ผู้จัดการรายวัน - แอฟริกาใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่โด่งดังด้านความสำเร็จในการปลดแอกความอยุติธรรม ที่มีชื่อว่า ลัทธิเหยียดผิว ด้วยขบวนการต่อสู้อันยาวนานและแสนทรหดที่ผู้หญิงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญอยู่เบื้องหลัง คนผิวดำในแอฟริกาใต้ประสบความสำเร็จในการได้มาซึ่งสิทธิเสมอภาคทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม หลังจากที่ถูกกดขี่ บีฑา และเอาเปรียบต่อเนื่องเป็นหลายศตวรรษโดยระบอบการปกครองในความยึดครองของคนแอฟริกาใต้ผิวขาว เชื้อสายดัตช์
ความเคลื่อนไหวขนานใหญ่ระดับแผ่นดินสะเทือนแมตช์แรกที่ผู้หญิงแอฟริกาใต้ แสดงพลังให้ผู้ครองประเทศซึ่งล้วนเป็นคนแอฟริกาใต้ผิวขาวได้ตื่นตระหนก มีขึ้นในวันที่ 9 สิงหาคม 1956 เมื่อผู้หญิงกว่า 20,000 คน จากทุกชนเผ่า รวมตัวกัน เดินแห่ไปตามท้องถนนในเมืองพรีโตเรีย มุ่งหน้าสู่ตึกยูเนียน ขอพบนายกรัฐมนตรี เจ. จี. สตริจดอม เพื่อยื่นเอกสารรายชื่อบุคคลแสนกว่าชื่อ ที่ร้องทุกข์และคัดค้านกฎหมายบังคับคนผิวดำทั้งหญิงและชาย ให้ต้องพก“บัตรผ่าน” เพื่อเข้าสู่เขตที่อยู่อาศัยหวงห้าม สงวนให้เฉพาะแก่คนผิวขาว และอนุญาตผ่านได้เฉพาะคนผิวดำที่จะมีหน้าที่ทำงานในเขตเหล่านั้นเท่านั้น
นายกฯสตริจดอม ไม่อยู่รับเรื่อง มีแต่เลขานุการนายกรัฐมนตรีรับเอกสารรายชื่อซึ่งอยู่ในรูปแบบกระดาษมัดซ้อนกองพะเนินที่หน้าอาคาร
สีสรรอันโดดเด่นในการเดินขบวนเรียกร้องทางการเมืองครั้งสำคัญนั้น ประกอบด้วยการที่บรรดาสตรีกว่าสองหมื่นชีวิตในขบวน ร่วมกันร้องเพลงที่กลายเป็นตำนานแห่งความกล้าหาญและพลังของผู้หญิงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ใจความว่า
“เมื่อคุณฟาดฟันสตรี
คุณกำลังฟาดฟันหินผา
คุณจะถูกบดขยี้”
การเดินขบวนขนาดสองหมื่นคนโดยผู้หญิงล้วนๆ ทุกเผ่าพันธุ์และทุกสีผิว ซึ่งรวมทั้งผู้หญิงผิวขาวที่มีจิตใจรักความเป็นธรรมด้วย จำนวนมากกระเตงลูกหลาน และบางส่วนก็อุ้มเด็กผิวขาวที่ตนรับหน้าที่เป็นแม่นม ไปเข้าร่วมขบวนด้วยนั้น นับเป็นความเอิกเกริกที่คุกคามขวัญของคนผิวขาวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และกลายเป็นข่าวใหญ่ที่ส่งผลกระเทือนในทางความรู้สึกสูงมาก
อันที่จริงแล้ว การต่อสู้ทางการเมืองโดยผู้หญิงในแอฟริกาใต้เต็มไปด้วยความคึกคักมาก่อนหน้าปี 1956 โดยมีการรวมพลังของผู้หญิงนักเคลื่อนไหวที่เป็นสมาชิกในกลุ่มพันธมิตรรัฐสภา (Congress Alliance) จนกระทั่งเกิดเป็นการจัดตั้งสมาพันธ์สตรีแอฟริกาใต้ (Federation of South African Women - FSAW) โดยผู้หญิงจากหลายเส้นทางชีวิต ทั้งสาวโรงงานที่ก้าวขึ้นเป็นแอคติวิสต์ ไปจนถึง ครู และปัญญาชนที่เปิดตัวคัดค้านรัฐบาลเหยียดผิว
ด้วยการนำของผู้หญิงระดับแนวหน้าการต่อสู้อำนาจรัฐ ซึ่งปรากฏชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์การเมืองของแอฟริกาใต้อย่างหลากหลาย การต่อสู้ด้วยการเดินขบวน 9 สิงหาคม 1956 จึงมีการเคลื่อนไหวอื่นๆ เพื่อต่อสู้ให้ยกเลิกกฎหมายแห่งการกดขี่เชิงชาติพันธุ์ฉบับดังกล่าว ตามมาอย่างไม่ขาดสาย
ทั้งนี้ ในคราวหนึ่งของการชุมนุมต่อต้าน ทางการผิวขาวได้ใช้คมกระสุนเข้าปราบปราม ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า สังหารหมู่ที่ชาร์เปวิลล์ (21 มีนาคม 1960) จำนวนเหยื่อที่เสียชีวิตในครั้งนั้นมีถึง 67 ราย บาดเจ็บ 170 ราย ตามด้วยการไล่ล่าจับกุมคุมขังนักต่อสู้คัดค้านลัทธิเหยียดผิวไปกว่า 1,700 คน ประเทศชาติตกอยู่ในความเศร้าสลด ถึงกับว่า สามสัปดาห์ต่อมา มีเกษตรกรผิวขาวจิตใจรักความเป็นธรรม ได้ดำเนินการพยายามสังหารนายกฯ
ในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงนักต่อสู้นับไม่ถ้วนตกเป็นเหยื่อการปราบปรามด้วยความรุนแรง จำนวนมากปรับกระบวนการต่อสู้ลงใต้ดิน จำนวนมากหลีกลี้การไล่ล่าออกไปเคลื่อนไหวที่ต่างประเทศ ขณะที่ผู้หญิงแห่งการต่อสู้ระดับหัวแถวถูกดำเนินคดี เดินเข้าออกคุกครั้งแล้วครั้งเล่า บางคนเสียชีวิตก่อนได้เห็นสังคมกอบกู้สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคสำเร็จ
กว่าที่เป้าหมายของการต่อสู้โดยผู้หญิงผู้กล้าของแอฟริกาใต้จะประสบความสำเร็จ กาลก็ล่วงผ่านไปถึงปี 1986 ทีเดียว โดยทางการยอมยกเลิกกฎหมาย “บัตรผ่าน”
เมื่อคนผิวดำได้รับชัยชนะในทางการเมือง หลังจากที่ต่อสู้จนีสิทธิเลือกตั้งในปี 1994 และผู้คนออกไปใช้สิทธิ์อย่างล้นหลาม และได้มีรัฐบาลที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของคนผิวดำเข้าไปแทนที่รัฐบาลของชนกลุ่มน้อยผิวขาว ได้มีการเทิดเกียรติผู้หญิงผู้กล้าของประเทศ โดยกำหนดให้วันที่ 9 สิงหาคม เป็นวันสตรีแห่งชาติ (National Women’s Day)
ความเคลื่อนไหวขนานใหญ่ระดับแผ่นดินสะเทือนแมตช์แรกที่ผู้หญิงแอฟริกาใต้ แสดงพลังให้ผู้ครองประเทศซึ่งล้วนเป็นคนแอฟริกาใต้ผิวขาวได้ตื่นตระหนก มีขึ้นในวันที่ 9 สิงหาคม 1956 เมื่อผู้หญิงกว่า 20,000 คน จากทุกชนเผ่า รวมตัวกัน เดินแห่ไปตามท้องถนนในเมืองพรีโตเรีย มุ่งหน้าสู่ตึกยูเนียน ขอพบนายกรัฐมนตรี เจ. จี. สตริจดอม เพื่อยื่นเอกสารรายชื่อบุคคลแสนกว่าชื่อ ที่ร้องทุกข์และคัดค้านกฎหมายบังคับคนผิวดำทั้งหญิงและชาย ให้ต้องพก“บัตรผ่าน” เพื่อเข้าสู่เขตที่อยู่อาศัยหวงห้าม สงวนให้เฉพาะแก่คนผิวขาว และอนุญาตผ่านได้เฉพาะคนผิวดำที่จะมีหน้าที่ทำงานในเขตเหล่านั้นเท่านั้น
นายกฯสตริจดอม ไม่อยู่รับเรื่อง มีแต่เลขานุการนายกรัฐมนตรีรับเอกสารรายชื่อซึ่งอยู่ในรูปแบบกระดาษมัดซ้อนกองพะเนินที่หน้าอาคาร
สีสรรอันโดดเด่นในการเดินขบวนเรียกร้องทางการเมืองครั้งสำคัญนั้น ประกอบด้วยการที่บรรดาสตรีกว่าสองหมื่นชีวิตในขบวน ร่วมกันร้องเพลงที่กลายเป็นตำนานแห่งความกล้าหาญและพลังของผู้หญิงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ใจความว่า
“เมื่อคุณฟาดฟันสตรี
คุณกำลังฟาดฟันหินผา
คุณจะถูกบดขยี้”
การเดินขบวนขนาดสองหมื่นคนโดยผู้หญิงล้วนๆ ทุกเผ่าพันธุ์และทุกสีผิว ซึ่งรวมทั้งผู้หญิงผิวขาวที่มีจิตใจรักความเป็นธรรมด้วย จำนวนมากกระเตงลูกหลาน และบางส่วนก็อุ้มเด็กผิวขาวที่ตนรับหน้าที่เป็นแม่นม ไปเข้าร่วมขบวนด้วยนั้น นับเป็นความเอิกเกริกที่คุกคามขวัญของคนผิวขาวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และกลายเป็นข่าวใหญ่ที่ส่งผลกระเทือนในทางความรู้สึกสูงมาก
อันที่จริงแล้ว การต่อสู้ทางการเมืองโดยผู้หญิงในแอฟริกาใต้เต็มไปด้วยความคึกคักมาก่อนหน้าปี 1956 โดยมีการรวมพลังของผู้หญิงนักเคลื่อนไหวที่เป็นสมาชิกในกลุ่มพันธมิตรรัฐสภา (Congress Alliance) จนกระทั่งเกิดเป็นการจัดตั้งสมาพันธ์สตรีแอฟริกาใต้ (Federation of South African Women - FSAW) โดยผู้หญิงจากหลายเส้นทางชีวิต ทั้งสาวโรงงานที่ก้าวขึ้นเป็นแอคติวิสต์ ไปจนถึง ครู และปัญญาชนที่เปิดตัวคัดค้านรัฐบาลเหยียดผิว
ด้วยการนำของผู้หญิงระดับแนวหน้าการต่อสู้อำนาจรัฐ ซึ่งปรากฏชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์การเมืองของแอฟริกาใต้อย่างหลากหลาย การต่อสู้ด้วยการเดินขบวน 9 สิงหาคม 1956 จึงมีการเคลื่อนไหวอื่นๆ เพื่อต่อสู้ให้ยกเลิกกฎหมายแห่งการกดขี่เชิงชาติพันธุ์ฉบับดังกล่าว ตามมาอย่างไม่ขาดสาย
ทั้งนี้ ในคราวหนึ่งของการชุมนุมต่อต้าน ทางการผิวขาวได้ใช้คมกระสุนเข้าปราบปราม ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า สังหารหมู่ที่ชาร์เปวิลล์ (21 มีนาคม 1960) จำนวนเหยื่อที่เสียชีวิตในครั้งนั้นมีถึง 67 ราย บาดเจ็บ 170 ราย ตามด้วยการไล่ล่าจับกุมคุมขังนักต่อสู้คัดค้านลัทธิเหยียดผิวไปกว่า 1,700 คน ประเทศชาติตกอยู่ในความเศร้าสลด ถึงกับว่า สามสัปดาห์ต่อมา มีเกษตรกรผิวขาวจิตใจรักความเป็นธรรม ได้ดำเนินการพยายามสังหารนายกฯ
ในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงนักต่อสู้นับไม่ถ้วนตกเป็นเหยื่อการปราบปรามด้วยความรุนแรง จำนวนมากปรับกระบวนการต่อสู้ลงใต้ดิน จำนวนมากหลีกลี้การไล่ล่าออกไปเคลื่อนไหวที่ต่างประเทศ ขณะที่ผู้หญิงแห่งการต่อสู้ระดับหัวแถวถูกดำเนินคดี เดินเข้าออกคุกครั้งแล้วครั้งเล่า บางคนเสียชีวิตก่อนได้เห็นสังคมกอบกู้สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคสำเร็จ
กว่าที่เป้าหมายของการต่อสู้โดยผู้หญิงผู้กล้าของแอฟริกาใต้จะประสบความสำเร็จ กาลก็ล่วงผ่านไปถึงปี 1986 ทีเดียว โดยทางการยอมยกเลิกกฎหมาย “บัตรผ่าน”
เมื่อคนผิวดำได้รับชัยชนะในทางการเมือง หลังจากที่ต่อสู้จนีสิทธิเลือกตั้งในปี 1994 และผู้คนออกไปใช้สิทธิ์อย่างล้นหลาม และได้มีรัฐบาลที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของคนผิวดำเข้าไปแทนที่รัฐบาลของชนกลุ่มน้อยผิวขาว ได้มีการเทิดเกียรติผู้หญิงผู้กล้าของประเทศ โดยกำหนดให้วันที่ 9 สิงหาคม เป็นวันสตรีแห่งชาติ (National Women’s Day)