วันที่ 5 ม.ค.ตนพร้อมด้วยส.ว.ในกลุ่มอีก 2 คนได้เดินทางลงพื้นที่ต.บ้านใหม่นองไทร อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ 7 คนไทยถูกจับ ได้พบกลุ่มชาวบ้านกว่า 10 คนทั้งหมดล้วนมีเอกสารสิทธิในที่ดินที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นของเขาทั้งนส.3ก. นส.2 หรือสค 1 โดยทั้งหมดเสียภาษีให้กับรัฐบาลไทยทุกปีแต่ไม่สามารถเข้าไปทำมาหากินได้ เพราะตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 ยูเอ็นได้ใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอพยพหนีภัยสงครามของชาวเขมร แต่เมื่อสงครามจบสิ้นก็ไม่ยอมกลับประเทศ โดยเฉพาะในจุดที่ 7 คนไทยถูกจับนั้นเป็นของไทยแน่นอนเพราะมีหลักฐานว่าเป็นที่ดินของนายเบ พูลสุข ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ยังเหลือแต่ลูกสาว แต่ผู้นำรัฐบาลโดยเฉพาะนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กลับไปยอมรับว่าคนไทยทั้ง 7 คนรุกล้ำเข้าในแผ่นดินกัมพูชา ปัญหาเหล่านี้เคยร้องเรียนตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ครั้งนั้นพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นรับปากว่าจะแก้ไขแต่ก็ไม่สนใจ เคยร้องเรียนไปยังนายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์สมัยเป็นฝ่ายค้านก็ไม่มีความคืบหน้า จึงต้องไปร้องเรียนกับนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ
นายคำนูณ กล่าวว่า ในฐานะวุฒิสมาชิกจึงขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของคนในพื้นที่จากการถูกเขมรรุกล้ำดินแดน แต่หากนายกฯไม่ลงพื้นที่ตนก็จะนำชาวบ้านกลุ่มนี้ไปพบนายกฯถึงทำเนียบฯจะได้ทราบข้อเท็จจริงเสียที
*** “มาร์ค” โยนบัวแก้วชี้แจง
เมื่อเวลา 15.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการเข้าพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เมื่อวันอังคารที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า ส่วนใหญ่เป็นการสอบถามเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน และสอบถามข้อเท็จจริงในหลายๆ เรื่อง ซึ่งก็ได้แจ้งให้ท่านทราบ ส่วนเรื่องของคนไทย 7 คนที่ถูกจับที่กัมพูชานั้น พล.อ.เปรมได้แสดงความห่วงใย และสอบถามแนวทางการแก้ไขปัญหา ตนก็ได้ลำดับข้อเท็จจริงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมไปถึงปัญหาในเรื่องของเขตแดนทั้งหมดที่เป็นห่วงกันขณะนี้ด้วย
ส่วนความคืบหน้าการช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกจับกุมที่กัมพูชา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศในการชี้แจงฝ่ายเดียว
เมื่อถามว่า ให้ความมั่นใจกับญาติทั้ง 7 คนไทยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เดินหน้าเต็มที่ในการดูแลในทุกๆเรื่อง ในแง่ที่บอกได้ก็คือ เรื่องความเป็นอยู่ ก็ดูว่ามีความยืดหยุ่นกันมากขึ้น เท่าที่มีการประสานงานกันวันนี้ ส่วนเรื่องอื่นถ้ามีอะไรคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบ
เมื่อถามว่า จนถึงขณะนี้ได้มีการพบปะกับญาติทั้ง 7 คนหรือยัง นายกฯ กล่าวว่า กำลังจะนัดหมายกันอยู่ ส่วนแม่และภริยาของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ได้พบตั้งแต่วันจันทร์ที่ 4 ธ.ค.แล้ว เมื่อถามว่า จนถึงขณะนี้คิดว่า มีทางออกหรือแสงสว่างที่จะคลี่คลายเรื่องนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีครับๆ ยังเชื่อว่า เดินได้
*** ทบ.ยังไม่เพิ่มทหารชายแดนไทย-เขมร
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการเพิ่มเติมกำลังแต่อย่างใด เพราะความสัมพันธ์ระหว่างทหารของกัมพูชา กับกองกำลังบูรพา มีการติดต่อประสานงานที่ดีกันอยู่เหมือนเดิม แต่คงมีการปรับขยับกำลังบ้างเล็กน้อย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ส่วนพื้นที่ที่คนไทยถูกจับกุมนั้น ตนยังไม่มีข้อมูลว่าเป็นพื้นที่ตรงไหนแน่ แต่น่าจะอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่แนวเขตพิพาท น่าจะอยู่ประมาณหน้าซุ้มประตูวัดโจกเจีย น่าจะประมาณ 50-55 เมตร จากแนวพิพาท ซึ่งการจะวัดพิกัดให้แน่ชัด ก็ต้องดูประกอบกับแผนที่ มาตราส่วน 1 ต่อ 5 หมื่น
***ม็อบ 2 ฝ่ายเผชิญหน้าหวิดปะทะ
วานนี้ (5 ม.ค.)ที่บริเวณเขตแนวชายแดนบ้านหนองจาน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ประมาณ 400-500 คน ต้องการจะเดินทางเข้าไปในพื้นที่บริเวณหลักเขต 46 ซึ่งเป็นจุดที่ 7 คนถูกจับเพื่อต้องการมาดูพื้นที่จริง
การเดินทางเข้ามาของกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ได้ถูกชาวบ้านหนองจานประมาณ 200 คนได้ออกมาต่อต้านและคัดค้านไม่ให้กลุ่มดังกล่าวเข้าไปในพื้นที่อย่างเด็ดขาด เพราะจะสร้างผลกระทบต่อการค้าชายแดนและความสัมพันธ์ของประชาชนชาวไทยและประชาชนชาวเขมรตามแนวชายแดน โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารพรานประมาณ 300-400 คน คอยดูแลรักษาความเรียบร้อยเพื่อไม่ให้ประชาชนชาวไทยทั้ง 2 ฝ่ายทะเลาะกันจนเกิดเหตุบานปลาย
เวลา 14.30 น. ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วย พล.ต.วลิต ได้อนุญาตให้ทางเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ส่งตัวแทนเข้าไปยังพื้นที่มีปัญหาบริเวณหลักหมุดที่ 46 ได้ 7 คนนำโดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ พร้อมผู้สื่อข่าวจากทุกสำนัก 23 คนโดยให้เวลา 30 นาที หลังจากนั้นต้องรีบออกมา เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ผู้สื่อรายงานว่าหลังจากทางผู้ว่าฯได้อนุญาตให้ตัวแทนเครือข่ายประชาชนไทยหัวไจรักชาติ เข้าพื้นที่ได้แล้วแต่ปรากฏว่า กลุ่มประชาชนบ้านหนองจานที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมดังกล่าวกลับไม่ยินยอมและยังไม่ยอมเปิดทางให้จนต้องมีการเจรจากันอีกครั้งสุดท้ายชาวบ้านก็ยอมเปิดทางให้
*** “สุริยะใส”จี้รัฐแถลงจุดยืนปกป้องคนไทย
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (กมม.) กล่าวว่า ชะตากรรมของคนไทยทั้ง 7 คนในขณะนี้ ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะถ้าดูแนวทางการต่อสู้ของรัฐบาลไม่ค่อยเป็นเอกภาพทั้งในด้านข้อเท็จจริง และจุดยืนเหตุการณ์ครั้งนี้ แม้แต่นายกฯ กับกระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพเอง ก็ยืนอยู่บนข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน ทำให้ท่าทีของนายกฯ ในเรื่องนี้สับสน แกว่งไปแกว่งมา จนอาจจะทำให้ทางการกัมพูชาได้ประโยชน์ในชั้นศาล ทนายความที่รัฐบาลไทยจัดให้นั้น ก็อาจจะเกิดความสับสนในจุดยืนของรัฐบาลไทย จนทำให้ขาดน้ำหนักในการต่อสู้คดี ก็เป็นไปได้
" ผมเชื่อว่ากัมพูชากำลังใช้เล่ห์เหลี่ยม ออกแบบให้การต่อสู้ในคดีนี้ เปรียบเสมือนศาลโลกกลายๆ เพื่อให้คำพิพากษาของศาลกัมพูชาครั้งนี้ ส่งผลต่อข้อพิพาทในเรื่องดินแดนระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งกัมพูชา ก็จะใช้คำพิพากษาครั้งนี้เป็นข้ออ้างปกป้องพลเมืองตัวเองที่กำลังรุกล้ำดินแดนไทยในหลายพื้นที่ โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง และคำโต้แย้งของรัฐบาลไทย ซึ่งที่ผ่านมาทางการไทยก็ทำได้เพียงคัดค้านโต้แย้งด้วยเอกสารเท่านั้น"
นายสุริยะใส กล่าวว่า รัฐบาลไทยควรออกแถลงการณ์เพื่อแสดงจุดยืนให้ชัดเจนต่อรัฐบาลกัมพูชาว่าคนไทยทั้ง 7 คนไม่ได้รุกล้ำดินแดนกัมพูชา เพราะถ้าทางการไทยใช้หลักการเดียวกับกัมพูชา ที่จับกุมคนไทยครั้งนี้ เราก็สามารถจับกุมชาวกัมพูชา และชุมชนกัมพูชาอีกหลายพื้นที่ที่รุกล้ำดินแดนไทยจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งทางกัมพูชา ก็คงไม่ปรารถนาจะให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น
"ถ้อยแถลงที่เป็นทางการเท่านั้น จะเป็นพยานชิ้นสำคัญ เพื่อยืนยันในชั้นศาล เพราะเรื่องนี้เมื่อขึ้นศาลกัมพูชาโอกาสที่คนไทยจะได้รับการปล่อยตัวในชั้นศาล คงเป็นเรื่องยาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายกฯ ฮุนเซน จะไม่รับการติดต่อจากทางการไทยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะกัมพูชาจะใช้วิธีเดิมคือให้ศาลตัดสินถึงที่สุด แล้วค่อยให้ทางการไทยไปเจรจาเพื่อขอปล่อยตัวทั้ง 7 คน ถึงตอนนั้นทางการไทยก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หรือจำยอมรับเงื่อนไขกับกัมพูชาอีก ซึ่งกัมพูชาจะยิ่งได้ใจ ใช้คำตัดสินของศาลในคดีนี้ยกเป็นข้ออ้างปกป้องพลเมืองกัมพูชา ที่รุกล้ำดินแดนไทยอยู่ในหลายๆ พื้นที่ในขณะนี้" นายสุริยะใส กล่าว
***"คำให้การ 7 คนไทย ไม่ผูกพันรัฐบาลไทย"
นายพนัส ทัศนียานนท์ คณบดีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในรายการ "คมชัดลึก" เนชั่นแชนแนล ระบุว่า ประเด็นการต่อสู้ทางกฎหมายในข้อหาการรุกล้ำดินแดนกัมพูชา หากผู้ถูกจับกุมทั้ง 7 คน ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้รุกล้ำดินแดน คือ ต้องหาหลักฐานนำสืบพิสูจน์ให้ได้ว่าบริเวณนั้นเป็นพื้นที่ของไทย ซึ่งทางราชการของไทยทั้งผู้ว่าจังหวัดสระแก้ว, กรมแผนที่ทหาร และกระทรวงการต่างประเทศออกข่าวมาว่าเราเข้าไปในเขตของกัมพูชา ก็ไม่สามารถใช้อ้างอิงได้ ต้องเอาหลักฐานจากกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ, นายคำนูณ สิทธิสมาน, และน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ยืนยันว่าพื้นที่เป็นของไทยเอาไปอ้างอิง ซึ่งไม่มีทางที่ศาลกัมพูชาจะพิจารณาว่าที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของไทย
ในกรณีที่ถ้าหากให้การรับสารภาพ ก็เป็นการยอมรับว่าเรารุกล้ำดินแดนจริง แล้วก็ขอให้รอลงอาญา ถ้าบอกว่าไม่มีเจตนาก็เท่ากับเป็นการยอมรับเช่นกัน ซึ่งระบบไต่สวนของศาลกัมพูชาการพิจารณาเรียกหลักฐานต่างๆขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลเป็นหลัก อย่างไรก็ตามการให้การของกลุ่ม 7 คนนี้จะให้การรับสารภาพอย่างไร ก็ไม่สามารถผูกพันรัฐบาลไทยได้
นายพนัสกล่าวว่า ถ้าทางการไทยยืนยันว่าเป็นพื้นที่ของไทย ก็ต้องยืนยันว่ากัมพูชารุกล้ำดินแดนเข้ามาเหนืออธิปไตยของไทย แต่ที่ผ่านมาจากข่าวฝ่ายราชการไทยออกมาให้ข่าวว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ถ้าทางการไทยไม่แสดงท่าทีอย่างไรก็ไม่สามารถผูกมัดไทยได้ ซึ่งการที่จะผูกมัดรัฐบาลไทยได้ ต้องเป็นการแสดงท่าทีจากผู้ที่ได้รับมอบอำนาจเต็ม เช่น เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ได้รับการมอบหมายโดย มติครม. และเมื่อไปทำหน้าที่แสดงท่าทีอย่างไรแล้ว ก็ยังมีกฎหมายมาตรา 190 ตามรัฐธรรมนูญ ว่าต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาอีก ดังนั้น การที่ทั้ง 7 คน จะให้การอย่างไรก็ไม่สามารถผูกพันผูกมัดรัฐไทยได้ ซึ่งในวันขึ้นศาลทั้ง 7 คนสามารถให้การแตกต่างกันอย่างไรก็ได้ ถ้าให้การปฏิเสธศาลเขาก็สืบพยานหลักฐานต่อไป ถ้าให้การยอมรับศาลก็พิพากษาได้ทันที
***นักกม.ชี้ศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจตัดสินคดี
นายเจริญ คัมภีรภาพ นักกฎหมายระหว่างประเทศ ให้ความเห็นว่า คดีนี้ศาลกัมพูชาไม่มีอำนาจพิจารณาและตัดสินคดี เพราะเป็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดนที่รัฐไทยและรัฐกัมพูชาต่างอ้างว่าเป็นดินแดนของตนเอง เป็นเรื่องของรัฐต่อรัฐ ไม่ใช่เรื่องคนหลบหนีเข้าเมือง ดังนั้นต้องใช้กลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐต่อรัฐตามกฎบัตรสหประชาชาติ ไม่ใช่ศาลของประเทศใดประเทศหนึ่งจะมีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีนี้
“ถ้าปล่อยให้ศาลกัมพูชาตัดสินคดีนี้ เท่ากับไทยไปยอมรับอำนาจศาลกัมพูชา และยอมรับว่าดินแดนที่เป็นข้อพิพาทกันอยู่นั้นเป็นของกัมพูชา” นายเจริญ กล่าว
นายเจริญ กล่าวว่า รัฐบาลไทยต้องดำเนินการในนามของรัฐไทยยื่นหนังสือต่อสหประชาชาติคัดค้านอำนาจศาลกัมพูชาว่าไม่มีอำนาจในการพิจารณาตัดสินคดีนี้โดยด่วน ก่อนที่ศาลกัมพูชาจะพิจารณาตัดสินคดี และทนายต้องยกข้อต่อสู้ในศาลกัมพูชาว่าเขาไม่มีอำนาจตัดสินเรื่องนี้
“ถ้าจะเอาทนายไปต่อสู้เพื่อให้ได้ประกันตัวเท่านั้นก็ถือว่ารัฐบาลไทยหน่อมแน้มสุดๆ” นายเจริญ กล่าว
***ทหารยันถูกจับบริเวณพื้นที่พิพาท
วานนี้ (5ม.ค.) คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น เป็นประธาน ได้ประชุมเพื่อพิจารณากรณีนายพนิช กับพวกรวม 7 คน ถูกทหารกัมพูชาจับกุมในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และแนวทางให้ความช่วยเหลือ โดยเชิญตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และผวจ.สระแก้ว ให้มาชี้แจง
นายชัช กิตตินภดล รอง ผวจ. สระแก้ว ชี้แจงกับที่ประชุมว่า จุดที่กลุ่มคนไทยถูกจับกุม อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนที่ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องเขตแดนในบริเวณชมรมหนองจาน ซึ่งเป็นคนละสถานที่กับหมู่บ้านหนองจาน อ.โนนหมากมุ่น จ.สะแก้ว โดยการถูกจับกุมของนายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ถือเป็นครั้งที่สองหลังจากเคยพยายามเข้าไปในพื้นที่ที่มีปัญหาและถูกจับกุม เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 53
พลตรี นพดล โชติศิริ รองเจ้ากรมแผนที่ทหาร กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุคนไทยถูกจับกุมเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 53 กระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปวัดพิกัด เพื่อกำหนดจุดที่ถูกจับกุมว่าอยู่ในพื้นที่ใด โดยเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่สำรวจในวันที่ 31 ธ.ค. ผลการวัดพิกัดสำรวจ พบว่าจุดที่คณะของนายพนิชถูกจับกุม อยู่ที่หน้าซุ้มประตูวัดโจกเจีย ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างจากหลักเขตแดนที่ 46 และ 47 เข้าไปในประเทศกัมพูชา 55 เมตร และอยู่ก่อนถึงทางเข้าวัดโจกเจีย ประมาณ 350 เมตร ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่อยู่ระหว่างการหาข้อยุติเรื่องการปักปันเขตแดน โดยชั้นต้นอยู่ในขั้นสำรวจปักปันเขตแดน
นายอนุสิษฐ คุณากร รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ปัญหาเรื่องชมรมบ้านหนองจานที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าเราไม่มีเจตนาบุกรุกอย่างแน่นอน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามปกติของชายแดน ที่หลักเขตแดนไม่ชัดเจน ไม่ควรยกระดับมาเป็นปัญหาระหว่างประเทศ รัฐบาลต้องทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่อยากให้ใช้เรื่องนี้มาหาประโยชน์ เพราะเรื่องกระบวนการตัดสินว่าผิดหรือถูกนั้นมีกฏหมายดูแลในเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงไม่ควรนำมาขยายผลให้เกิดความรุนแรง ในส่วนเรื่องเชิงนโยบาย เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา ครม. มีมติแแต่งตั้งคณะกรรมการเจบีซีชุดใหม่ขึ้นมา เพื่อจะสานต่อการทำงานในช่วงที่ผ่านมา
นายอดิศร ปกมนตรี เอกอัครราชทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า คาดว่าวันนี้ (6 ม.ค.) ทางศาลกัมพูชา จะพิจารณาคดีดังกล่าว ด้วยวิธีการไต่สวนซึ่งจะรวดเร็ว โดยทางกระทรวงการต่างประเทศประสานเอกอัครราชทูตกัมพูชาไว้หากมีโอกาสจะรีบประกันตัวคนไทยทั้งหมดทันที
***“เทพเทือก”อ้อนฮุนเซนเห็นแก่ความสัมพันธ์
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า รัฐบาลพยายามให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ มีการเจรจาประสานงานเป็นระยะๆ ส่วนการต่อสู้คดีความนั้นต้องว่าไปตามกระบวนการ หากทางศาลกัมพูชา อนุญาตให้ประกันตัวได้ เราก็จะประกันตัว
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลออกมาระบุว่า นายพนิช กับพวกรุกล้ำเข้าไปในดินแดนกัมพูชา แต่ภายหลังจาการประชุมครม.วงเล็กเมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่มีการนำเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ทหารหารือด้วย ทำให้ท่าทีของรัฐบาลเปลี่ยนแปลงไป เป็นไม่ยอมรับใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ได้หมายความอย่างนั้น การตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็ต้องดำเนินการกันไป เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดหนึ่งในหลายจุดที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับแนวแผนที่ที่ใช้กันอยู่ จึงจำเป็นต้องมีคณะกรรมการปักปันเขตแดนขึ้นมาและร่วมดูแลเขตแดนในหลายจุด และมีหลายจุดที่ต้องวางกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย หรือดูแลไม่ให้ชุมชนที่อยู่ในรอยต่อของพื้นที่ขยายตัวออกไป จนกว่าจะได้ข้อยุติในคณะกรรมการปักปันเขตแดน
ส่วนกรณีที่นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพิกเฉยไม่ตอบรับต่อความพยายามของไทย นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าสมเด็จฮุนเซนคิดอย่างไร เพราะยังไม่สามารถติดต่อสมเด็จฮุน เซน ได้โดยตรง เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ และไม่ทราบว่าสมเด็จฮุนเซน อยู่ที่ไหนอย่างไร
"ผมหวังว่าสมเด็จฮุนเซนจะได้เห็นแก่การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ท่านได้ร่วมกับนายกฯอภิสิทธิ์ แก้ไขสถานการณ์จนดีขึ้นในระดับที่ประชาชนของทั้งสอง ประเทศมีความสบายใจแล้ว ดังนั้นหวังว่าจะใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนบ้าน ที่เราหวังจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ช่วยแก้ไขปัญหานี้ ที่ผ่านมาผมพยายามติดต่อสมเด็จฮุนเซน อยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยโทรศัพท์โดยตรงกับสมเด็จฮุนเซน แต่เป็นการติดต่อผ่านคนช่วยประสานให้ แต่ยังติดต่อไม่ได้ " นายสุเทพกล่าว
***โฆษก ปชป.วอนคนไทยมีเอกภาพ
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายแสดงเอกภาพในการร่วมใจกันให้การช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับกุม โดยการยึดตามข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบเบื้องต้น พรรคยืนยันว่ามีข้อบ่งชี้หลายส่วนว่ามีความสับสนระหว่างการเดินทางของกลุ่มคนดังกล่าว โดยจะเห็นว่าในการเดินทางผ่านจุดตรวจที่ 48 ตามถนนศรีเพ็ญนั้น ทางคณะได้เดินเท้าไปตามถนน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวนั้นเคยมีความขัดแย้งและมีการปะทะกัน ดังนั้นทางการทั้งสองฝ่ายจึงจัดแนวรั้วลวดหนามเพื่อป้องกันการเผชิญหน้า แต่แนวรั้วดังกล่าวนั้น ไม่ได้อยู่แนวเดียวกันกับเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 ซึ่งเป็นหลักหมุดที่ใช้ในการอ้างอิงในทางปฏิบัติชั่วคราว ในขณะที่การเจรจาในเรื่องเขตแดนของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ทั้งสองฝ่ายยอมรับตรงกันว่าหลักหมุดที่ 46 และ 47 นั้น อาจมีความคลาดเคลื่อน จนกว่าจะมีกระบวนการทั้ง 5 ข้อ ตามกรอบของการทำงานร่วมกันของคณะกรรมาธิการร่วม ตามบันทึกความเข้าใจปี 2543
คือ 1. การหาหลักหมุดให้พบ 2. การสำรวจแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ 3. การกำหนดแนวเส้นประระหว่างหลักหมุดต่างๆ 4. การเดินสำรวจพื้นที่ในบริเวณดังกล่าว และ 5. การจัดทำแผนที่ ซึ่งประธานเจบีซีฝ่ายไทยโดยนายอัษฎา ชัยนาม ก็ยืนยันที่จะเดินหน้าหารือกับทางกัมพูชาในเดือนนี้ แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นคนละกรณีกับเหตุการที่เกิดขึ้น จากข้อมูลเบื้องต้น เห็นว่าเมื่อมีการผ่านจุดตรวจที่ 48 และรั้วลวดหนาม ซึ่งอยู่ถึงก่อนแนวเส้นประทั้งสอง มีหลักฐานอันจะเห็นได้ ทั้งจากการให้สัมภาษณ์เบื้องต้นในเจตนาของการตั้งใจที่จะไปสำรวจหลักหมุดที่ 46 ซึ่งนายพนิช พูดชัดว่า เข้าใจว่าเป็นฝั่งไทย แต่มีทหารกัมพูชายึดครองนั้น ปรากฎว่าในการเดินทาง เมื่อถึงสามแยกแล้ว อาจจะมีความสับสนในการเดินไปหลักหมุดที่ 46 แต่ปรากฎว่าคณะนั้นได้เดินไปทางขวา คือทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นจุดที่ถนนดังกล่าวตัดกับแนวเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 และเดินเข้าไปไม่ถึง 1,200 เมตร ตามที่มีการกล่าวอ้าง แต่เดินเข้าเพียง 55 เมตรเท่านั้น และหากยึดตามแนวสันปันน้ำอาจจะเดินเข้าไปไม่ถึง 10 เมตรด้วยซ้ำ
แสดงให้เห็นว่าจากความสับสนในภูมิประเทศ ประกอบกับความไม่ชัดเจนในเรื่องพื้นที่ที่มีปัญหาตามข้อร้องเรียน จะเห็นได้ว่าเจตนาในการเดินทางเพื่อสำรวจข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียน และเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งและแก้ปัญหาความสับสน ไม่ได้มีเจตนาในการยึดพื้นที่ดังกล่าวเพื่อสร้างประเด็นปัญหาทั้งสองประเทศ
ขณะเดียวกันจากคำพูดที่ปรากฎในวีดีโอคลิป หากดูในส่วนที่มีการพูดว่ากำลังจะเดินทางไปหลักหมุดที่ 46 เชื่อว่าอยู่ในฝั่งไทย แต่ว่าอยู่ภายใต้การคุมพื้นที่ของทหารกัมพูชา จะเห็นว่าอาจจะเกิดการหลงทาง แทนที่จะเดินทางไปหลักหมุดที่ 46 กลับเดินไปหลักหมุดที่ 47 และข้ามแนวเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยทั้ง 7 คน เชื่อว่าทุกฝ่าย รวมถึงกระบวนการและศาลกัมพูชาจะดูใน 2 เรื่องคือ 1. เจตนาในการเดินทาง 2. ข้อพิสูจน์ในการยืนยันว่าไม่มีความตั้งใจในการที่จะพลัดหลงเข้าไปในบริเวณดังกล่าว
***คำนูณ ท้านายกฯลงพื้นที่
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. เปิดเผยว่า วันที่ 5 ม.ค.ตนพร้อมด้วยส.ว.ในกลุ่มอีก 2 คนได้เดินทางลงพื้นที่ต.บ้านใหม่นองไทร อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ 7 คนไทยถูกจับ ได้พบกลุ่มชาวบ้านกว่า 10 คนทั้งหมดล้วนมีเอกสารสิทธิในที่ดินที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นของเขาทั้งนส.3ก. นส.2 หรือสค 1 โดยทั้งหมดเสียภาษีให้กับรัฐบาลไทยทุกปีแต่ไม่สามารถเข้าไปทำมาหากินได้ เพราะตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 ยูเอ็นได้ใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอพยพหนีภัยสงครามของชาวเขมร แต่เมื่อสงครามจบสิ้นก็ไม่ยอมกลับประเทศ โดยเฉพาะในจุดที่ 7 คนไทยถูกจับนั้นเป็นของไทยแน่นอนเพราะมีหลักฐานว่าเป็นที่ดินของนายเบ พูลสุข ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ยังเหลือแต่ลูกสาว แต่ผู้นำรัฐบาลโดยเฉพาะนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กลับไปยอมรับว่าคนไทยทั้ง 7 คนรุกล้ำเข้าในแผ่นดินกัมพูชา ปัญหาเหล่านี้เคยร้องเรียนตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ครั้งนั้นพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นรับปากว่าจะแก้ไขแต่ก็ไม่สนใจ เคยร้องเรียนไปยังนายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์สมัยเป็นฝ่ายค้านก็ไม่มีความคืบหน้า จึงต้องไปร้องเรียนกับนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ
นายคำนูณ กล่าวว่า ในฐานะวุฒิสมาชิกจึงขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของคนในพื้นที่จากการถูกเขมรรุกล้ำดินแดน แต่หากนายกฯไม่ลงพื้นที่ตนก็จะนำชาวบ้านกลุ่มนี้ไปพบนายกฯถึงทำเนียบฯจะได้ทราบข้อเท็จจริงเสียที
*** “มาร์ค” โยนบัวแก้วชี้แจง
เมื่อเวลา 15.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการเข้าพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เมื่อวันอังคารที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า ส่วนใหญ่เป็นการสอบถามเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน และสอบถามข้อเท็จจริงในหลายๆ เรื่อง ซึ่งก็ได้แจ้งให้ท่านทราบ ส่วนเรื่องของคนไทย 7 คนที่ถูกจับที่กัมพูชานั้น พล.อ.เปรมได้แสดงความห่วงใย และสอบถามแนวทางการแก้ไขปัญหา ตนก็ได้ลำดับข้อเท็จจริงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมไปถึงปัญหาในเรื่องของเขตแดนทั้งหมดที่เป็นห่วงกันขณะนี้ด้วย
ส่วนความคืบหน้าการช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกจับกุมที่กัมพูชา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศในการชี้แจงฝ่ายเดียว
เมื่อถามว่า ให้ความมั่นใจกับญาติทั้ง 7 คนไทยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เดินหน้าเต็มที่ในการดูแลในทุกๆเรื่อง ในแง่ที่บอกได้ก็คือ เรื่องความเป็นอยู่ ก็ดูว่ามีความยืดหยุ่นกันมากขึ้น เท่าที่มีการประสานงานกันวันนี้ ส่วนเรื่องอื่นถ้ามีอะไรคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบ
เมื่อถามว่า จนถึงขณะนี้ได้มีการพบปะกับญาติทั้ง 7 คนหรือยัง นายกฯ กล่าวว่า กำลังจะนัดหมายกันอยู่ ส่วนแม่และภริยาของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ได้พบตั้งแต่วันจันทร์ที่ 4 ธ.ค.แล้ว เมื่อถามว่า จนถึงขณะนี้คิดว่า มีทางออกหรือแสงสว่างที่จะคลี่คลายเรื่องนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีครับๆ ยังเชื่อว่า เดินได้
*** ทบ.ยังไม่เพิ่มทหารชายแดนไทย-เขมร
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการเพิ่มเติมกำลังแต่อย่างใด เพราะความสัมพันธ์ระหว่างทหารของกัมพูชา กับกองกำลังบูรพา มีการติดต่อประสานงานที่ดีกันอยู่เหมือนเดิม แต่คงมีการปรับขยับกำลังบ้างเล็กน้อย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ส่วนพื้นที่ที่คนไทยถูกจับกุมนั้น ตนยังไม่มีข้อมูลว่าเป็นพื้นที่ตรงไหนแน่ แต่น่าจะอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่แนวเขตพิพาท น่าจะอยู่ประมาณหน้าซุ้มประตูวัดโจกเจีย น่าจะประมาณ 50-55 เมตร จากแนวพิพาท ซึ่งการจะวัดพิกัดให้แน่ชัด ก็ต้องดูประกอบกับแผนที่ มาตราส่วน 1 ต่อ 5 หมื่น
***ม็อบ 2 ฝ่ายเผชิญหน้าหวิดปะทะ
วานนี้ (5 ม.ค.)ที่บริเวณเขตแนวชายแดนบ้านหนองจาน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ประมาณ 400-500 คน ต้องการจะเดินทางเข้าไปในพื้นที่บริเวณหลักเขต 46 ซึ่งเป็นจุดที่ 7 คนถูกจับเพื่อต้องการมาดูพื้นที่จริง
การเดินทางเข้ามาของกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ได้ถูกชาวบ้านหนองจานประมาณ 200 คนได้ออกมาต่อต้านและคัดค้านไม่ให้กลุ่มดังกล่าวเข้าไปในพื้นที่อย่างเด็ดขาด เพราะจะสร้างผลกระทบต่อการค้าชายแดนและความสัมพันธ์ของประชาชนชาวไทยและประชาชนชาวเขมรตามแนวชายแดน โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารพรานประมาณ 300-400 คน คอยดูแลรักษาความเรียบร้อยเพื่อไม่ให้ประชาชนชาวไทยทั้ง 2 ฝ่ายทะเลาะกันจนเกิดเหตุบานปลาย
เวลา 14.30 น. ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วย พล.ต.วลิต ได้อนุญาตให้ทางเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ส่งตัวแทนเข้าไปยังพื้นที่มีปัญหาบริเวณหลักหมุดที่ 46 ได้ 7 คนนำโดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ พร้อมผู้สื่อข่าวจากทุกสำนัก 23 คนโดยให้เวลา 30 นาที หลังจากนั้นต้องรีบออกมา เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ผู้สื่อรายงานว่าหลังจากทางผู้ว่าฯได้อนุญาตให้ตัวแทนเครือข่ายประชาชนไทยหัวไจรักชาติ เข้าพื้นที่ได้แล้วแต่ปรากฏว่า กลุ่มประชาชนบ้านหนองจานที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมดังกล่าวกลับไม่ยินยอมและยังไม่ยอมเปิดทางให้จนต้องมีการเจรจากันอีกครั้งสุดท้ายชาวบ้านก็ยอมเปิดทางให้