“คำนูณ” ย้ำนายกฯ ต้องปฏิรูปประเทศก่อนยุบสภา ระบุสถานการณ์กำลังวิกฤต จะบริหารแบบสถานการณ์ปกติไม่ได้ เตือนอันตรายเสื้อแดงรับข่าวสารด้านเดียว แกนนำฉวยโอกาสฝังหัวเรื่องความเหลื่อมล้ำ โยงสงครามชนชั้น ติง “ชำนิ” ไม่ช่วยนายกฯ ตอบโต้ “เหวง” หลุดโลก ทำตัวเป็นคอมฯ หลงยุค ระบุแกนนำแดงหาทางลง แต่ปลุกระดมไว้แรงเกิน ลงได้ยาก
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “แอน จินดารัตน์”
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวในรายการ “แอน จินดารัตน์” ทางเอเอสทีวี เมื่อคืนวันที่ 29 มี.ค. ถึงการเจรจาระหว่างฝ่ายรัฐบาลและแกนนำคนเสื้อแดงรอบที่ 2 ในวันดังกล่าวว่า การถ่ายทอดสด เป็นการให้ศึกษาครั้งใหญ่แก่ประชาชน ให้เห็นว่าแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร ประชาชนจะได้เห็นว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจอะไรโดยมีฐานประชาชนรองรับ อย่างน้อยได้รู้ว่านายกฯ ไม่คิดจะอยู่ครบวาระ แต่จะอยู่แค่สิ้นปี ก็เป็นประเด็นต่อว่า เมื่อถึงสิ้นปี ท่านจะทำอะไร ซึ่งเป็นเด็นสำคัญไม่แพ้เรื่องการจัดการม็อบเสื้อแดง
นายคำนูณกล่าวต่อว่า ในเวลานี้นายกฯ ต้องบริหารจัดการการชุมนุม ซึ่งก็มีสูตรที่ต้องทำ กับต้องบริหารประเทศในลักษณะที่ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ว่าสถานการณ์ประเทศขณะนี้เป็นสถานการณ์วิกฤติ ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ดังนั้น นายกฯ จึงต้องเป็นผู้นำในการปฏิรูปประเทศ แต่การเจรจาครั้งนี้นายกฯ ยังพยายามดำรงตนเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว ดำเนินการไปเหมือนบ้านเมืองเป็นปกติ เมื่อมีคนมาชุมนุมและมีข้อเรียกร้องก็เรียกมาเจรจา ขณะเดียวกัน นายกฯ ก็ถูกกดดันจากสังคม มีคนพยายามทำตัวเป็นตัวกลางเจรจา แต่ที่จริงคนกลางก็คือประชาชนที่ได้ดูทีวีรวมถึงคนเสื้อแดงด้วย ทำให้อย่างน้อยรัฐบาลได้ถ่ายทอดสิ่งที่รัฐบาลคิดไปถึงคนเสื้อแดงโดยตรง ก็ถือเป็นความสำเร็จ
นายคำนูณกล่าวอีกว่า คนเสื้อแดงที่มาชุมนุมมาจากการจัดตั้งก็มี คนที่เชื่อโดยบริสุทธ์ใจเพราะเสพรับข่าวสารด้านเดียวก็มีไม่น้อย สิ่งที่แกนนำคนเสื้อแดงหยิบมาเป็นตัวประกัน ฉกฉวยมาอ้างอิง คือปัญหาที่เป็นปัญหาพื้นฐานสังคมไทยที่ดำรงมายาวนาน ปัญหาประชาประชาธิปไตย ทุนนิยมไทยที่ได้รับการพัฒนาไม่สมดุล ช่องว่างจนรวย หรือ สองนคราประชาธิปไตย สิ่งนี้มีอยู่จริง แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณก็ใช้ประชานิยมเข้าไป เป็นความชาญฉลาดทางการเมือง สิ่งเหล่านี้เขาเสพรับเข้าไป แล้ว 4 ปีที่ผ่านมาหลัง 19 ก.ย. ตั้งแต่รัฐบาลสุรยุทธ์ก็ไม่ได้ทำความเข้าใจกับประชาชน ปัญหามันจึงสั่งสมมา พอคนเสื้อแดงจับหยิบยกขึ้นมา ปรับเข้ากับทฤษีชนชั้นของเขาก็กลายเป็นเรื่องอันตราย
นายคำนูณกล่าวว่า การเจรจาวันนี้ ใครได้ใครเสียก็ขึ้นอยู่กับว่าแฟนใครแฟนมัน แต่นายกฯ รับศึกหนักไปหน่อย ฝ่ายคนเสื้อแดงแบ่งบทกันเล่น นายวีระ มุสิกพงศ์ เล่นบทเป็นผู้ใหญ่ นิ่งพร้อมรับข้อเสนอ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็สไตล์เดิม ส่วนนายแพทย์เหวง โตจิราการ ก็ถือว่าหลุดโลกไปเลย ยังกับเป็น “เหมา” กลับชาติมาเกิด แต่ฝ่ายรัฐบาลมีนายกฯ รับเกือบคนเดียว ซึ่งโดยปกตินายกฯ มีความเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ดี พอโดนนายจตุพรหนักๆ เข้าก็หน้าแดง ใครโดนแบบนั้นก็หนัก แต่ท่านเจอแบบนี้มามามาก ก็พอเอาอยู่ แต่ถือว่านายกฯ ไม่มีตัวช่วยชนเลย นายชำนิ ศักดิเศรษฐ คนเดือนตุลาเช่นเดียวกับหมอเหวง น่าจะรู้ทันกันและทำลายความน่าเชื่อถือกลับไปบ้าง แต่นายชำนิอ่อนซ้อมไป หรือว่ากาลเวลาที่ผ่านมาไป ทำให้ออมไม้ออมมือ ส่วนนายกอร์ปศักดิ์วันนี้ดีกว่าสันแรก มีแนวมาชัดเจนว่าจะอยู่ถึงสิ้นปี ซึ่งระหว่างนี้ก็ทำกระบวนการต่างๆ ไป
“หมอเหวงที่พูดมาตั้งแต่เมื่อวาน ต้องมีคนถามว่าเป็นคอมฯ หลงยุคหรือเปล่า มันต้องทำลายจังหวะเขาบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้เขาซัดไปเต็มที่ ทั้งเรื่องอำมาตยาธิปไตย ในการทำงานปกติเราไม่ทะเลาะกันใคร แต่งานแบบนี้ตัวชวนทะเลาะต้องมี”
อย่างไรก็ตาม นายคำนูณกล่าวว่า ดูเหมือนแกนนำคนเสื้อแดงอยากจะหาทางลงแต่ลงไม่ได้ หน้าจอมันฆ่าคน แกนนำ 3 คนรู้อยู่ว่าการชุมนุมมันหนักหนาสาหัส ถ้าลงได้อย่างมีเกียรติ สิ่งที่ได้ 2 อาทิตย์ ก็ถือว่าสั่งสมพลังมาระดับหนึ่ง ถ้ากลับไปขยายสิ่งที่ได้มา โดยเฉพาะหมอเหวง อาจเอาฐานจุดนี้ไมปตั้งพรรคอมมิวนิสต์ใหม่ ขณะที่นายจตุพรยังมีอนาคต แต่ว่าไปปลุกเสื้อแดงเอาไว้มาก พูดไว้หนักหนาสาหัส พอมาเจรจาผ่านจอ พูดให้เบาไม่ได้ มันต้องเต็มที่ มันก็เลยลงลำบาก ถ้าทั้ง 3 คนมีท่าทีอ่อนแบบนายวีระ กลับไปเวทีโดนรุมสกรัมแน่ เพราะปลุกกระดมคนมา ยิ่งนายจตุพรเคยบอกว่า ถ้าไม่หามออกก็ไม่จบ
นายคำนูณกล่าวต่อว่า ถือว่านายจตุพรไหวพริบดีที่หลุดออกมาว่าให้ยุบสภาภายใน 15 วัน ไม่อย่างนั้นก็ไปผูกเงื่อนตายว่าวันนี้รัฐบาลต้องยุบ แต่ถ้าให้เวลา 15 วัน มันต่อยอดได้ ไปปลุกให้พี่น้องมาอีก ต่อลมหายใจอีก ถ้าจะกดดันอะไรขึ้นมา ก็ระดมมวลชนมาอีกรอบ
นายคำนูณย้ำว่า สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ต้องทำก่อนการยุบสภา ในการปฏิรูปประเทศคือต้องย้อนกลับไปดูนโยบายที่เคยแถลงไว้ตอนเข้ารับตำแหน่ง ที่ว่าจะขจัดการเมืองที่ล้มเหลว แต่ถ้านายอภิสิทธิ์เอาแค่ 6 ข้อ ของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองมาทำ ก็คงไม่ถือว่าเป็นการปฏิรูปประเทศ
