xs
xsm
sm
md
lg

บันได 10 ขั้น ยุบสภาใน 9 เดือนกับ “ชนะในสนามรบ ชนะบนโต๊ะเจรจา”

เผยแพร่:   โดย: สำราญ รอดเพชร

-1-

สัปดาห์ก่อนโน้นรำพึงรำพันเขียนถึงบทบาทลีลาของคุณน้อง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แห่ง “สามเกลอหัวขวด” ในทำนองให้ความสำคัญว่าเขาได้พัฒนาการปราศรัย และเป็นหัวใจสำคัญของนายหน้าเหลี่ยม ทักษิณ ชินวัตร..ปรากฏว่ามิตรรักแฟนเพลงจำนวนหนึ่งออกอาการทุเรศเวทนาคุณสำราญ รอดเพชร ..อยู่พอประมาณ

ก็ไม่ว่ากันครับ เพราะถึงอย่างไรในฐานะผู้เฝ้าติดตามสถานการณ์ของบ้านเมือง รวมทั้งเวทีคนเสื้อแดงคนหนึ่ง ผมก็ยังยืนยันว่าวันนี้ “เดอะเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คือขุนพลคนสำคัญของเวทีคนเสื้อแดง ถ้าไม่มีอดีตดาวสภาโจ๊กคนนี้ผมว่าแนวรบและเวทีคนเสื้อแดงงานกร่อยไปเยอะ..

พูดก็พูดเถอะ ถ้าแกนนำ นปช.หยิบเอา คุณหมอเหวง โตจิราการ ออกจากทีมเจรจาแล้วใส่ชื่อ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ลงไปแทน ผมว่าการเจรจาจะมีเนื้อหาสาระได้ประเด็นกันมากกว่านี้ และทีมเสื้อแดงคงไม่ลงจากเวทีด้วยความบอบช้ำ เพราะถูกสอนมวยจากคนชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างน้อยถึงแพ้ก็ไม่แพ้แบบหมดรูปอย่างที่เห็น

เพราะกว่า 5 ชั่วโมงจาก 2 วันของการเจรจา (29, 30 มี.ค.)..ถ้าจะมองการเจรจาแบบดูมวยฝั่ง นปช.นั้น วันแรก จตุพร พรหมพันธุ์ เป็นมือทำคะแนน วันที่สอง วีระ มุสิกพงศ์ เป็นคนทำคะแนน ส่วนหมอเหวงนั้นเพื่อนๆ ผมลงมติว่าหลุดโลกเฟอะฟะทั้งสองวัน..ควรไปทำงานด้านอื่น

ส่วนทางซีกรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นมวยหลัก มี ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ และ กอรปศักดิ์ สภาวสุ เป็นตัวช่วยชั้นดี...

สรุปว่า บนโต๊ะเจรจาที่มีการถ่ายทอดสดรัฐบาลชนะขาด ที่ชนะเพราะส่วนใหญ่พูดอยู่บนข้อเท็จจริงและพยายามหาทางออกให้กับสถานการณ์

ส่วน นปช.คนเสื้อแดงนั้นพลาดแล้วพลาดเลยเหวงแล้วเหวงเลย จึงเป็นหน้าที่ของคุณพี่ จรัล ดิษฐาอภิชัย ต้องขึ้นเวทีจัดรายการภาษาไทยวันละคำแก้เกี้ยวกันไป ขณะผมปั่นต้นฉบับนี้ (สายวันที่ 30 มี.ค.) คุณพี่จรัลกำลังอธิบายความคำว่า “เจรจา” อยู่พอดิบพอดี ซึ่งแม้จะพยายามพูดให้เป็นบวกและปลุกปลอบคนเสื้อแดงแค่ไหนอย่างไร แต่ผมมองตาทะลุถึงหัวใจคุณพี่จรัลก็พอจะเดาออกว่า..เหี่ยวแฟบเต็มที...

ก็ช่วยไม่ได้..คิดการใหญ่ทำสงครามไพร่โค่นอำมาตย์ แต่แค่กำหนดทีมเจรจาก็พลาดท่าซะแล้ว

จากนี้ไปหากจะมีการเจรจารอบสามรอบสี่รอบห้า...ผมว่าเลิกการถ่ายทอดสดได้แล้ว เพราะสองครั้งสองครารัฐบาลได้ให้คุณค่าให้ความสำคัญคนเสื้อแดงมากเพียงพอแล้ว และอย่าเพิ่งหลงลำพองว่ารัฐบาลชนะแล้ว เพราะสงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร เพราะที่สุดของที่สุดของจอมบงการสงครามคนเสื้อแดง ค่อนข้างชัดเจนว่ากำลังตอกย้ำสัญญาณ “ต้องชนะในสนามรบ จึงชนะบนโต๊ะเจรจา”

แปลไทยเป็นไทยว่า ที่ชูธงสันติ อหิงสา ก็ชูกันไป แต่อีกแนวรบคือ เอ็ม 79 คือระเบิดบาปกระสุนบ้า คือความรุนแรงที่ยังจะมีการปูพรมกดดันรัฐบาลให้ยอมจำนนตามข้อเสนอ..

จาก 15 – 30 มี.ค.มีปฏิบัติการระเบิดบาปกระสุนบ้า 15 ครั้ง จับคนร้ายได้เพียงกรณีเดียวคือแท็กซี่ที่ปาระเบิดสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง 5 สนามเป้า และออกหมายจับกรณีถล่มอาร์พีจีข้างกระทรวงกลาโหม นี่คือจุดอ่อนจุดกดดันและอาจจะเป็นจุดผันเปลี่ยนของรัฐบาล...

-2-

แม้พรรคประชาธิปัตย์จะวาดหวังให้รัฐบาลอยู่จนครบเทอม แต่โดยความเชื่อส่วนตัวแต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่เชื่อว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะลากยาวให้ครบเทอมในเดือนธ.ค.2554 แต่เชื่อว่าอย่างน้อยพยายามลากให้ผ่านเดือน ก.ย. 2553 ไปให้ได้ เพื่อการใหญ่อย่างน้อย 2 เรื่อง คือ 1) ผ่านกฎหมายงบประมาณรายจ่ายปี 2554 และ 2) ผ่านการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ..โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งตั้ง ผบ.ทบ.คนใหม่สืบแทนพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

การตั้งกรอบเวลา 9 เดือน หรือสิ้นปี 2553 แล้วยุบสภาจึงเป็นธงการเจรจา

นสพ.มติชน ออนไลน์ ฉบับเมื่อวาน (30 มี.ค.) รายงานข่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลได้จัดทำตารางเวลาเป็นบันได 10 ขั้น โดยกำหนดยุบสภาในวันที่ 21 พ.ย. 2553 และเลือกตั้งใหม่เดือนม.ค. 2554 ดังนี้

1) วันที่ 30 มี.ค. 2553 นำเสนอประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น (ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ) ต่อที่ประชุมครม.เพื่อลงประชามติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 (1)

2) วันที่ 1-2 เม.ย. 2553 เข้าพบประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาเพื่อแจ้งเรื่องมติ ครม.ให้ทราบว่าจะมีการทำประชามติ

3) วันที่ 5 เม.ย. 2553 ประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาให้มีการทำประชามติ

4) วันที่ 11 ก.ค. 2253 วันลงประชามติว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นหรือไม่

5) วันที่ 20 ก.ค. 2553 แจ้งผลการลงประชามติให้ ครม.พิจารณาเพื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภาตามมาตรา 291

6) วันที่ 28 ก.ค. 2553 รัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระหนึ่ง (รับหลักการ)

7) วันที่ 16 ต.ค. 2553 คาดว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านรัฐสภา

8) วันที่ 20 พ.ย. 2553 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข

9) วันที่ 21 พ.ย. ออกพระราชกฤษฎีกายุบสภา

10) เดือนม.ค. 2554 เลือกตั้งทั่วไป

.............................

ถ้าส่วนใหญ่เดินไปตามบันได 10 ขั้นตามข่าวนี้จริง เราก็พอจะมองเห็นว่า ข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตามแถลงการณ์ฉบับที่ 6/2553 วันที่ 29 มี.ค. 2553 ให้รัฐบาลใช้โอกาสนี้ปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูปสังคม ปฏิรูปการเมืองเพื่อเป็นทางออกจากวิกฤต รวมทั้งข้อเสนอของใครต่อใครให้รัฐบาลทำตามนโยบาย(เร่งด่วนในปีแรก) ที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาว่าจะตั้งคณะกรรมการปฏิรูปทางการมือง ก็ยากที่จะเป็นจริง

ที่สำคัญการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น 99 เปอร์เซ็นต์ก็แก้เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมือง ซึ่งพันธมิตรฯ และกลุ่มพลังต่างๆ ได้แสดงจุดยืนคัดค้านกันมาแล้ว..

ดังนั้นแผนบันได 10 ขั้น หากประชามติไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขแล้วจะว่าอย่างไร?

จะว่าไปบันได 10 ขั้น ก็ไม่ง่าย

ไฉนเล่า นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงไม่กล้าที่จะปฏิรูปประเทศไทยทั้งระบบ เลือกทำตามนโยบายที่ตัวเองแถลงเอาไว้...

ปัญหาต่างๆ ที่กำลังปะทุปะทะกันในวันนี้ เป็นผลมาจาก 15 เดือนที่รัฐบาลได้ปล่อยปละละเลยการสะสางปัญหา เป็นผลมาจากการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด..

แล้วจะยอมก้าวพลาดจนก้าวสุดท้าย เดือนสุดท้ายแห่งอำนาจเช่นนั้นหรือ!!??

                          samr_rod@hotmail.com
กำลังโหลดความคิดเห็น