ผ่าประเด็นร้อน
การออกมายอมรับของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเมื่อวานนี้ (4 ธันวาคม) ว่าเป็นคนส่ง พนิช วิกิตเศรษฐ์ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ไปดูปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยิ่งสร้างความมึนงงสงสัยให้กับหลายคนว่าการจับกุม 7 คนไทยในครั้งนี้มี “เบื้องหลัง” อะไรกันแน่
ขณะเดียวกันยังมีข่าวที่ชวนหัวเสียทำนองว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีส่วนรู้เห็นกับการจับกุมคนไทยดังกล่าว แม้ว่าจะมีการปฏิเสธทันควันอย่างสิ้นเชิง แต่มันก็กลายเป็นประเด็นในสมองเพิ่มขึ้นมาอีก
นอกจากนี้ยังมีคำยืนยันแบบด่วนสรุปของแกนนำคนสำคัญในรัฐบาล ตั้งแต่ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น ทั้งที่ยังไม่มีตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือฟังแค่ “คลิป” เท่านั้นซึ่งอาจ “ตัดต่อ” หรือเปล่าไม่รู้ว่า “คนไทยล้ำแดน” จนถูกจับ ทำนอง “แส่หาเรื่อง” เข้าไปเอง ประมาณนั้น
และที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือคำพูดของคนในรัฐบาลทุกคนก็คือ “ไม่อยากให้มีการเคลื่อนไหวชุมนุมโดยอ้างว่าจะทำให้การช่วยเหลือคนไทยทำได้ยากขึ้น”
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 25 มกราคม กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีกำหนดนัดชุมนุมใหญ่ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา ปี 2543 (เอ็มโอยู43) และให้ถอนวาระการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี)จำนวน 3 ฉบับออกจากสภา เนื่องจากทำให้ไทยเสียเปรียบ ทำให้ต้องเสียดินแดนทั้งทางบกและทางทะเลนับล้านไร่
นั่นเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยภาพรวมๆ แล้วก็น่าเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันอย่างบังเอิญ
หากไล่เรียงกันทีละเรื่องมันก็จะเห็นกลิ่น “ทะแม่ง” โชยมา แบบมีเบื้องหลังซับซ้อนขึ้นมาทันที เริ่มตั้งแต่การยอมรับแบบ “จนมุม” ของนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่กล่าวก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีว่าเขาเป็นคนส่ง พนิช ไปดูปัญหาพื้นที่ชายแดน ตามที่มีคนไทยในบริเวณนั้นร้องเรียนมา เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนในเรื่องการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เคยมีมาแต่เดิม นั่นคือปัจจุบันพื้นที่บริเวณนั้นเป็นของกัมพูชาไปแล้ว
คำถามก็คือ ทำไมต้องส่ง พนิช ไปในพื้นที่ในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นช่วงก่อนการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 25 มกราคม และทำไมทุกคนในรัฐบาลถึงต้องออกมาปรามไม่ให้มีการชุมนุมเพื่อให้ทางการกัมพูชาปล่อยตัว 7 คนไทย โดยอ้างว่าจะสร้างปัญหาให้ยุ่งยากขึ้นไปอีก ทั้งที่เป็นการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเป็นอิสระไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์เลยแม้แต่น้อย
เมื่อย้อนกลับไปดูคำพูดของแกนนำในรัฐบาลที่ออกมาพูดในโทนเดียวกันว่า “ดูจากคลิป” แล้วเห็นว่าคนไทยล้ำแดนจริง โดยเฉพาะ รองนายกฯ สุเทพ ถึงกับไปไกลบอกว่า “รุกเข้าไปถึงสองร้อยเมตร” เป็นการ “ยอมรับความผิด” โดยทันทีโดยไม่ต้องมีการตรวจสอบให้แน่ชัด ทั้งที่บริเวณแถบนั้นต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดสังเกตเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นในวันถัดมาสิ่งที่คนไทยรอคอยก็คือ รอดูว่ารัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับกุมออกมาอย่างไรบ้าง หลังจากมีการหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แต่กลายเป็นว่ารัฐบาลไทยไปยอมรับกระบวนการทุกอย่างของกัมพูชา และสิ่งที่ทำได้ก็คือ เตรียมตั้งทนายไปสู้คดี รวมไปถึงการยื่นเรื่องประกันตัวในวันที่ 6 มกราคม ในวันที่ศาลนัดไต่สวน
แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจเดาล่วงหน้าได้ว่าจะได้รับการประกันตัวออกมาหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ถือว่าไทยได้ “เล่นตามเกม” ฝ่ายโน้น และ “เสียเปรียบ” ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับทางฝ่ายกัมพูชาจะเมตตาว่าจะอภัยโทษให้เมื่อไหร่เท่านั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อมองอีกมุมหนึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ที่ทำให้มีความรู้สึกระแวง คิดไปได้ว่า นายกฯอภิสิทธิ์ กับ พนิช มีการ “รับรู้” กัน รวมไปถึงคนอื่นๆในรัฐบาลที่รีบออกมาด่วนสรุปว่าพื้นที่บริเวณนั้น (หลักเขตแดนที่ 46) เป็นของกัมพูชา ทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ให้แน่ชัด
ประเด็นที่ต้องพิจารณาตามมาก็คือ หากเราไปยอมรับพื้นที่เป็นของกัมพูชาแล้ว ทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบในทุกประตู ซึ่งจะหมายรวมไปถึงพื้นที่บริเวณอื่นๆ ที่ยังมีปัญหาตามมาอีกด้วย
นอกจากนี้ กรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าวมันเหมือนกับว่าเป็นการ “จัดฉาก” ของนายกรัฐมนตรีกับคนในรัฐบาลบางคนเพื่อทำลายความชอบธรรมไม่ให้มีการชุมนุมในวันที่ 25 มกราคม หรือการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนผู้รักชาติอื่นๆสังเกตได้จากการพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการชุมนุมทำให้การช่วยเหลือคนไทยยุ่งยาก เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ฝ่ายกัมพูชาเข้าใจว่าเป็นการกดดัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลก
เป็นเรื่องแปลกตั้งแต่แรกที่เราไปด่วนยอมรับพื้นที่ฝ่ายตรงข้ามโดยที่ยังไม่มีการตรวจสอบ เพราะหากนำไปเปรียบเทียบกับกรณีของต่างประเทศที่มีการอ้างสิทธิเหนือดินแดน ยกตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ที่ฝ่ายหลังมีการจับกุมลูกเรือประมงของจีนหลังจากกล่าวหาว่ารุกล้ำเข้ามาในบริเวณเกาะพิพาท ซึ่งฝ่ายจีนไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น ทำทุกทางกดดันให้ญี่ปุ่นปล่อยตัวทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ขณะที่ประชาชนพลเรือนต่างก็ออกมาร่วมมือกันชุมนุมต่อต้านญี่ปุ่นกันทั่วประเทศ ไม่เห็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนออกมาปรามคนของตัวเองว่า “อย่าทำ” เหมือนกับที่รัฐบาลอภิสิทธิ์กำลังห้ามคนไทยไม่ให้เคลื่อนไหวสร้างความขุ่นเคืองใจกัมพูชาอยู่ในตอนนี้
ดังนั้น แม้ว่ายังไม่อาจสรุปได้ว่าการที่คนไทยทั้ง 7 คน ซึ่งรวมถึง พนิช วิกิตเศรษฐ์ ถูกจับกุมมาจากสาเหตุอะไรกันแน่ แต่รับรองว่าต้องมีเบื้องหลังซับซ้อนอย่างแน่นอน และโดยเฉพาะคำพูดของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ยอมรับว่าได้ส่ง พนิช ไปตรวจสอบพื้นที่มันก็ยิ่งทะแม่งมากขึ้นไปอีก!!