โฆษก ปชป.ยังงมโข่งยืนยัน “พนิช” พร้อมคนไทยรวม 7 คนรุกล้ำเข้าไปในเขตแดนเขมร อ้างพลัดหลงไม่มีเจตนาสร้างประเด็นปัญหาให้ 2 ประเทศ บอกนายกฯ รู้แค่ “พนิช” จะลงพื้นที่ปราจีนบุรี ไม่ใช่สระแก้ว เรียกร้องคนไทยมีเอกภาพช่วยคนที่ถูกจับกุม ชี้การเคลื่อนไหวใกล้เขตแดนให้ปล่อยตัวไม่เป็นผลดีต่อ 7 คนไทย
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการดำเนินการให้ความช่วยเหลือคนไทย 7 คนที่ถูกทางกัมพูชาจับกุมว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายแสดงเอกภาพในการร่วมใจกันให้การช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับกุม โดยการยึดตามข้อเท็จจริง พร้อมทั้งให้ข้อมูลที่มีความสอดคล้องกับผลการหารือของคณะกรรมการร่วมที่มีข้อบ่งชี้ให้เห็นว่ามีการเข้าใจผิดในการเดินทางในช่วงรอยต่อของประเทศทั้งสอง พรรคมีความกังวลหากมีฝ่ายใดเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ทางการเมือง หรือสร้างประเด็นความขัดแย้งระหว่างคนไทยด้วยกันเอง รวมถึงการเพิ่มความเสี่ยงในการเผชิญหน้ากับประเทศกัมพูชา ในการเคลื่อนคนไปยังพื้นที่ที่คนไทยถูกจับกุม ทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อโอกาสของคนไทยทั้ง 7 คนในการรับการพิจารณาเพื่อรับอิสรภาพ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นนั้น พรรคยืนยันว่ามีข้อบ่งชี้หลายส่วนว่ามีความสับสนระหว่างการเดินทางของกลุ่มคนดังกล่าว โดยจะเห็นว่าในการเดินทางผ่านจุดตรวจที่ 48 ตามถนนศรีเพ็ญนั้น ทางคณะได้เดินเท้าไปตามถนนซึ่งพื้นที่ดังกล่าวนั้นเคยมีความขัดแย้งและมีการปะทะกัน ดังนั้น ทางการทั้งสองฝ่ายจึงจัดแนวรั้วลวดหนามเพื่อป้องกันการเผชิญหน้า แต่แนวรั้วดังกล่าวไม่ได้อยู่แนวเดียวกันกับเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 ซึ่งเป็นหลักหมุดที่ใช้ในการอ้างอิงในทางปฏิบัติชั่วคราว ในขณะที่การเจรจาในเรื่องเขตแดนของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ทั้งสองฝ่ายยอมรับตรงกันว่า หลักหมุดที่ 46 และ 47 นั้นอาจมีความคลาดเคลื่อน จนกว่าจะมีกระบวนการทั้ง 5 ข้อ ตามกรอบของการทำงานร่วมกันของคณะกรรมาธิการร่วม ตามบันทึกความเข้าใจปี 2543
นั่นคือ 1.การหาหลักหมุดให้เจอ 2.การสำรวจแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ 3.การกำหนดแนวเส้นประระหว่างหลักหมุดต่างๆ 4.การเดินสำรวจพื้นที่ในบริเวณดังกล่าว และ 5.การจัดทำแผนที่ ซึ่งกระบวนการส่วนนี้ประธานเจบีซีฝ่ายไทย โดยนายอัษฎา ชัยนาม ก็ยืนยันที่จะเดินหน้าหารือกับทางกัมพูชาในเดือนนี้ แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นคนละกรณีกับเหตุการที่เกิดขึ้น เพราะจากข้อมูลเบื้องต้น เห็นว่าเมื่อมีการผ่านจุดตรวจที่ 48 และรั้วลวดหนาม ซึ่งอยู่ถึงก่อนแนวเส้นประทั้งสอง มีหลักฐานอันจะเห็นได้ ทั้งจากการให้สัมภาษณ์เบื้องต้นในเจตนาของการตั้งใจที่จะไปสำรวจหลักหมุดที่ 46 ซึ่งนายพนิชพูดชัดว่า เข้าใจว่าเป็นฝั่งไทย แต่มีทหารกัมพูชายึดครองนั้น ปรากฏว่าในการเดินทางเมื่อถึงสามแยกแล้วอาจจะมีความสับสนในการเดินไปหลักหมุดที่ 46 แต่ปรากฏว่าคณะนั้นได้เดินไปทางขวา คือทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นจุดที่ถนนดังกล่าวตัดกับแนวเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 และเดินเข้าไปไม่ถึง 1,200 เมตร ตามที่มีการกล่าวอ้าง แต่เดินเข้าเพียง 55 เมตรเท่านั้น และหากยึดตามแนวสันปันน้ำอาจจะเดินเข้าไปไม่ถึง 10 เมตรด้วยซ้ำ
นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า แสดงให้เห็นว่าจากความสับสนในภูมิประเทศ ประกอบกับความไม่ชัดเจนในเรื่องพื้นที่ที่มีปัญหาตามข้อร้องเรียน จะเห็นได้ว่าเจตนาในการเดินทางเพื่อสำรวจข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียน และเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งและแก้ปัญหาความสับสน ไม่ได้มีเจตนาในการยึดพื้นที่ดังกล่าวเพื่อสร้างประเด็นปัญหาทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกัน จากคำพูดที่ปรากฏในวิดีโอคลิป หากดูในส่วนที่มีการพูดว่ากำลังจะเดินทางไปหลักหมุดที่ 46 เชื่อว่าอยู่ในฝั่งไทย แต่ว่าอยู่ภายใต้การคุมพื้นที่ของทหารกัมพูชา จะเห็นว่าอาจจะเกิดการหลงทาง แทนที่จะเดินทางไปหลักหมุดที่ 46 กลับเดินไปหลักหมุดที่ 47 และข้ามแนวเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยทั้ง 7 คน เชื่อว่าทุกฝ่าย รวมถึงกระบวนการและศาลกัมพูชาจะดูใน 2 เรื่อง คือ 1.เจตนาในการเดินทาง 2.ข้อพิสูจน์ในการยืนยันว่าไม่มีความตั้งใจในการที่จะพลัดหลงเข้าไปในบริเวณดังกล่าว
ส่วนที่มีข่าวสับสนเกี่ยวกับการรับรู้ของนายกฯ นั้น พรรคยืนยันว่านายกฯ รับทราบจากการแจ้งของนายพนิชว่าได้มีเรื่องร้องเรียนส่งมายังสำนักสันติอโศก และมีการประสานงานมายังนายพนิช ในฐานะเจ้าของพื้นที่เลือกตั้ง และก่อนหน้านี้นายพนิชก็เคยเป็นผู้ช่วย รมว.ต่างประเทศ อีกทั้งในปัจจุบันยังเป็นกรรมาธิการเขตแดนร่วมเจบีซี จึงได้แจ้งให้นายกฯทราบว่าจะไปสำรวจพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ฝ่ายไทย โดยในข้อร้องเรียนบอกว่าเป็นพื้นที่ใน จ.ปราจีนบุรี ไม่ใช่ จ.สระแก้ว นายกฯ จึงเข้าใจว่าเดินทางไปที่ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งความซับซ้อนในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี มีน้อยกว่า จ.สระแก้ว ขณะเดียวกันนายกฯ ก็ไม่ทราบว่านายวีระเดินทางไปด้วย
ส่วนที่มีความพยายามกล่าวว่านายกฯ รู้เห็นเพียงคนเดียวนั้น ขอยืนยันว่าเป็นความคลาดเคลื่อนที่จงใจสร้างความเข้าใจผิดจากการเผยแพร่คลิป เฉพาะ 1 นาที คำพูดของนายพนิช นั้น หมายความว่าเป็นการเดินทางเพื่อประสานงานในเรื่องการร้องเรียน นายพนิช ได้แจ้งให้นายกฯทราบแล้วก่อนการเดินทาง และเมื่อมีการเปลี่ยนจังหวัดในการเดินทาง ทำให้การประสานงานกับ ตชด.เกิดความบกพร่อง และขาดการประสานงานกัน ยืนยันว่ารัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันประสานในทุกทางในหลายระดับเพื่อให้ความช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 คน เท่ากันทั้งหมดเพื่อให้ได้รับอิสรภาพ
“สิ่งที่พรรควิตกในขณะนี้ คือ การชุมนุมของคนไทยหัวใจรักชาติที่ชายแดน ซึ่งขณะนี้มีการสร้างความเข้าใจว่ามีการสั่งการจากรัฐบาลให้ประชาชน จ.สระแก้ว เข้าต่อต้านการชุมนุมดังกล่าว ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่ประสงค์ให้ฝ่ายใดชุมนุมในขณะที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย และความเสี่ยงที่จะเกิดจากความเข้าใจผิด หรือความวุ่นวายจากการชุมนุม รวมถึงการเผชิญหน้าระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อเรื่องนี้ อยากให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันนำเสนอข้อเท็จจริงที่ได้รับทั้งจากพื้นที่ ภาพถ่ายทางอากาศ พิกัดและจากการประสานงานทั้งสองฝ่าย ให้ข้อมูลส่วนนี้เป็นประโยชน์กับทางรัฐบาล ที่ได้จัดทนายความ 2 คน เพื่อช่วยเหลือคนไทยทั้ง 7 คน” นพ.บุรณัชย์กล่าว