ถ้าคุณเป็นคนผิวขาว
คุณจะคิดอย่างไร ได้คนผิวสีเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
คำถามนี้อาจจะเชยแล้วสำหรับอเมริกันในยุคนี้ที่ทั้งสื่อโทรทัศน์และภาพยนตร์เคยมีประธานาธิบดีเป็นคนผิวสีมาแล้ว เช่น ภาพยนตร์เป็นตอนๆ เรื่อง 24 นั้น ก็มีพระเอกผิวสีเป็นประธานาธิบดีทั้งพี่และน้อง
แถมทำหน้าที่ในตำแหน่งอย่างดีไม่มีอะไรบกพร่องด้วย
แต่คนก็ยังอดถามคำถามนี้ไม่ได้
แต่วันนี้ เมื่ออเมริกาเป็นดินแดน “แห่งโอกาส” ก็หมายความว่า อเมริกาได้เปิดโอกาสให้กับคนผิวสีอย่างเต็มที่ และเป็นความภาคภูมิใจแล้วอย่างสมบูรณ์
“มันเป็นเรื่องของข้อได้เปรียบที่พิเศษต่อกลุ่มคนหลายพวก ไม่ใช่แค่คนผิวสีเท่านั้นนะครับ” นี่คือความเห็นจากนักศึกษามหาวิทยาลัยซึ่งมาจากครอบครัวผู้ใช้แรงงานในมลรัฐดีทรอยต์
แต่คนที่เห็นค้านก็ยังมี
“คนผิวสีอย่างนายโอบามานั้นเป็นหนึ่งในน้อยคนมาก เมื่อเทียบกับคนผิวสีส่วนใหญ่ของประเทศ” ความเห็นที่ว่านี้มาจากอิเล็กตรา ฟูลไบร์ท ซึ่งเป็นที่ปรึกษาธุรกิจขนาดเล็กๆ
“แต่ดิฉันจะเลือกโอบามานะคะ” อิเล็กตราตอบแบบตรงไปตรงมา
เธอให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เมื่อเรามองโอบามาก็ต้องดูว่าโอบามานั้น ไม่ได้เป็นคนผิวสีโดยเฉลี่ยทั่วๆ ไปเลย แต่เวลานี้คนผิวสียังไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่มาก และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขอย่างจริงจัง
ไม่ใช่ยังถูกแบ่งผิวกันอยู่ และเราต้องยอมรับความจริง
ครับชัยชนะของโอบามาในการเป็นตัวแทนพรรค ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในหมู่คนผิวสี ว่าเขาจะทำได้ดังพูดและทำจริงจังหรือเปล่า
บางส่วนแย้งว่านโยบายต่อคนผิวสีในระดับชนชั้นกลางนั้น ดูจะดีแต่ก็ไม่แน่ใจว่าคนผิวดำระดับล่างซึ่งมีมากกว่านั้น โอบามาจะดูแลได้ดีหรือไม่
และไม่ต้องพูดถึงคนผิวสีอื่นๆ ที่มาจากแอฟริกาโดยตรงหรือมาจากคาริเบียนอีกไม่น้อยที่รอดูใจเขาอยู่
หลายปีก่อนในปี 2000 โอบามาเคยให้สัมภาษณ์ในวารสารของคนผิวดำ (Journal of Blacks in Higher Education)
โอบามาเวลานั้นเป็นวุฒิสมาชิก (รัฐอิลลินอย) ได้กล่าวว่า เขายังไม่ทราบว่าจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำแบบจริงจังด้วยการยืนยันการกระทำหรือไม่ แม้แต่การที่ผมได้เลือกไปเป็น บก.ฮาร์วาด์ ลอร์ รีวิว
แต่ผมก็มั่นใจว่า ผมยืนยันที่จะมีปฏิบัติการอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดประโยชน์ และกล้าสู้กับโอกาสที่ทุกคนจะได้รับผลตอบแทนจริงๆ
นอกจากนี้มีหลายประเด็นที่ต้องคิด แม้ว่ามีน้อยประเด็นเกี่ยวกับตำแหน่งงานในสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่เปิดโอกาสให้คนผิวสีได้ทำงาน
แต่คนทั่วไปก็เริ่มคิดเหมือนกันว่า คนผิวสีคนอื่นๆ จะมีโอกาสขึ้นมามีตำแหน่งสูงเหมือนโอบามาได้หรือไม่ หากเมื่อเขาเกิดเป็นประธานาธิบดีจริงๆ
เวลานี้ 57 เปอร์เซ็นต์ของคนดำในอเมริกาต้องการพัฒนาตำแหน่งตัวเองให้สูงขึ้น แม้ว่าอาจต้องได้รับสิทธิพิเศษ
คนขาว 27 เปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยกับความคิดนี้เท่านั้น
แต่ 48 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าอเมริกาผลักดันความคิดเรื่องผลักดันสิทธิการเท่าเทียมกัน
ในปี 1961 อดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ เป็นผู้ให้ทางรัฐบาลผลักดันเรื่องการต่อต้านการเหยียดผิว
ถึงปี 1964 ก็เกิดรัฐบัญญัติห้ามการเหยียดผิว โดยให้มีการทัดเทียมกันในการว่าจ้างงาน
ดังนั้นความรู้ที่ว่าคนผิวดำมีโอกาสน้อยกว่าคนผิวขาวจึงแทบจะไม่มีแล้ว
แต่ในทางสังคมระดับไฮโซ ความเชื่อนี้อาจยังมีอยู่
โฆษกในการรณรงค์ของโอบามา กล่าวว่า โอบามานั้นมีความเชื่อมั่นว่า อเมริกาได้ก้าวมาไกลมากแล้วในรอบ 50 ปี ในความเสมอภาคระหว่างผิว และในการหาเสียงเลือกตั้ง ก็ได้พยายามให้เกิดความรอมชอมต่อปัญหาเรื่องผิวสีด้วย
ประเด็นที่ควรพิจารณา คือ คนผิวขาวคือพวกไหนล่ะ
ตามสำนักงานสถิติของอเมริกา สำรวจว่า คนผิวขาวอาจเป็นชนกลุ่มน้อย หากเอาคนผิวดำคนเอเชีย คนอินเดียนแดง คนละตินมาร่วมกัน คนเหล่านี้จะมีมากกว่าคนขาว
ในเท็กซัสและแคลิฟอร์เนีย คนผิวขาวเป็นคนกลุ่มน้อยอยู่แล้ว ตามนัยนี้
แต่ในแง่สถิติผิวขาวจะมีปริมาณมากหรือน้อยมีอัตราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ในปี 1912 คนผิวขาวกับสิทธิพิเศษควบคู่กันไป แม้แต่สภายังเคยต้องพิจารณาว่าพวกอิตาเลียนนั้นเป็นพวก “ผิวขาว” หรือ “คอเคเซียน” หรือไม่ เพราะแม้แต่ในประเทศเองพวกทางเหนือก็ยังสงสัยพวกอิตาเลียนทางตอนใต้เลยว่าเป็นพวก “คนขาว” หรือไม่
ในปี 1922 ศาลสูงระบุว่า ญี่ปุ่นเป็นคน “ผิวขาว” ก็จริง แต่ไม่ได้เป็นชาว “คอเคเซียน” เลยไม่ยอมให้สัญชาติอเมริกัน ทว่าในปีถัดมา กลับให้คำวินิจฉัยให้ชาวอินเดียตอนใต้ซึ่งตัวดำปี๋ว่าเป็นพวก “คอเคเซียน” เสียฉิบ แต่ก็ไม่ให้สัญชาติอเมริกันอีก
เชื่อหรือไม่ว่า จนถึงปี 1967 การแต่งงานข้ามชาติยังถูกห้ามในบางรัฐ กฎหมายที่เรียกว่าจิมโครว์ ปกป้องให้ชาวผิวขาวได้ทำงานเท่านั้น
ครับนี่คือผิวสีกับผิวขาว
เวลานี้ดีขึ้นมากแล้ว แต่ลึกๆ ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ดีนั่นแหละครับ
คุณจะคิดอย่างไร ได้คนผิวสีเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
คำถามนี้อาจจะเชยแล้วสำหรับอเมริกันในยุคนี้ที่ทั้งสื่อโทรทัศน์และภาพยนตร์เคยมีประธานาธิบดีเป็นคนผิวสีมาแล้ว เช่น ภาพยนตร์เป็นตอนๆ เรื่อง 24 นั้น ก็มีพระเอกผิวสีเป็นประธานาธิบดีทั้งพี่และน้อง
แถมทำหน้าที่ในตำแหน่งอย่างดีไม่มีอะไรบกพร่องด้วย
แต่คนก็ยังอดถามคำถามนี้ไม่ได้
แต่วันนี้ เมื่ออเมริกาเป็นดินแดน “แห่งโอกาส” ก็หมายความว่า อเมริกาได้เปิดโอกาสให้กับคนผิวสีอย่างเต็มที่ และเป็นความภาคภูมิใจแล้วอย่างสมบูรณ์
“มันเป็นเรื่องของข้อได้เปรียบที่พิเศษต่อกลุ่มคนหลายพวก ไม่ใช่แค่คนผิวสีเท่านั้นนะครับ” นี่คือความเห็นจากนักศึกษามหาวิทยาลัยซึ่งมาจากครอบครัวผู้ใช้แรงงานในมลรัฐดีทรอยต์
แต่คนที่เห็นค้านก็ยังมี
“คนผิวสีอย่างนายโอบามานั้นเป็นหนึ่งในน้อยคนมาก เมื่อเทียบกับคนผิวสีส่วนใหญ่ของประเทศ” ความเห็นที่ว่านี้มาจากอิเล็กตรา ฟูลไบร์ท ซึ่งเป็นที่ปรึกษาธุรกิจขนาดเล็กๆ
“แต่ดิฉันจะเลือกโอบามานะคะ” อิเล็กตราตอบแบบตรงไปตรงมา
เธอให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เมื่อเรามองโอบามาก็ต้องดูว่าโอบามานั้น ไม่ได้เป็นคนผิวสีโดยเฉลี่ยทั่วๆ ไปเลย แต่เวลานี้คนผิวสียังไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่มาก และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขอย่างจริงจัง
ไม่ใช่ยังถูกแบ่งผิวกันอยู่ และเราต้องยอมรับความจริง
ครับชัยชนะของโอบามาในการเป็นตัวแทนพรรค ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในหมู่คนผิวสี ว่าเขาจะทำได้ดังพูดและทำจริงจังหรือเปล่า
บางส่วนแย้งว่านโยบายต่อคนผิวสีในระดับชนชั้นกลางนั้น ดูจะดีแต่ก็ไม่แน่ใจว่าคนผิวดำระดับล่างซึ่งมีมากกว่านั้น โอบามาจะดูแลได้ดีหรือไม่
และไม่ต้องพูดถึงคนผิวสีอื่นๆ ที่มาจากแอฟริกาโดยตรงหรือมาจากคาริเบียนอีกไม่น้อยที่รอดูใจเขาอยู่
หลายปีก่อนในปี 2000 โอบามาเคยให้สัมภาษณ์ในวารสารของคนผิวดำ (Journal of Blacks in Higher Education)
โอบามาเวลานั้นเป็นวุฒิสมาชิก (รัฐอิลลินอย) ได้กล่าวว่า เขายังไม่ทราบว่าจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำแบบจริงจังด้วยการยืนยันการกระทำหรือไม่ แม้แต่การที่ผมได้เลือกไปเป็น บก.ฮาร์วาด์ ลอร์ รีวิว
แต่ผมก็มั่นใจว่า ผมยืนยันที่จะมีปฏิบัติการอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดประโยชน์ และกล้าสู้กับโอกาสที่ทุกคนจะได้รับผลตอบแทนจริงๆ
นอกจากนี้มีหลายประเด็นที่ต้องคิด แม้ว่ามีน้อยประเด็นเกี่ยวกับตำแหน่งงานในสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่เปิดโอกาสให้คนผิวสีได้ทำงาน
แต่คนทั่วไปก็เริ่มคิดเหมือนกันว่า คนผิวสีคนอื่นๆ จะมีโอกาสขึ้นมามีตำแหน่งสูงเหมือนโอบามาได้หรือไม่ หากเมื่อเขาเกิดเป็นประธานาธิบดีจริงๆ
เวลานี้ 57 เปอร์เซ็นต์ของคนดำในอเมริกาต้องการพัฒนาตำแหน่งตัวเองให้สูงขึ้น แม้ว่าอาจต้องได้รับสิทธิพิเศษ
คนขาว 27 เปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยกับความคิดนี้เท่านั้น
แต่ 48 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าอเมริกาผลักดันความคิดเรื่องผลักดันสิทธิการเท่าเทียมกัน
ในปี 1961 อดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ เป็นผู้ให้ทางรัฐบาลผลักดันเรื่องการต่อต้านการเหยียดผิว
ถึงปี 1964 ก็เกิดรัฐบัญญัติห้ามการเหยียดผิว โดยให้มีการทัดเทียมกันในการว่าจ้างงาน
ดังนั้นความรู้ที่ว่าคนผิวดำมีโอกาสน้อยกว่าคนผิวขาวจึงแทบจะไม่มีแล้ว
แต่ในทางสังคมระดับไฮโซ ความเชื่อนี้อาจยังมีอยู่
โฆษกในการรณรงค์ของโอบามา กล่าวว่า โอบามานั้นมีความเชื่อมั่นว่า อเมริกาได้ก้าวมาไกลมากแล้วในรอบ 50 ปี ในความเสมอภาคระหว่างผิว และในการหาเสียงเลือกตั้ง ก็ได้พยายามให้เกิดความรอมชอมต่อปัญหาเรื่องผิวสีด้วย
ประเด็นที่ควรพิจารณา คือ คนผิวขาวคือพวกไหนล่ะ
ตามสำนักงานสถิติของอเมริกา สำรวจว่า คนผิวขาวอาจเป็นชนกลุ่มน้อย หากเอาคนผิวดำคนเอเชีย คนอินเดียนแดง คนละตินมาร่วมกัน คนเหล่านี้จะมีมากกว่าคนขาว
ในเท็กซัสและแคลิฟอร์เนีย คนผิวขาวเป็นคนกลุ่มน้อยอยู่แล้ว ตามนัยนี้
แต่ในแง่สถิติผิวขาวจะมีปริมาณมากหรือน้อยมีอัตราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ในปี 1912 คนผิวขาวกับสิทธิพิเศษควบคู่กันไป แม้แต่สภายังเคยต้องพิจารณาว่าพวกอิตาเลียนนั้นเป็นพวก “ผิวขาว” หรือ “คอเคเซียน” หรือไม่ เพราะแม้แต่ในประเทศเองพวกทางเหนือก็ยังสงสัยพวกอิตาเลียนทางตอนใต้เลยว่าเป็นพวก “คนขาว” หรือไม่
ในปี 1922 ศาลสูงระบุว่า ญี่ปุ่นเป็นคน “ผิวขาว” ก็จริง แต่ไม่ได้เป็นชาว “คอเคเซียน” เลยไม่ยอมให้สัญชาติอเมริกัน ทว่าในปีถัดมา กลับให้คำวินิจฉัยให้ชาวอินเดียตอนใต้ซึ่งตัวดำปี๋ว่าเป็นพวก “คอเคเซียน” เสียฉิบ แต่ก็ไม่ให้สัญชาติอเมริกันอีก
เชื่อหรือไม่ว่า จนถึงปี 1967 การแต่งงานข้ามชาติยังถูกห้ามในบางรัฐ กฎหมายที่เรียกว่าจิมโครว์ ปกป้องให้ชาวผิวขาวได้ทำงานเท่านั้น
ครับนี่คือผิวสีกับผิวขาว
เวลานี้ดีขึ้นมากแล้ว แต่ลึกๆ ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ดีนั่นแหละครับ