ASTVผู้จัดการรายวัน - นักวิชาการมอง 3 ชั่วโมงเจรจาสูญเปล่า เหตุ 2 ฝ่ายต่างมีจุดยืน จวกเสื้อแดงยืนกรานยุบสภา เพราะมีวาระซ่อนเร้น " สุรชัย แดงสยาม" เย้ยแค่เวทีสำหรับ 3 เกลอ หาทางลง หากจะเจรจาจริงต้องไปฝึกมาใหม่อีกเยอะๆ
นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ว่า การเจรจาแบบนี้ ก็แค่ทำให้สังคมรู้สึกว่า สองฝ่ายได้พูดคุยกันแล้วด้วยเหตุผล แต่มันก็ไม่ได้นำมาสู่ข้อยุติใดๆ ได้ เพราะการที่ฝ่ายเสื้อแดง บอกว่าให้นายกฯ ยุบสภาภายใน 2 สัปดาห์ แล้วหลังเลือกตั้งก็ให้หลักประกันไม่ได้ว่า จะไม่เกิดความขัดแย้งอีก อย่างนี้นายกฯ ก็คงไม่เห็นด้วย การเจรจามันก็เลยกลายเป็นแค่ทำให้ความเครียดลดลง
" คนที่หวังว่า ถ้าเขาเจรจากันแล้วจะได้ข้อยุติ คนคนนั้นมองการเมืองแบบฉาบฉวย เพราะการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องให้มีการยุบสภานั้น เป้าไม่ได้อยู่ที่แค่การยุบสภา แต่มันมีวาระซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังการยุบสภา ซึ่งอยูที่ตัวคุณทักษิณ ชินวัตร จึงจะเห็นว่าการเจรจาของคนเสื้อแดง จะไม่ยอมหลุดจากกรอบนี้ว่า ต้องยุบสภา ขณะที่นายกฯ ก็ดูเหนือกว่าหน่อย ที่บอกว่าคนเสื้อแดง จะมองปัญหาแบบแยกส่วนมันไม่ได้ ถ้าบอกว่ากติกามีปัญหาคือรัฐธรรมนูญ 50 ก็ต้องมีการแก้ไขเสียก่อน แล้วก็ควรเอาคนทุกภาคส่วนมาพูดคุย เพื่อหาจุดร่วมที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องเป็นทางออก ลักษณะแบบนี้ เป็นทางออกที่ดีแน่ๆ สำหรับการชุมนุมที่ไม่ได้มีวาระซ่อนเร้น แต่ไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นประชาชนจะต้องมองด้วยความเข้าใจ ว่ามันมีวาระซ่อนเร้นอยู่เบื้อง หลังการเรียกร้องยุบสภาอย่างไร และถ้าเป็นอย่างนี้การที่นายกฯ จะมีการเจรจากับเสื้อแดงในนัดต่อๆ ไปอีกก็คิดว่าคงจะมีประโยชน์น้อย"
นายสมบัติ ยังเห็นว่าการที่สังคมเรียกร้องอยากเห็นทางลง และยุติปัญหาการชุมนุมของคนเสื้อแดง ถือว่าสังคมใจร้อนเกิน ถามว่าในอดีตที่ผ่านมาคนเสื้อเหลืองชุมนุมก็ใช้เวลา 190 กว่าวัน รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ขณะนั้นพ้นไป ก็ไม่ใช่ผลมาจากการชุมนุม แต่เป็นจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นคิดว่าสังคมเร่งร้อนกันเกินไปในการที่จะคิดหาทางลงให้กับคนเสื้อแดง
**พายเรือในอ่างกัน 3 ชั่วโมง
ด้านนายทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า เป็น 3 ชั่วโมงที่เสียเปล่า แม้นายกจะฟอร์มใช้ได้ แต่งานนี้กลายเป็นฝ่ายเสื้อแดงใช้เป็นโอกาสในการสื่อสารตัวตนของเขาออกมาได้เยอะ ขณะที่รัฐบาลก็เพียงแค่ลดบรรยากาศความตึงเครียดในสายตาผู้คนว่า หลบซ่อนไปได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีคำพูดอะไรที่เป็นการดิสเครดิตเสื้อแดง จึงทำให้มองได้ว่างานนี้เสื้อแดง ได้มากกว่ารัฐบาล
"ทีแรกคิดว่าการเจรจารัฐบาลน่าจะบอกว่า จะเจรจากันก็ขอว่าให้คนเสื้อแดงเลิกม็อบไปก่อนได้ไหม แต่มันก็ไม่มี มันไม่ซู่ซ่า มันเหมือนมานั่งกันง่วงๆ ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไป มันแค่เป็นบรรยากาศ ถ้าคนที่ติดตามการเมืองก็จะรู้ว่า มันไม่มีความจริงใจ นายกฯ ดูจะเหนือกว่าหน่อย ตรงที่กุมอำนาจยุบสภาอยู่ในมือ ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาอะไรไปแลกเปลี่ยน ขณะที่เสื้อแดง ก็จะให้ยุบสภา การพูดคุยก็เลยกลายเป็นพายเรือในอ่าง พายมา 3 ชั่วโมง ก็ยังปลดเชือกไม่ได้"
นายทวี ยังเห็นว่า การเจรจาในนัดต่อๆ ไปนายกฯ ต้องแสดงความเป็นผู้นำมากกว่านี้ อย่ามานั่งยิ้มๆ ทำหน้าแหยๆ เพราะไม่ใช่เวทีเอเอฟคอนเสริต์ ที่นายกฯ ต้องคอยเอาใจบรรดาแม่ยก ขณะที่เนื้อหาการเจรจาต้องมีอะไรที่เป็นการบำรุงจิตใจ และให้ความมั่นใจกับชาวบ้านบ้าง เช่น บอกว่าถ้าคนเสื้อแดงยังยืนยันจะต้องยุบสภาไม่รับข้อเสนออื่นๆ ก็ต้องไม่มานั่งโต๊ะเจรจากันแล้ว และรัฐบาล ก็ต้องดึงมวลชนเข้ามาพูดคุย เข้าไปในม็อบ พูดคุยกับคนชุมนุมที่เดือดร้อนจริงๆว่าปัญหาเขา คืออะไร
"ถ้าเป็นผม ผมจะเข้าไปหามวลชนโบ๊เบ๊ สีลม ให้เขารู้ว่า ถ้าคุณเดือดร้อนๆจริง รัฐบาลแคร์คุณอยู่แล้ว อย่างสหรัฐฯ โอบาม่า เคยถูกโจมตีว่า จริงๆแล้วเป็นนอมินีของคนผิวขาว เป็นไฮโซ แต่พอเขาไปหาเสียงกับคนผิวดำ เขาก็สามารถทำตัวเป็นโลโซได้ ดังนั้นคุณอภิสิทธิ์ ก็เช่นกัน" นายทวีกล่าว
** แค่เวทีสำหรับ 3 เกลอหาทางลง
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม กล่าวแสดงความเห็นถึงการเปิดโต๊ะเจรจาว่า ในที่สุดก็ชัดว่าเป็นเพียงเวทีที่หาทางลงของ 3 เกลอ นพ.เหวง ก็๋มาพูดแค่เท้าความหลัง ราวกับเวทีนี้เป็นเวทีปราศรัย อวดรู้ อวดโวหาร ไร้ซึ่งทิศทางที่จะหาทางออก ซึ่งการส่งหมอเหวงไปเจรจานั้น ต้องไปฝึกมาใหม่ ฝึกให้มากกว่านี้ แบบนี้ไร้สาระ หาข้อยุติไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดังนั้นถือว่าเป็นทางที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ในการหาทางลงของ 3 เกลอ แล้วนายวีระ จะหาประเด็นอะไรไปรับปากกับกลุ่มผู้ชุมนุม มีวิธีเดียวที่มีอำนาจใน นปช. คือ การประกาศสลายการชุมนุม ส่วนนายจตุพร นั้นตนไม่ฟัง เพราะฟังไปก็แค่นั้น ไร้สาระ สำหรับคนคนนี้
“เวทีนี้ของนายจตุพร นายวีระ หมอเหวง เป็นเพียงแค่การแสดงการอวดรู้ อวดโวหาร ข้อเรียกร้องที่ควรออกมานั้น ต้องบอกเหตุผลให้ได้ว่า ต้องยุบสภาเพราะอะไร เหตุใดจะต้องบอกให้ชัด เป็นข้อๆ แล้วนายกรัฐมนตรี เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย อย่างไร ต้องว่ากันด้วยเหตุผล ท้ายสุดแล้วเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ จะไม่ยุบสภาอย่างแน่นอน เพราะได้ออกตัวแล้วว่า ต้องฟังพรรคร่วมรัฐบาล" แกนนำแดงสยามกล่าว
** 3 เกลอเผยธาตุแท้จอมตะแบง
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าววิจารณ์การเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงว่า เห็นได้ชัดเจนว่า ตัวแทนฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีเพียงนายวีระ ที่ดูจะรับฟังความเห็นจากรัฐบาลบ้าง แต่นายจตุพร และนพ.เหวง ไม่ยอมรับฟังเลย และได้แสดงให้เห็นถึงตัวคนที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตามปกติประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่ยังต้องรับฟังเสียงส่วนน้อย แต่ทั้งสองคนไม่ยอมรับฟังคนอื่นพูดเลย โดยเฉพาะนายจตุพร ที่ยืนยันอย่างเดียวว่า นายกรัฐมนตรีต้องยุบสภาภายใน 2 สัปดาห์ ขณะที่นพ.เหวง ก็อ้างว่าปัญหาทุกอย่างเริ่มต้นที่การก่อรัฐประหาร 19 ก.ย. แต่ข้อเท็จจริง เริ่มต้นตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมีการทุจริจผลประโยชน์ทับซ้อน เมื่อมีการตรวจสอบพบก็ไม่ยอมรับฟังประชาชน จนทำให้เกิดกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเกิดขึ้น
การเปิดเวทีเจรจาครั้งนี้ รัฐบาลยอมทำตามเสียงเรียกร้องของแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ที่อ้างว่าต้องการเจรจาเพื่อหาข้อยุติ และตัวแทนรัฐบาลก็ได้เสนอแนวทางออกของปัญหาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะนายกอร์ปศักดิ์ ที่เสนอให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อมกับให้มีการทำประชามติไปพร้อมๆ กับการเลือกตั้งใหม่เลย ถือเป็นอีกแนวทางที่น่าจะรับได้ แต่ นายจตุพร และนพ.เหวง ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรับฟัง และเสนอให้ยุบสภาอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม การเจรจาครั้งต่อไป จะหาข้อสรุป และทางออกให้กับประเทศได้หรือไม่ ต้องดูท่าทีของแกนนำกลุ่มเสื้อแดง แต่ถ้ายังมีท่าทีเหมือนวันนี้ ก็ยากที่จะได้ข้อยุติ.
นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ว่า การเจรจาแบบนี้ ก็แค่ทำให้สังคมรู้สึกว่า สองฝ่ายได้พูดคุยกันแล้วด้วยเหตุผล แต่มันก็ไม่ได้นำมาสู่ข้อยุติใดๆ ได้ เพราะการที่ฝ่ายเสื้อแดง บอกว่าให้นายกฯ ยุบสภาภายใน 2 สัปดาห์ แล้วหลังเลือกตั้งก็ให้หลักประกันไม่ได้ว่า จะไม่เกิดความขัดแย้งอีก อย่างนี้นายกฯ ก็คงไม่เห็นด้วย การเจรจามันก็เลยกลายเป็นแค่ทำให้ความเครียดลดลง
" คนที่หวังว่า ถ้าเขาเจรจากันแล้วจะได้ข้อยุติ คนคนนั้นมองการเมืองแบบฉาบฉวย เพราะการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องให้มีการยุบสภานั้น เป้าไม่ได้อยู่ที่แค่การยุบสภา แต่มันมีวาระซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังการยุบสภา ซึ่งอยูที่ตัวคุณทักษิณ ชินวัตร จึงจะเห็นว่าการเจรจาของคนเสื้อแดง จะไม่ยอมหลุดจากกรอบนี้ว่า ต้องยุบสภา ขณะที่นายกฯ ก็ดูเหนือกว่าหน่อย ที่บอกว่าคนเสื้อแดง จะมองปัญหาแบบแยกส่วนมันไม่ได้ ถ้าบอกว่ากติกามีปัญหาคือรัฐธรรมนูญ 50 ก็ต้องมีการแก้ไขเสียก่อน แล้วก็ควรเอาคนทุกภาคส่วนมาพูดคุย เพื่อหาจุดร่วมที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องเป็นทางออก ลักษณะแบบนี้ เป็นทางออกที่ดีแน่ๆ สำหรับการชุมนุมที่ไม่ได้มีวาระซ่อนเร้น แต่ไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นประชาชนจะต้องมองด้วยความเข้าใจ ว่ามันมีวาระซ่อนเร้นอยู่เบื้อง หลังการเรียกร้องยุบสภาอย่างไร และถ้าเป็นอย่างนี้การที่นายกฯ จะมีการเจรจากับเสื้อแดงในนัดต่อๆ ไปอีกก็คิดว่าคงจะมีประโยชน์น้อย"
นายสมบัติ ยังเห็นว่าการที่สังคมเรียกร้องอยากเห็นทางลง และยุติปัญหาการชุมนุมของคนเสื้อแดง ถือว่าสังคมใจร้อนเกิน ถามว่าในอดีตที่ผ่านมาคนเสื้อเหลืองชุมนุมก็ใช้เวลา 190 กว่าวัน รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ขณะนั้นพ้นไป ก็ไม่ใช่ผลมาจากการชุมนุม แต่เป็นจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นคิดว่าสังคมเร่งร้อนกันเกินไปในการที่จะคิดหาทางลงให้กับคนเสื้อแดง
**พายเรือในอ่างกัน 3 ชั่วโมง
ด้านนายทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า เป็น 3 ชั่วโมงที่เสียเปล่า แม้นายกจะฟอร์มใช้ได้ แต่งานนี้กลายเป็นฝ่ายเสื้อแดงใช้เป็นโอกาสในการสื่อสารตัวตนของเขาออกมาได้เยอะ ขณะที่รัฐบาลก็เพียงแค่ลดบรรยากาศความตึงเครียดในสายตาผู้คนว่า หลบซ่อนไปได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีคำพูดอะไรที่เป็นการดิสเครดิตเสื้อแดง จึงทำให้มองได้ว่างานนี้เสื้อแดง ได้มากกว่ารัฐบาล
"ทีแรกคิดว่าการเจรจารัฐบาลน่าจะบอกว่า จะเจรจากันก็ขอว่าให้คนเสื้อแดงเลิกม็อบไปก่อนได้ไหม แต่มันก็ไม่มี มันไม่ซู่ซ่า มันเหมือนมานั่งกันง่วงๆ ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไป มันแค่เป็นบรรยากาศ ถ้าคนที่ติดตามการเมืองก็จะรู้ว่า มันไม่มีความจริงใจ นายกฯ ดูจะเหนือกว่าหน่อย ตรงที่กุมอำนาจยุบสภาอยู่ในมือ ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาอะไรไปแลกเปลี่ยน ขณะที่เสื้อแดง ก็จะให้ยุบสภา การพูดคุยก็เลยกลายเป็นพายเรือในอ่าง พายมา 3 ชั่วโมง ก็ยังปลดเชือกไม่ได้"
นายทวี ยังเห็นว่า การเจรจาในนัดต่อๆ ไปนายกฯ ต้องแสดงความเป็นผู้นำมากกว่านี้ อย่ามานั่งยิ้มๆ ทำหน้าแหยๆ เพราะไม่ใช่เวทีเอเอฟคอนเสริต์ ที่นายกฯ ต้องคอยเอาใจบรรดาแม่ยก ขณะที่เนื้อหาการเจรจาต้องมีอะไรที่เป็นการบำรุงจิตใจ และให้ความมั่นใจกับชาวบ้านบ้าง เช่น บอกว่าถ้าคนเสื้อแดงยังยืนยันจะต้องยุบสภาไม่รับข้อเสนออื่นๆ ก็ต้องไม่มานั่งโต๊ะเจรจากันแล้ว และรัฐบาล ก็ต้องดึงมวลชนเข้ามาพูดคุย เข้าไปในม็อบ พูดคุยกับคนชุมนุมที่เดือดร้อนจริงๆว่าปัญหาเขา คืออะไร
"ถ้าเป็นผม ผมจะเข้าไปหามวลชนโบ๊เบ๊ สีลม ให้เขารู้ว่า ถ้าคุณเดือดร้อนๆจริง รัฐบาลแคร์คุณอยู่แล้ว อย่างสหรัฐฯ โอบาม่า เคยถูกโจมตีว่า จริงๆแล้วเป็นนอมินีของคนผิวขาว เป็นไฮโซ แต่พอเขาไปหาเสียงกับคนผิวดำ เขาก็สามารถทำตัวเป็นโลโซได้ ดังนั้นคุณอภิสิทธิ์ ก็เช่นกัน" นายทวีกล่าว
** แค่เวทีสำหรับ 3 เกลอหาทางลง
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม กล่าวแสดงความเห็นถึงการเปิดโต๊ะเจรจาว่า ในที่สุดก็ชัดว่าเป็นเพียงเวทีที่หาทางลงของ 3 เกลอ นพ.เหวง ก็๋มาพูดแค่เท้าความหลัง ราวกับเวทีนี้เป็นเวทีปราศรัย อวดรู้ อวดโวหาร ไร้ซึ่งทิศทางที่จะหาทางออก ซึ่งการส่งหมอเหวงไปเจรจานั้น ต้องไปฝึกมาใหม่ ฝึกให้มากกว่านี้ แบบนี้ไร้สาระ หาข้อยุติไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดังนั้นถือว่าเป็นทางที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ในการหาทางลงของ 3 เกลอ แล้วนายวีระ จะหาประเด็นอะไรไปรับปากกับกลุ่มผู้ชุมนุม มีวิธีเดียวที่มีอำนาจใน นปช. คือ การประกาศสลายการชุมนุม ส่วนนายจตุพร นั้นตนไม่ฟัง เพราะฟังไปก็แค่นั้น ไร้สาระ สำหรับคนคนนี้
“เวทีนี้ของนายจตุพร นายวีระ หมอเหวง เป็นเพียงแค่การแสดงการอวดรู้ อวดโวหาร ข้อเรียกร้องที่ควรออกมานั้น ต้องบอกเหตุผลให้ได้ว่า ต้องยุบสภาเพราะอะไร เหตุใดจะต้องบอกให้ชัด เป็นข้อๆ แล้วนายกรัฐมนตรี เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย อย่างไร ต้องว่ากันด้วยเหตุผล ท้ายสุดแล้วเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ จะไม่ยุบสภาอย่างแน่นอน เพราะได้ออกตัวแล้วว่า ต้องฟังพรรคร่วมรัฐบาล" แกนนำแดงสยามกล่าว
** 3 เกลอเผยธาตุแท้จอมตะแบง
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าววิจารณ์การเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงว่า เห็นได้ชัดเจนว่า ตัวแทนฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีเพียงนายวีระ ที่ดูจะรับฟังความเห็นจากรัฐบาลบ้าง แต่นายจตุพร และนพ.เหวง ไม่ยอมรับฟังเลย และได้แสดงให้เห็นถึงตัวคนที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตามปกติประชาธิปไตย เสียงส่วนใหญ่ยังต้องรับฟังเสียงส่วนน้อย แต่ทั้งสองคนไม่ยอมรับฟังคนอื่นพูดเลย โดยเฉพาะนายจตุพร ที่ยืนยันอย่างเดียวว่า นายกรัฐมนตรีต้องยุบสภาภายใน 2 สัปดาห์ ขณะที่นพ.เหวง ก็อ้างว่าปัญหาทุกอย่างเริ่มต้นที่การก่อรัฐประหาร 19 ก.ย. แต่ข้อเท็จจริง เริ่มต้นตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมีการทุจริจผลประโยชน์ทับซ้อน เมื่อมีการตรวจสอบพบก็ไม่ยอมรับฟังประชาชน จนทำให้เกิดกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเกิดขึ้น
การเปิดเวทีเจรจาครั้งนี้ รัฐบาลยอมทำตามเสียงเรียกร้องของแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ที่อ้างว่าต้องการเจรจาเพื่อหาข้อยุติ และตัวแทนรัฐบาลก็ได้เสนอแนวทางออกของปัญหาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะนายกอร์ปศักดิ์ ที่เสนอให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อมกับให้มีการทำประชามติไปพร้อมๆ กับการเลือกตั้งใหม่เลย ถือเป็นอีกแนวทางที่น่าจะรับได้ แต่ นายจตุพร และนพ.เหวง ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรับฟัง และเสนอให้ยุบสภาอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม การเจรจาครั้งต่อไป จะหาข้อสรุป และทางออกให้กับประเทศได้หรือไม่ ต้องดูท่าทีของแกนนำกลุ่มเสื้อแดง แต่ถ้ายังมีท่าทีเหมือนวันนี้ ก็ยากที่จะได้ข้อยุติ.
