คำว่า “ไพร่” ที่แกนนำเสื้อแดงเอามาใช้เป็นวาทกรรมในการปลุกระดมมวลชนให้เกลียด “อำมาตย์” เมื่อคราวชุมนุม 14 มี.ค.53 นั้น ในสมัยโบราณไม่ได้เป็นคำต่ำต้อยแต่ประการใด เพราะมีความหมายที่เป็นกลางว่า “พลเมือง” นั่นเอง
แต่ในยุคหลังนั้นคนไทยเรานิยมเอาคำแขกมาใช้แทนภาษาไทย โดยนิยมกันว่าเป็นภาษาสูง ส่วนภาษาไทยเป็นภาษาต่ำ จนทำให้คำว่าไพร่หายไป กลายมาเป็น “ประชาชน” ในที่สุด (ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้เอาคำนี้มาใช้เป็นครั้งแรก)
ไม่ต่างอะไรกับคำว่า ขี้ (อุจจาระ) เยี่ยว (ปัสสาวะ) กู (กระผม มาจาก ขยม ภาษาเขมร) มึง (ท่าน) และอื่นๆ อีกมาก
ผู้ที่ไม่ใช่ไพร่ก็เป็น ขุนนาง (หรืออำมาตย์) ซึ่งก็หมายถึง ข้าราชการ นั่นเอง คนไทยเราสมัยก่อนก็เลยมี 3 ประเภท คือ เจ้า ขุนนาง และไพร่ โดยเจ้าปกครองประเทศผ่านขุนนางไปถึงไพร่
หลักฐานที่บ่งบอกว่า “ไพร่” ไม่ใช่คำต่ำช้าก็คือ กฎการแบ่งชนชั้น “เจ้า” นั้นก็ลดหลั่นลงมาจนถึงเจ้าฟ้า หม่อมเจ้า ต่อจากหม่อมเจ้าก็มีสถานะเป็น “ไพร่” การใช้คำคำนี้ในบัญญัติกฎมณเฑียรบาลนั้นแสดงว่าพระมหากษัตริย์ก็รับรองว่าหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ก็กลายมาเป็น “ไพร่” ได้
ถ้าคำว่าไพร่หมายถึง “คนชั้นต่ำที่น่าดูถูกเหยียดหยาม” กฎหมายก็คงจะไม่ใช้คำคำนี้กับเชื้อพระวงศ์อย่างแน่นอน ดังนั้น คำคำนี้จึงเป็นเพียงคำกลางๆ ที่ใช้แบ่งประเภทคนเพื่อกำหนดหน้าที่ที่สัมพันธ์กับรัฐเท่านั้นเอง
แต่คำว่าไพร่ยังมีความหมายที่สองซึ่งหมายถึง “คนไม่มีมารยาท” หรือ “คนชั้นต่ำ” (ซึ่งความหมายที่สองนี้ปัจจุบันกลายมาเป็นความหมายหลักไปแล้วเนื่องเพราะความหมายที่หนึ่งสูญพันธุ์ไป) จนทำให้ผู้ที่อ้างว่าเป็นพวก “หัวก้าวหน้า” เอามาใช้เป็นวาทกรรมในการปลุกเร้าอารมณ์ “ประชาชน” ให้เกลียดชังเจ้าและอำมาตย์นั่นแล
ผู้เขียนคะเนว่าความหมายที่สองนี้เกิดขึ้นตามบริบทสังคมภาษาศาสตร์ (socio-linguistic ไม่รู้ว่ามีศัพท์บัญญัตินี้ไหม ...นึกขึ้นมาเองให้มันดูขลัง) ที่เป็นลักษณะเฉพาะของไทย โดยอาจมีที่มามาจากการใช้ของพวก “ผู้ดี” (ขุนนาง และเจ้า)
เช่น มารยาทผู้ดีไทยโบราณนั้นจะกินเดินนั่งนอนต้องระวังอย่าให้เกิดเสียงดัง ถ้าเด็กคนไหนเดินลงเท้าเสียงดังผู้ใหญ่ก็อาจจะดุว่า “ไอ้เด็กคนนี้มารยาทยังกะไพร่” (วาทกรรมนี้นักแต่งนวนิยายไทยโบราณเอามาทำให้โด่งดังจนคนไทยทุกคนจำได้ขึ้นใจ) ซึ่งหากมองอย่างไม่ลำเอียงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอะไรนักหรอก เพราะไพร่นั้นก็ไม่ค่อยมี “มารยาท” จริงๆ เสียด้วย เนื่องจากไม่ได้ฝึกฝนนิสัยแบบผู้ดีมาก่อนนั่นเอง
ใช่ว่าผู้ดีจะดูถูกไพร่ฝ่ายเดียว เพราะไพร่เองก็เสียดสีผู้ดีว่า “ผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน” หรือ “ผู้ดีแปดสาแหรก” เด็กคนไหนทำอะไรนุ่มนิ่มแช่มช้าก็จะถูกดุแกมเสียดสีว่า “มึงเป็นผู้ดีแปดสาแหรกมาจากไหนวะ”
คนไทยเรานั้นติดนิสัยดูหมิ่นผู้อื่นในบริบทสังคมภาษาศาสตร์มาโดยตลอด จนแม้ในปัจจุบันนี้ พวกไพร่ทั่วไปก็ดูถูกไพร่ด้วยกันเอง เช่น “ไอ้ลาวเอ๊ย” “ไอ้เขมรโง่” “บักเสี่ยว” เห็นใครกินข้าวเสียงดัง ถุยน้ำลายก็ว่า “นิสัยยังกะเจ๊ก” โดยที่ผู้พูดก็ไม่ได้คิดอาฆาตมาดร้ายหรือดูหมิ่นอะไรหนักหนากับชนเผ่าที่พูดจาเสียดสีไป ตรงกันข้ามกลับรักใคร่ปรองดองอยู่ร่วมสังคมกันฉันพี่น้องตลอดมา
อาจจะเรียกว่าคนไทยเราไม่ค่อย “สำรวมทางสังคมภาษาศาสตร์” ก็ได้ ฝรั่งเองก็หาใช่ว่าจะไม่มีการใช้ภาษาแบบนี้เสียเลย เช่น Gook (ใช้เรียกคนเอเชียแบบดูถูก) Jap (ญี่ปุ่น) Nigger (นิโกร) แต่เขาไม่ใช้แบบเปิดเผยเหมือนเรา แต่กลับมีการรุนแรงทำร้ายร่างกายกันเพราะการเหยียดเผ่าพันธุ์ชั้นชนมากกว่าเราหลายร้อยเท่า
ชนชั้น “หัวก้าวหน้า” ในสังคมไทยทุกวันนี้คงคิดทรนงตนเองว่าสูงกว่าคนอื่น โดยเฉพาะ “พวกศักดินาล้าหลัง” ดังนั้นพวกนี้ก็คือ “เจ้าร่วมสมัย” นั่นเอง ที่ดูถูกพวกล้าหลังว่าเป็น “ไพร่ร่วมสมัย” (หรือชนชั้นต่ำทางความคิด) พวกเจ้าร่วมสมัยพวกนี้ ส่วนใหญ่เทิดทูนระบอบประชาธิปไตยแบบอังกฤษที่เคารพในศักดิ์ศรีมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่ท่านคงลืมไปว่ารัฐสภาอังกฤษนั้นประกอบไปด้วย House of Lords (สภาเจ้า) และ House of Commons (สภาไพร่) ที่ยังใช้กันอยู่จนทุกวันนี้
มีหลักฐานโดยอ้อมชี้ให้เห็นว่า การปกครองโดยเจ้าของเผ่าไทยโบราณนั้น เป็นการปกครองที่เป็นธรรมเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ “ไพร่ฟ้าหน้าใส” กันเป็นส่วนใหญ่ หลักฐานดังกล่าวนั้นคือซากปรักหักพังแห่ง สุโขทัย และ อยุธยา และแม้แต่รัตนโกสินทร์ด้วยซ้ำไป ซึ่งจะเห็นได้ในทั้งสามนครหลวงนี้ว่า วัดใหญ่กว่าวังมาก
ที่อยุธยา วังจันทรเกษม นั้นเป็นบ้านไม้หลังเล็กกว่าบ้านคหบดีเสียอีก ในขณะที่วัดมงคลบพิตร และอื่นๆ ใหญ่โตกว่า 10 เท่า และมีจำนวนมากจริงๆ นี่แสดงว่าเจ้าและขุนนางผู้สร้างวัดเหล่านี้ต่างมีใจบุญใจกุศลด้วยกันทั้งสิ้น แรงงานไพร่ที่เกณฑ์มานั้นแทนที่จะเอามาสร้างวังให้ตัวเอง กลับเอาไปสร้างวัดเสียหมด
วังจันทรเกษมนั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงประทับ ขนาดเป็นมหาราชระดับนั้นจะทรงเกณฑ์แรงงานคนมาสร้างวังให้ใหญ่โตเพียงใดก็ย่อมได้ แต่กลับทรงอยู่บ้านไม้หลังเล็กๆ อาจจะทรงสงสาร “ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน” ที่ตรากตรำทำสงครามมานาน
แต่กษัตริย์องค์อื่นๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีวังใหญ่โต แม้แต่วังของสมเด็จพระนารายณ์ที่ลพบุรี ก็มีแต่พื้นที่และกำแพงส่วนตัวอาคารนั้นเป็นตึกเล็กๆ ทั้งสิ้น และมีไม่กี่หลัง ในสมัยกรุงเทพฯ พระบรมมหาราชวังที่ติดกับวัดพระแก้วก็เล็กกว่าวัดมาก
กล่าวฝ่ายอังกฤษฝรั่งเศส วังบักกิ้งแฮม และวังแวร์ซาย รวมทั้งวังกษัตริย์อื่นๆ ในยุโรปนั้นใหญ่โตมโหฬารจริงๆ เดินทั้งวันก็ดูไม่หมด ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าสร้างมาด้วยแรงงานไพร่และภาษีที่เก็บมาจากไพร่ทั้งนั้น ยุโรปสมัยกลางนั้นแม้แต่พระก็มีอำนาจในการเก็บภาษี รีดเลือดจากปูได้ด้วย จนวัดก็ใหญ่โตอลังการไม่แพ้วัง เช่น วิหารเซนต์ต่างๆที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทุกวันนี้
แบบนี้ไพร่ฟ้าคงหน้าซีดกันเป็นแถวๆ จึงไม่แปลกอะไรที่ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ง่ายในยุโรป เพราะไพร่เคียดแค้นเจ้ามาก ส่วนของเราไพร่ฟ้าหน้าใสเป็นส่วนใหญ่จึงไม่มีแรงจูงใจให้คิดกบฏเพื่อสถาปนาระบอบไพร่อธิปไตยขึ้นมา
สมัยเด็กๆ ผมเองก็เคยนิยมจิตร ภูมิศักดิ์ กะเขาด้วย ที่เขียนหนังสือด่าเจ้าศักดินาได้สะใจดีแท้ แต่พอแก่ตัวลงผมมาฉุกคิดว่า จิตร ผิดไปแล้ว เพราะจิตรไม่มองถึงบริบทโบราณที่ระบบศักดินาเป็นสิ่งจำเป็นในการปกครองสมัยโน้น ตามระดับวิวัฒนาการธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์
ถ้าไม่มีระบบศักดินารับรองได้ว่ากษัตริย์พม่า เขมร ลาว ญวน จะบุกเข้ามากวาดต้อนคนไท ไปเป็นทาสหมดสิ้น เพราะวัฒนธรรมการเมืองระหว่างประเทศสมัยโน้นคือการทำสงครามกวาดต้อนผู้คนเข้ามาในขอบขัณฑสีมาของตน ถ้าเจ้าและขุนนางไม่เกณฑ์ไพร่สม ไพร่หลวง มาสร้างกำแพงเมือง มาฝึกอาวุธ มาปลูกข้าวเอาไว้เป็นเสบียง ทั้งไพร่และผู้ดีไทยก็คงถูกกวาดต้อนไปเป็น “ทาส” ต่างชาติกันหมดสิ้นสกุลไทยนั่นแล
ดังนั้นจึงขอเตือนพวกหัวก้าวหน้าทั้งหลายว่า จงสำนึกในบุญคุณของเจ้าและอำมาตย์ไว้ให้มาก ที่ได้ทำงานสร้างชาติ วัฒนธรรม และร่วมรบป้องชาติร่วมกับไพร่ไทยโบราณมาอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ จนรักษาแผ่นดินและความเป็นไทยไว้ให้พวกแกมาสร้างวาทกรรมจอมปลอมเพื่อประโยชน์ตนและพวกได้จนทุกวันนี้
แต่ในยุคหลังนั้นคนไทยเรานิยมเอาคำแขกมาใช้แทนภาษาไทย โดยนิยมกันว่าเป็นภาษาสูง ส่วนภาษาไทยเป็นภาษาต่ำ จนทำให้คำว่าไพร่หายไป กลายมาเป็น “ประชาชน” ในที่สุด (ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้เอาคำนี้มาใช้เป็นครั้งแรก)
ไม่ต่างอะไรกับคำว่า ขี้ (อุจจาระ) เยี่ยว (ปัสสาวะ) กู (กระผม มาจาก ขยม ภาษาเขมร) มึง (ท่าน) และอื่นๆ อีกมาก
ผู้ที่ไม่ใช่ไพร่ก็เป็น ขุนนาง (หรืออำมาตย์) ซึ่งก็หมายถึง ข้าราชการ นั่นเอง คนไทยเราสมัยก่อนก็เลยมี 3 ประเภท คือ เจ้า ขุนนาง และไพร่ โดยเจ้าปกครองประเทศผ่านขุนนางไปถึงไพร่
หลักฐานที่บ่งบอกว่า “ไพร่” ไม่ใช่คำต่ำช้าก็คือ กฎการแบ่งชนชั้น “เจ้า” นั้นก็ลดหลั่นลงมาจนถึงเจ้าฟ้า หม่อมเจ้า ต่อจากหม่อมเจ้าก็มีสถานะเป็น “ไพร่” การใช้คำคำนี้ในบัญญัติกฎมณเฑียรบาลนั้นแสดงว่าพระมหากษัตริย์ก็รับรองว่าหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ก็กลายมาเป็น “ไพร่” ได้
ถ้าคำว่าไพร่หมายถึง “คนชั้นต่ำที่น่าดูถูกเหยียดหยาม” กฎหมายก็คงจะไม่ใช้คำคำนี้กับเชื้อพระวงศ์อย่างแน่นอน ดังนั้น คำคำนี้จึงเป็นเพียงคำกลางๆ ที่ใช้แบ่งประเภทคนเพื่อกำหนดหน้าที่ที่สัมพันธ์กับรัฐเท่านั้นเอง
แต่คำว่าไพร่ยังมีความหมายที่สองซึ่งหมายถึง “คนไม่มีมารยาท” หรือ “คนชั้นต่ำ” (ซึ่งความหมายที่สองนี้ปัจจุบันกลายมาเป็นความหมายหลักไปแล้วเนื่องเพราะความหมายที่หนึ่งสูญพันธุ์ไป) จนทำให้ผู้ที่อ้างว่าเป็นพวก “หัวก้าวหน้า” เอามาใช้เป็นวาทกรรมในการปลุกเร้าอารมณ์ “ประชาชน” ให้เกลียดชังเจ้าและอำมาตย์นั่นแล
ผู้เขียนคะเนว่าความหมายที่สองนี้เกิดขึ้นตามบริบทสังคมภาษาศาสตร์ (socio-linguistic ไม่รู้ว่ามีศัพท์บัญญัตินี้ไหม ...นึกขึ้นมาเองให้มันดูขลัง) ที่เป็นลักษณะเฉพาะของไทย โดยอาจมีที่มามาจากการใช้ของพวก “ผู้ดี” (ขุนนาง และเจ้า)
เช่น มารยาทผู้ดีไทยโบราณนั้นจะกินเดินนั่งนอนต้องระวังอย่าให้เกิดเสียงดัง ถ้าเด็กคนไหนเดินลงเท้าเสียงดังผู้ใหญ่ก็อาจจะดุว่า “ไอ้เด็กคนนี้มารยาทยังกะไพร่” (วาทกรรมนี้นักแต่งนวนิยายไทยโบราณเอามาทำให้โด่งดังจนคนไทยทุกคนจำได้ขึ้นใจ) ซึ่งหากมองอย่างไม่ลำเอียงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอะไรนักหรอก เพราะไพร่นั้นก็ไม่ค่อยมี “มารยาท” จริงๆ เสียด้วย เนื่องจากไม่ได้ฝึกฝนนิสัยแบบผู้ดีมาก่อนนั่นเอง
ใช่ว่าผู้ดีจะดูถูกไพร่ฝ่ายเดียว เพราะไพร่เองก็เสียดสีผู้ดีว่า “ผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน” หรือ “ผู้ดีแปดสาแหรก” เด็กคนไหนทำอะไรนุ่มนิ่มแช่มช้าก็จะถูกดุแกมเสียดสีว่า “มึงเป็นผู้ดีแปดสาแหรกมาจากไหนวะ”
คนไทยเรานั้นติดนิสัยดูหมิ่นผู้อื่นในบริบทสังคมภาษาศาสตร์มาโดยตลอด จนแม้ในปัจจุบันนี้ พวกไพร่ทั่วไปก็ดูถูกไพร่ด้วยกันเอง เช่น “ไอ้ลาวเอ๊ย” “ไอ้เขมรโง่” “บักเสี่ยว” เห็นใครกินข้าวเสียงดัง ถุยน้ำลายก็ว่า “นิสัยยังกะเจ๊ก” โดยที่ผู้พูดก็ไม่ได้คิดอาฆาตมาดร้ายหรือดูหมิ่นอะไรหนักหนากับชนเผ่าที่พูดจาเสียดสีไป ตรงกันข้ามกลับรักใคร่ปรองดองอยู่ร่วมสังคมกันฉันพี่น้องตลอดมา
อาจจะเรียกว่าคนไทยเราไม่ค่อย “สำรวมทางสังคมภาษาศาสตร์” ก็ได้ ฝรั่งเองก็หาใช่ว่าจะไม่มีการใช้ภาษาแบบนี้เสียเลย เช่น Gook (ใช้เรียกคนเอเชียแบบดูถูก) Jap (ญี่ปุ่น) Nigger (นิโกร) แต่เขาไม่ใช้แบบเปิดเผยเหมือนเรา แต่กลับมีการรุนแรงทำร้ายร่างกายกันเพราะการเหยียดเผ่าพันธุ์ชั้นชนมากกว่าเราหลายร้อยเท่า
ชนชั้น “หัวก้าวหน้า” ในสังคมไทยทุกวันนี้คงคิดทรนงตนเองว่าสูงกว่าคนอื่น โดยเฉพาะ “พวกศักดินาล้าหลัง” ดังนั้นพวกนี้ก็คือ “เจ้าร่วมสมัย” นั่นเอง ที่ดูถูกพวกล้าหลังว่าเป็น “ไพร่ร่วมสมัย” (หรือชนชั้นต่ำทางความคิด) พวกเจ้าร่วมสมัยพวกนี้ ส่วนใหญ่เทิดทูนระบอบประชาธิปไตยแบบอังกฤษที่เคารพในศักดิ์ศรีมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่ท่านคงลืมไปว่ารัฐสภาอังกฤษนั้นประกอบไปด้วย House of Lords (สภาเจ้า) และ House of Commons (สภาไพร่) ที่ยังใช้กันอยู่จนทุกวันนี้
มีหลักฐานโดยอ้อมชี้ให้เห็นว่า การปกครองโดยเจ้าของเผ่าไทยโบราณนั้น เป็นการปกครองที่เป็นธรรมเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ “ไพร่ฟ้าหน้าใส” กันเป็นส่วนใหญ่ หลักฐานดังกล่าวนั้นคือซากปรักหักพังแห่ง สุโขทัย และ อยุธยา และแม้แต่รัตนโกสินทร์ด้วยซ้ำไป ซึ่งจะเห็นได้ในทั้งสามนครหลวงนี้ว่า วัดใหญ่กว่าวังมาก
ที่อยุธยา วังจันทรเกษม นั้นเป็นบ้านไม้หลังเล็กกว่าบ้านคหบดีเสียอีก ในขณะที่วัดมงคลบพิตร และอื่นๆ ใหญ่โตกว่า 10 เท่า และมีจำนวนมากจริงๆ นี่แสดงว่าเจ้าและขุนนางผู้สร้างวัดเหล่านี้ต่างมีใจบุญใจกุศลด้วยกันทั้งสิ้น แรงงานไพร่ที่เกณฑ์มานั้นแทนที่จะเอามาสร้างวังให้ตัวเอง กลับเอาไปสร้างวัดเสียหมด
วังจันทรเกษมนั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงประทับ ขนาดเป็นมหาราชระดับนั้นจะทรงเกณฑ์แรงงานคนมาสร้างวังให้ใหญ่โตเพียงใดก็ย่อมได้ แต่กลับทรงอยู่บ้านไม้หลังเล็กๆ อาจจะทรงสงสาร “ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน” ที่ตรากตรำทำสงครามมานาน
แต่กษัตริย์องค์อื่นๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีวังใหญ่โต แม้แต่วังของสมเด็จพระนารายณ์ที่ลพบุรี ก็มีแต่พื้นที่และกำแพงส่วนตัวอาคารนั้นเป็นตึกเล็กๆ ทั้งสิ้น และมีไม่กี่หลัง ในสมัยกรุงเทพฯ พระบรมมหาราชวังที่ติดกับวัดพระแก้วก็เล็กกว่าวัดมาก
กล่าวฝ่ายอังกฤษฝรั่งเศส วังบักกิ้งแฮม และวังแวร์ซาย รวมทั้งวังกษัตริย์อื่นๆ ในยุโรปนั้นใหญ่โตมโหฬารจริงๆ เดินทั้งวันก็ดูไม่หมด ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าสร้างมาด้วยแรงงานไพร่และภาษีที่เก็บมาจากไพร่ทั้งนั้น ยุโรปสมัยกลางนั้นแม้แต่พระก็มีอำนาจในการเก็บภาษี รีดเลือดจากปูได้ด้วย จนวัดก็ใหญ่โตอลังการไม่แพ้วัง เช่น วิหารเซนต์ต่างๆที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทุกวันนี้
แบบนี้ไพร่ฟ้าคงหน้าซีดกันเป็นแถวๆ จึงไม่แปลกอะไรที่ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ง่ายในยุโรป เพราะไพร่เคียดแค้นเจ้ามาก ส่วนของเราไพร่ฟ้าหน้าใสเป็นส่วนใหญ่จึงไม่มีแรงจูงใจให้คิดกบฏเพื่อสถาปนาระบอบไพร่อธิปไตยขึ้นมา
สมัยเด็กๆ ผมเองก็เคยนิยมจิตร ภูมิศักดิ์ กะเขาด้วย ที่เขียนหนังสือด่าเจ้าศักดินาได้สะใจดีแท้ แต่พอแก่ตัวลงผมมาฉุกคิดว่า จิตร ผิดไปแล้ว เพราะจิตรไม่มองถึงบริบทโบราณที่ระบบศักดินาเป็นสิ่งจำเป็นในการปกครองสมัยโน้น ตามระดับวิวัฒนาการธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์
ถ้าไม่มีระบบศักดินารับรองได้ว่ากษัตริย์พม่า เขมร ลาว ญวน จะบุกเข้ามากวาดต้อนคนไท ไปเป็นทาสหมดสิ้น เพราะวัฒนธรรมการเมืองระหว่างประเทศสมัยโน้นคือการทำสงครามกวาดต้อนผู้คนเข้ามาในขอบขัณฑสีมาของตน ถ้าเจ้าและขุนนางไม่เกณฑ์ไพร่สม ไพร่หลวง มาสร้างกำแพงเมือง มาฝึกอาวุธ มาปลูกข้าวเอาไว้เป็นเสบียง ทั้งไพร่และผู้ดีไทยก็คงถูกกวาดต้อนไปเป็น “ทาส” ต่างชาติกันหมดสิ้นสกุลไทยนั่นแล
ดังนั้นจึงขอเตือนพวกหัวก้าวหน้าทั้งหลายว่า จงสำนึกในบุญคุณของเจ้าและอำมาตย์ไว้ให้มาก ที่ได้ทำงานสร้างชาติ วัฒนธรรม และร่วมรบป้องชาติร่วมกับไพร่ไทยโบราณมาอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ จนรักษาแผ่นดินและความเป็นไทยไว้ให้พวกแกมาสร้างวาทกรรมจอมปลอมเพื่อประโยชน์ตนและพวกได้จนทุกวันนี้