xs
xsm
sm
md
lg

คำถามถึงรัฐบาลไทย ทำไมต้องเป็นเบี้ยล่างเขมร!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

งามหน้าตามเคย กับผลงานของรัฐบาลไทยที่นำโดยนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาลที่มีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ มี ผู้บัญชาการทหารบกคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

หลังจากได้รับการเฉลย “ข่าวดี” ล่าสุดเมื่อเช้าวานนี้ (26 มกราคม) ว่าฝ่ายกัมพูชาได้ยอมเปลี่ยนป้ายที่เคยเขียนข้อความประณามทหารไทยและคนไทยว่า “เป็นผู้รุกราน” ออกไปแล้วแต่กลายเป็นว่าได้เปลี่ยนข้อความในป้ายดังกล่าวเสียใหม่ว่า “ที่นี่แผ่นดินกัมพูชา”
 

หมายความว่า ขณะนี้ฝ่ายกัมพูชาได้ “ประกาศเขตอำนาจอธิปไตย” เหนือพื้นที่ของไทยในแถบนั้นทั้งหมดแล้ว ขณะที่ท่าทีล่าสุดของนายกรัฐมนตรีหลังรับทราบข่าวก็ได้แต่บอกว่า “เขารื้อเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”
 

หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ได้ย้ำว่า มอบหมายให้ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชาตามหน้าที่รับผิดชอบให้รื้อถอนป้ายข้อความที่เขียนประณามไทยว่าเป็น “ผู้รุกราน” ซึ่งในเวลาต่อมา ผู้บัญชาการทหารบกออกมาเปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กำลังเจรจากับ พล.อ.เตียบัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา และว่าอีก 2-3 วันจะมี “ข่าวดี” ซึ่งในที่สุดก็มีข่าวดีจริงๆ แต่กลายเป็นว่ามีการเปลี่ยนข้อความใหม่เป็น “ที่นี่ดินแดนกัมพูชา” เรียบร้อยแล้ว

ความหมายก็เห็นชัดเจนแล้วว่าหมายถึงอะไร เพราะนอกจากไม่ยอมรื้อป้ายออกไปแล้ว ยังเหิมเกริมประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าวซึ่งถือว่าเป็นของไทย หรืออย่างน้อยก็เป็นดินแดนที่ยังมีข้อพิพาท ยังไม่มีการปักปันเขตแดนให้ชัดเจน ไม่สมควรที่ฝ่ายใดจะอ้างสิทธิ หรือหากจะยึดตามบันทึกความเข้าใจในเรื่องการปักปันเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชา (เอ็มโอยู 43) ตามที่นายกฯ อภิสิทธิ์ “ท่องจำ” อยู่เป็นประจำว่าพื้นที่ใดก็ตามที่มีปัญหา ห้ามไม่ให้อีกฝ่ายไปตั้งชุมชน กำลังทหาร หรือแม้แต่สิ่งปลูกสร้างใดๆ ก็ตามจนกว่าจะมีการตกลงปักปันให้เรียบร้อยก่อน

แต่การกระทำของฝ่ายกัมพูชาครั้งนี้นอกจากเป็นการอหังการ ไม่สนใจฝ่ายไทยแล้ว ที่สำคัญไม่เห็นกองทัพไทยอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร ในขอบเขต 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งที่ผ่านมาทางฝ่ายกัมพูชาพยายามอ้างสิทธิเหนือดินแดนดังกล่าว เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบ ทำให้การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกมีผลสำเร็จโดยสมบูรณ์ตามเงื่อนไขขององค์การยูเนสโก ที่เคยรับรองการขึ้นทะเบียนของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวในยุครัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ที่ทำหนังสือรับรองไปแล้ว

การปักป้ายเพื่อประณามไทยว่าเป็นผู้รุกราน หรือรุกล้ำดินแดนกัมพูชาในพื้นที่ของไทย หรืออย่างเลวร้ายที่สุดก็เป็นแค่พื้นที่ทับซ้อนหรือพื้นที่พิพาทตามที่มักชอบกล่าวอ้างกันเสมอ ถือว่าเป็นการรุกคืบเข้ามาโดยการแสดงเอกสารหลักฐานให้ปรากฏอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และการที่ล่าสุดทางฝ่ายกัมพูชาได้เปลี่ยนป้ายใหม่โดยเขียนข้อความใหม่ว่า “ที่นี่กัมพูชา” หรือ “ที่นี่ดินแดนกัมพูชา” มันก็เหมือนกับว่านี่คือการประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนให้ทั้งฝ่ายไทยและให้โลกได้รับรู้

ขณะที่ท่าทีของฝ่ายไทยไล่เรียงลงมาตั้งแต่ผู้นำประเทศ คือ นายกรัฐมนตรีที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวโดยระบุว่า “เขาเปลี่ยนป้ายเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” แสดงให้เห็นถึงความไม่รู้ร้อนรู้หนาว และตกเป็นเบี้ยล่างประเทศกัมพูชาอย่างไม่น่าเชื่อ

แม้ว่าล่าสุดตอนบ่ายวันเดียวกันจะเปลี่ยนคำพูดใหม่ อ้างว่ากัมพูชาปลดป้ายออกหมดแล้วก็ตาม รวมไปถึงใช้แสนยานุภาพทางทหารขึ้นไปผลักดันเปลี่ยนแปลงจนเป็นผลสำเร็จ มันก็สะท้อนให้เห็นว่าหากเราเอาจริง มันก็สามารถทวงสิทธิความชอบธรรมให้แก่ประเทศได้ตลอดเวลา หากดำเนินการจริงจัง

หากพิจารณาเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็มิได้แตกต่างกัน และอาจเลวร้ายกว่านี้ด้วยซ้ำไปนั่นคือกรณี 7 คนไทยถูกกัมพูชาจับกุมไปก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ และคนในรัฐบาลที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็ออกมากล่าวในลักษณะเดียวกันก็คือ สรุปความผิดให้คนไทยดังกล่าวเสร็จสรรพ พร้อมทั้งให้ยอมรับในคำตัดสินของศาลกัมพูชา ทั้งที่ในบริเวณนั้นยังเป็นพื้นที่พิพาท ซึ่งต่อมานายกฯออกทีวียอมรับเองว่ายัง “ไม่มีความชัดเจน” เนื่องจากไม่มีการปักปันเขตแดน ซึ่งเป็นท่าทีที่กลับไปกลับมา แต่ก็ส่งผลให้ คนไทยทั้ง7 ซึ่งรวมถึง พนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ต้องติดคุกกัมพูชา ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ของไทย หรือพื้นที่พิพาท

ทั้งที่ตามหลักการรัฐบาลไทยต้องมีท่าทีแข็งกร้าวในการพิสูจน์อธิปไตย ต้องประท้วงและให้ปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข เหมือนกับทุกประเทศที่มีปัญหาในเรื่องดินแดนทำนองเดียวกัน ไม่ใช่ไปอ่อนข้อตั้งแต่แรก ทำให้เกิดผลเสียมากมายตามมา

นอกเหนือจากคนไทยจะต้องถูกตัดสินความผิดอย่างไม่เป็นธรรมแล้ว กรณีที่เกิดขึ้นยังถือว่ารัฐบาลไทยได้ยกอำนาจอธิปไตยทางศาลให้กับกัมพูชาอีกด้วย ซึ่งจะมีผลต่อการอ้างสิทธิเหนือดินแดนเหล่านั้นตามมาแน่นอน เพราะมีคำพูดของคนในรัฐบาลไทยปรากฏเป็นหลักฐานอย่างชัดเจน

เมื่อวกกลับมาที่ป้ายเขมรกล่าวหาว่าไทยรุกรานแล้วล่าสุดเปลี่ยนข้อความใหม่ ถือว่าเป็นการตบหน้ารัฐบาลไทย ฝ่ายความมั่นคงไทย และกองทัพไทยอย่างเต็มเปา สะท้อนให้เห็นว่า “ผู้นำ” ไม่มีพลังที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกรงใจได้เลยแม้แต่น้อย

ในทางตรงข้าม ยังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพ จนทำให้ประชาชนที่อยู่แนวหลังไม่มั่นใจ เพราะกรณีพื้นที่ที่มีปัญหาตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชายังมีอีกหลายจุดที่ไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถูกกัมพูชารุกล้ำเข้ามาเรื่อยๆ!!

กำลังโหลดความคิดเห็น