xs
xsm
sm
md
lg

นายทุนแอบอ้าง “สงครามชนชั้น!”

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

การชุมนุมของ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” หรือ “กลุ่มเสื้อแดง” ในครั้งนี้ ได้เริ่มโหมโรงมายาวนานหลายสัปดาห์ และเริ่มระดมลั่นกลองรบตั้งแต่วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม เป็นต้นมา จนมาเริ่มเข้มข้นมากยิ่งขึ้นช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 13 มีนาคม เป็นต้นมา และ “วันดีเดย์ 14 มีนาคม” ของกลุ่มเสื้อแดงที่ประกาศไว้จะมีหมู่มวลสมาชิกจำนวนหนึ่งล้านคนจากทั่วทุกสารทิศ แต่ส่วนใหญ่มาจากภาคเหนือและภาคอีสาน

เป้าหมายของการชุมนุมครั้งนี้ น่าเชื่อว่าจะเป็นการชุมนุมครั้งสุดท้ายของกลุ่มเสื้อแดง เพื่อ “โค่น-ล้ม” ให้ “รัฐบาลประชาธิปัตย์” อยู่ไม่ได้ ด้วยการประกาศ “ยุบสภา” หรือ “ลาออก” นอกจากนั้น จริงๆ แล้ว “เป้าหมายหลัก” คือ “โค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตย” และ/หรือ “เลยเถิดสูงไปมากกว่านั้น!” ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็น “วาระแฝงเร้น!”

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า เป้าหมายของการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงที่น่าจะเหมารวมถึง “แกนนำ นปช.” และแน่นอน “พรรคเพื่อไทย” ที่พุ่งเป้าไปที่ “กลุ่มทุน-กลุ่มทหาร-กลุ่มเจ้า” ที่ประกอบเป็นเนื้อเดียวกันของ “องคาพยพ” ของ “โครงสร้าง-ระบบการเมืองการปกครอง” ในปัจจุบัน หรือพูดง่ายๆ คือ “กลุ่มที่อยู่ตรงข้าม” กับ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวก”

การประกาศยุทธศาสตร์ “สงครามชนชั้น” ของทั้ง นปช. และกลุ่มเสื้อแดงในครั้งนี้ถือว่า “แยบยลสุดๆ” เนื่องด้วยเป็น “วิธีการ” และ “เป้าหมายเดียว” ที่จะทั้ง “ปลุก-สร้างกระแส” ให้เกิดขึ้น ในบริบทของสังคมไทย กล่าวคือ “การแบ่งแยกชนชั้น” ระหว่าง “ประชาชนชนบท” และ “ประชาชนชาวเมือง” ที่แบ่งออกเป็น “ระดับรากหญ้า-คนยากคนจน” ซึ่งมีทั้งในเมืองหลวงและชนบท ซึ่งส่วนใหญ่เป็น “เกษตรกร” กับ “ระดับชนชั้นผู้นำ” ที่พุ่งเป้าไปเพียง “กลุ่มชนชั้นนำ” ที่ถูกตีตราว่าเป็น “ขุนนาง” และ/หรือ “อำมาตย์”

ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว “ชนชั้นผู้นำ” ไม่ว่ายุคใดสมัยใด และสังคมใดในโลกใบนี้ ล้วนเป็นองค์ประกอบชนชั้นผู้นำที่ประกอบไปด้วย “ข้าราชการ-นักการเมือง-นักธุรกิจ-เศรษฐี-นักวิชาการ-กลุ่มนายทุน ฯลฯ” ที่อยู่ใน “วังวนอำนาจ” ที่สามารถกำหนด “ทิศทาง-แนวทาง” ประกอบกับ “กระบวนการตัดสินใจ” ในการบริหารประเทศชาติ

และที่สำคัญไปกว่านั้น “ชนชั้นผู้นำ (Elite Group)” ยังมี “บทบาท-อิทธิพล” สำคัญต่อ “กระบวนการออกกฎหมาย-กระบวนการกำหนดนโยบาย” ในระบบการเมืองการปกครองและการบริหารประเทศชาติมากที่สุด

ขอย้ำว่า “ชนชั้นผู้นำ (Elite)” นั้น มิใช่มีแต่ “กลุ่มอำมาตย์-กลุ่มข้าราชการ” เท่านั้น แต่มีทุกชนชั้น ทุกกลุ่มที่มีอิทธิพลและบทบาทสำคัญไม่น้อยไปกว่ากลุ่มอำมาตย์เลย คือ “กลุ่มนายทุน (Capitalist)”

ทั้งนี้กลุ่มประชาชนระดับกลางและล่างอาจจะมีบทบาทและอิทธิพลน้อยกว่ากลุ่มทั้งสองข้างต้น ซึ่งเป็นความจริงที่เราต้องยอมรับ!

แต่การประกาศ “สงครามชนชั้น” ในครั้งนี้ ของทั้ง “กลุ่มนปช.-กลุ่มเสื้อแดง” และแน่นอน “พรรคเพื่อไทย” ส่วน “คุณทักษิณ” นั้น แทบไม่สามารถหลบหลีกความรับผิดชอบไม่ได้ว่าเป็น “จอมบงการ” และ “นายใหญ่” ผู้กุมบังเหียนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

ความจริงที่น่าเห็นใจว่า “พี่น้องประชาชนเกษตรกร-ระดับรากหญ้า” อาจจะมีจำนวนมากที่ “ถูกหลอก” ให้เป็น “เครื่องมือ” กับการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ซึ่งอาจจะเปี่ยมล้นไปด้วย “ความเชื่อมั่น-ศรัทธา” มากไปด้วย “หลักการ” และ “อุดมการณ์” ส่วนตนส่วนกลุ่ม แต่น่าเชื่อว่าจะมีเพียงปริมาณส่วนน้อยน่าจะไม่เกินร้อยละ 5-10 ของกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ “ถูกเบียดเบียน-ถูกรังแก” และเป็น “ผู้เสียเปรียบ-ด้อยโอกาส” ในสังคมชนบทและอาจลามถึงสังคมเมือง

ทั้งนี้ ได้มีการวิเคราะห์และนำเสนอความคิดเห็นด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากประชาชนคนไทยโดยทั่วไป สื่อสารมวลชน นักการเมือง นักวิชาการ และแม้กระทั่ง สื่อต่างประเทศว่า “พี่น้องกลุ่มผู้ชุมนุม” โดยส่วนใหญ่แล้ว “จัดตั้ง-ซื้อตั้ง” ด้วย “อามิสสินจ้าง” ด้วยเงิน ที่เริ่มตั้งแต่เพียง 300-500 จนถึง 1,000 บาท

หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า “ม็อบเงินนำหน้า” ประมาณร้อยละ 80-90 เลยทีเดียว มิใช่ร่วมชุมนุมด้วยหลักการ อุดมการณ์ ใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่ง “หลงใหลคลั่งไคล้ทักษิณ!” แต่ประการใด เรียกว่า “นับถือพระเจ้าอยู่หัว” บนธนบัตรเท่านั้น

ถ้าจะศึกษาทบทวนประวัติศาสตร์ของ “สงครามชนชั้น” กันอย่างจริงๆ จังๆ ด้วยการเริ่มไปที่ต้นแบบของสองประเทศหลัก คือ “สหภาพโซเวียต” และ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ก็ต้องบอกว่า “กลุ่มผู้นำ” ของทั้งสองประเทศที่ได้ “ปฏิวัติ-ปฏิรูป” โครงสร้างและระบบการเมืองการปกครองจริงๆ ชนิด “พลิกฟ้า-พลิกดิน” ต่างล้วนเป็น “กลุ่มบุคคล” ที่ยึดมั่นใน “อุดมการณ์” ทั้งสิ้น และเป็น “รัฐบุรุษ” ที่ “ติดดิน” และ “ร่วมรบ-ร่วมเป็นร่วมตาย” กับประชาชนของเราจริงๆ

ซึ่งผิดกับกลุ่มบุคคลชั้นนำที่ป่าวประกาศ “โค่นล้มอำมาตย์” ล้วนเป็น “อภิมหาเศรษฐี” มีทรัพย์สินเงินทองทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนมากถึงหลักแสนล้านลาท และใช้เม็ดเงินจำนวนมากกับการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ แต่ “หลอกลวง” และใช้ประชาชนระดับล่างเป็น “เครื่องมือ” เพื่อตนเองและคณะ

เพราะฉะนั้น “การประกาศสงครามชนชั้น” กับการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ต้องบอกว่า “ของปลอม” ทั้งเพ โดยเนื้อหาสาระมิได้เป็นเช่นนั้นแต่ประการใด แต่เป็น “การบิดเบือน” ที่ประชาชนจากต่างจังหวัดอาจจะมิได้รู้แจ้งเห็นจริงหรือ “เงินปิดหูปิดตา!”

อย่างไรก็ตามก็ต้องเรียนว่า “ระบบอำมาตยาธิปไตย” นั้น มิใช่เป็นระบบที่ดีที่สุด เพียงแต่อาจจะสอดคล้องกับยุคใดยุคหนึ่ง และก็ต้องสารภาพว่าเป็น “โครงสร้างอำนาจเก่า” ที่ “ระบบราชการ” เป็นใหญ่ ยึดครองอำนาจการบริหารการปกครองไว้อย่างเสร็จสรรพในช่วงก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 จนล้มลุกคลุกคลานมาตลอดระยะเวลา 78 ปี

“อำมาตยาธิปไตย” เป็นระบบการปกครองการบริหารที่ประกบควบคู่กับ “ราชาธิปไตย” มาแต่ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนสืบทอดมาจนถึงยุคสมัยรัตนโกสินทร์ เนื่องด้วยเป็นโครงสร้างและระบบของการปกครองการบริหารที่สถาบันกษัตริย์จำต้องมีในการเป็นองคาพยพกับการบริหารบ้านเมือง

ต้องยอมรับว่า “ความจริง” เป็นเช่นนั้น เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์ไม่สามารถบริหารจัดการชาติบ้านเมืองได้ด้วยพระองค์เองเพียงลำพัง ถ้าจะย้อนประวัติศาสตร์ไปยุคสมัยของ “สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ” ที่ “ปฏิรูประบบราชการครั้งที่ 1” กับ “หลักการจตุสดมภ์ 4 : เวียง วัง คลัง นา” ที่เป็นการแบ่งแยกส่วนในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมี “สมุหนายก” ดูแลฝ่ายฝ่ายพลเรือน และ “สมุหกลาโหม” ดูแลกองทัพ

“อำมาตย์-ข้าราชการ” มีบทบาทสำคัญในการบริหาราชการแผ่นดินรับใช้เบื้องพระยุคลบาทของพระมหากษัตริย์ที่มีมาช้านานนับหลายร้อยปี จนมาถึงยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ปฏิรูประบบราชการครั้งที่ 2 ในสมัยรัตนโกสินทร์ หลังจากการปฏิรูปครั้งแรกเมื่อ 400 กว่าปีผ่านไป เพื่อ “ทันสมัย-ทันโลก”

เพราะฉะนั้น การอ้างและโจมตี “ระบบอำมาตย์” ของกลุ่มเสื้อแดงจนถึงขั้นพยายาม “โค่นล้ม” นั้น ก็ต้องบอกว่า “ดักดาน” อย่างมากกับความรู้เชิงประวัติศาสตร์ถึงความสำคัญและที่มาที่ไปของ “วิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย”

อย่างไรก็ตาม ก็ขอรับสารภาพในการยอมรับความจริงว่า “ระบบอำมาตย์” นั้นได้รับการผ่องถ่ายอำนาจจากพระมหากษัตริย์ในการช่วยบริหารชาติบ้านเมืองจนกลายเป็น “การยึดครองอำนาจ” และมี “อำนาจมหึมา” ในการบริหารชาติบ้านเมืองตั้งแต่ “ศูนย์กลางอำนาจ” ในเมือง ไปจนถึง “ระดับภูมิภาค” และ “ระดับท้องถิ่น”

“ข้าราชการ-อำมาตย์” ในอดีตก็คือ “ระบบขุนนาง” ที่รับมอบอำนาจจากพระมหากษัตริย์ และความจริงที่ต้องยอมรับโดยดุษฎีว่า “ทุจริต-ฉ้อราษฎร์บังหลวง” นั้นเกิดขึ้นกับ “อำมาตย์ขุนนาง-ข้าราชการ” บางคนบางกลุ่มเมื่อมีอำนาจมากและสบโอกาส

ถามว่า แล้ว “การทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง-ประพฤติมิชอบ” ของ “กลุ่มนายทุน” ที่อ้างว่าเป็น “ประชาธิปไตย” แต่กลับมีพฤติการณ์ พฤติกรรมไม่แตกต่างไปจาก “ข้าราชการอำมาตย์ฉ้อราษฎร์บังหลวง” ในช่วงที่เรืองอำนาจสุดๆ ช่วง 2544-2548 หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านั้น แต่ไม่อหังกาเท่า

มันจะแตกต่างกันตรงไหนที่เมื่อใด “การฉ้อราษฎร์บังหลวง-ทุจริตประพฤติมิชอบ” ยังเกิดขึ้นทุกเมื่อชั่วยาม ไม่ว่า “ประชาธิปไตย” หรือ “อำมาตยาธิปไตย” จริงๆ แล้วมันคือ “ธนาธิปไตย” และ “เลวร้ายมากกว่าระบบอำมาตย์” เสียอีก!

ในที่สุด “การชุมนุมของ นปช.-เสื้อแดง” ยังคงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายกับการโค่นล้มรัฐบาลและการเรียกร้องให้มี “การยุบสภา” ได้ แต่ก็ต้องชื่นชมกลุ่มเสื้อแดงที่ยึด “สันติ-อหิงสา” ในการชุมนุมในครั้งนี้

แต่รับประกันได้เลยว่า “นายใหญ่” ที่ปักหลักบัญชาการที่ประเทศเพื่อนบ้านนั้น ไม่ยอมเลิกราอย่างเด็ดขาด!
กำลังโหลดความคิดเห็น