ห่างเหินการวิพากษ์วิจารณ์และวิเคราะห์ “สถานการณ์ชาติบ้านเมือง” ประมาณเกือบหนึ่งเดือนเต็ม ต้องขอสารภาพว่า “เอือม-เบื่อ” กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องด้วยท่านผู้อ่านและประชาชนที่มี “ความรู้-ข้อมูล” เลยไปจนถึง “ภูมิปัญญา” ต่างรู้ลึกซึ้งว่า “การเคลื่อนไหว” ทั้งหมดที่ก่อให้เกิดผลเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองนั้น “เพื่ออะไร-เพื่อใคร” โดยปากก็ประกาศปาวๆ ว่า “รักชาติ-เคารพประชาธิปไตย” พร้อมร้องแรกแหกกระเฌอ “หาความเป็นธรรม!”
สัปดาห์นี้ จึงขอเลี่ยงเรื่อง “เด็ก-เยาวชน” ไปบ้าง แต่คงต้องพาดพิงเกี่ยวข้องกับรากฐานของพฤติกรรมคน ที่แน่นอนที่สุด ต้องพัฒนามาจากช่วงเด็ก ทั้งจากครอบครัว โรงเรียน สถานะทางสังคมเศรษฐกิจ และท้ายสุดคือ สังคมรอบด้านของคน
เดือนกุมภาพันธ์เป็น “เดือนแดง!” ในที่นี้หมายความถึง “แดงความสุข-แดงเฉลิมฉลอง” โดยเฉพาะปี 2553 นี้ เป็น “การฉลองเทศกาลปีใหม่” ของชาวจีน “วันตรุษจีน” ที่ “สีแดง” เป็นสัญลักษณ์ของ “ชนชาติจีน”
“สีแดง” ของชาวจีนนั้น เป็นสัญลักษณ์ของ “ความสดใส” และ “ความเข้มข้น” ของเลือด แต่จริงๆ แล้ว “สีแดง” ของชาวจีนที่เชื่อว่าเป็น “สีแห่งความสำเร็จ-สีแห่งชัยชนะ” ดังนั้น ชาวจีน ไม่ว่าจะทำมาหากินปักหลักอยู่ ณ ที่ไหนในโลก ต่างจะยึดถือ “สีแดง” เป็น “สีแห่งความยิ่งใหญ่!”
ในขณะเดียวกัน เดือนกุมภาพันธ์ทุกปี จะกำหนดไว้ว่า “วันที่ 14 กุมภาพันธ์” เป็น “วันวาเลนไทน์” สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ ก็ “สีแดง” เหมือนกัน โดยเฉพาะ “ดอกกุหลาบ” ที่มีนัยความหมายของ “ความรัก” และ “ความสดชื่น”
ดังนั้น เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ (2553-2010) จึงถือว่าเป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับกรณีสีแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วันตรุษจีน” และ “วันวาเลนไทน์” บังเอิญประจวบเหมาะมาตรงกันพอดิบพอดี ในรอบน่าจะหลายสิบปีจะเกิดขึ้นซักครั้ง
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า “สีแดง” เป็นสัญลักษณ์ของ “ชัยชนะ-ความสำเร็จ-ความรัก-ความสดใส-ความสดชื่น” แต่ปรากฏว่า “สีแดง” สำหรับสังคมไทยในปัจจุบันเป็น “สีแห่งการรบ-ความรุนแรง-เลือด!”
ในขณะเดียวกัน “สีแดง” ในทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะ “การเมือง” เป็นสีแห่งระบบการเมืองการปกครอง ที่เน้นเฉพาะเจาะจงของ “คอมมิวนิสต์ (Communist)” โดยเริ่มมาตั้งแต่สมัยการเปลี่ยนแปลงระบอบ และโครงสร้างทางการเมืองครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศรัสเซีย มาเป็นสหภาพโซเวียตช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1917) และประเทศจีนในเวลาต่อมา (ค.ศ.1949)
การเปลี่ยนแปลงระบอบและโครงสร้างทางการเมืองการปกครองของทั้งสองประเทศ ถือว่าเป็น “การปฏิวัติ (Revolution)” ทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ แบบครบวงจร สถาบันสำคัญของชาติบ้านเมือง ตลอดจน “วัฒนธรรม (Culture)” ต่างๆ ถูกรื้อ และปรับสร้างใหม่หมด
“หลักการและปรัชญา” ของ “อุดมการณ์คอมมิวนิสต์” นั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “สังคมไร้ชนชั้น (Classless Society)” และ “สังคมไร้ศาสนา” ที่สังคมจะประกอบ “ความเท่าเทียม” กับสถานะและฐานะต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมทุกด้าน กล่าวคือ การศึกษา ที่อยู่อาศัย สถานที่ทำกิน สถานะทางเศรษฐกิจ โดยทุกคนมุ่งทำงานให้แก่ “รัฐ-สังคม” มีการ “แบ่งปัน-จัดสรร” โดยรัฐและกลุ่มปกครองแต่เพียงอย่างเดียว เรียก “สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ (Socialist-Communist)”
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นจริงแล้ว การปฏิวัติในครั้งนั้น ถือได้ว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านการเมืองการปกครอง ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ตราบเท่าทุกวันนี้ แต่ประเด็นสำคัญที่จะวิพากษ์วิจารณ์ คือ “การเป็นสังคมไร้ชนชั้น” แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ แล้วก็ต้องยอมรับว่า “ชนชั้นปกครอง-ชนชั้นบังคับบัญชา” ยังคงปรากฏอยู่ในโครงสร้างและระบบการเมืองการปกครอง
กล่าวคือ “กลุ่มผู้ปกครอง-กลุ่มผู้บังคับบัญชา” ยังคงเป็น “กลุ่มบุคคล” ที่ทำการปฏิวัติ โดยมี “อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (Totalitarian)” กับการกำหนดทิศทาง นโยบาย และการตัดสินใจในการบริหารประเทศชาติ พร้อมทั้งกำหนดกฎหมายเพื่อเป็นกรอบในการปกครองและบริหารจัดการ
เพราะฉะนั้น โดยความเป็นจริงแล้ว แนวคิดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เป็นเพียง “อุดมการณ์” เท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า “ระบบการเมืองการปกครอง” ยังคงเป็น “เผด็จการ” ที่ “ชนชั้นผู้นำ (Elite)” เปลี่ยนสภาพจากกลุ่มบุคคลและประชาชนสามัญธรรมดา มามีสถานะเป็น “ผู้ปกครอง (Governor)” แทนที่ “ผู้ปกครอง-ชนชั้นผู้นำ” เดิม
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว วันเวลาผ่านไป “อุดมการณ์” เพื่อ “ความเท่าเทียม” ของประชาชนในสังคม ได้กลายพันธุ์ไปจากเดิมมาก ที่ “ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง” ก็ยังคงเกิดขึ้นในสภาพเดิม ที่ชนชั้นผู้นำในอดีตประพฤติปฏิบัติกัน ไม่ได้แตกต่างกันเลย ซ้ำร้ายจะยิ่งหนักข้อกว่าเดิมด้วยซ้ำไป!
ประเทศสหภาพโซเวียต ก่อนที่จะมีการล้มเลิกสังคมนิยมคอมมิวนิสต์มาเป็นประชาธิปไตยดังเช่นทุกวันนี้ ก็เกิดจากคนที่ “ชนชั้นปกครอง” มีการทุจริตคอร์รัปชันกันอย่างมากมาย จนประชาชนยากจนถ้วนหน้า แต่กลุ่มผู้ปกครองร่ำรวย ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนน้อย
แต่ต้องยอมรับ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ยังคงสภาพระบบการเมืองการปกครองที่เป็น “สังคมนิยม” จริงๆ โดย “ลัทธิคอมมิวนิสต์” ได้คลายและจางความเข้มข้นลงไปมาก และมุ่งพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจด้วย “ระบบทุนนิยม” แต่ยังควบคุม กำกับ ดูแลโดยภาครัฐ ทั้งนี้ ปัญหาทุจริตคดโกง เกิดขึ้นน้อยมาก
ตลอดระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา เป็นกรณีแทบไม่น่าเชื่อว่า “แนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง” จะผุดขึ้นมากับบรรดากลุ่มผู้มีอำนาจในช่วงนั้น โดยพยายามค่อยๆ สร้างความคิด และมุ่งสู่ประชาชนระดับรากหญ้า ด้วยการบ่อนแซะทำลายสถาบันหลักของชาติ ด้วย “การแยก” และ “ยก” ให้สถาบันเบื้องสูงไม่ให้มีบทบาทสำคัญกับโครงสร้างและระบบการเมืองการปกครองไทย
ด้านประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย ถ้าสนใจติดตามจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ประเทศไทยกับสถาบันการเมืองการปกครองไทยเรานั้น มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งมากกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” และ “สถาบันกองทัพ” ซึ่งคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า โครงสร้างและระบบของสังคม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสัมพันธ์ยาวนานต่อเนื่องมาโดยตลอด ที่ทางวิชาการ เรียกว่า “ราชาธิปไตย” กับ “อำมาตยาธิปไตย”
จะมีใครบ้างมากน้อยขนาดไหนเพียงใด ที่จะมีความรู้ความเข้าใจถึง “ประวัติศาสตร์การเมืองไทย” ตลอดระยะเวลานับหลายร้อยปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่มาที่ไป ความสำคัญ และความสัมพันธ์ของสถาบันหลักชาติไทย ที่ “ประคับประคอง-ค้ำจุน” ให้ชาติบ้านเมืองพ้นภัยมาได้ถึงทุกวันนี้
เพื่อความเป็นธรรม สำหรับคนไทยทั่วไป ว่าเราคงจะคาดหวังให้พี่น้องคนไทยทั่วไปได้ศึกษาเรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ไทยอย่างละเอียดอ่อนลึกซึ้งคงเป็นไปได้ยาก ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดของสังคม จริงๆ แล้ว ประชาชนระดับไฮโซจำนวนมาก ยังไม่มีความรู้มากเลยหรือแทบไม่มีเลยก็เป็นได้กับประวัติศาสตร์ไทย นับประสาอะไรกับพี่น้องประชาชนระดับกลางและล่างที่จะมีโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้
กระบวนการทางสังคมทั้งระบบ จำต้องพยายามให้คนไทยเกิดความสนใจในประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ระบบการศึกษา” และที่สำคัญที่สุด คือ “สื่อมวลชน” ที่ต้องเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่
เป็นกรณีที่ “ผิดหวัง-เสียใจ-เสียความรู้สึก” อย่างมากว่า “กลุ่มผู้คัดค้าน-ต่อต้าน” และ “คิดเลยเถิด!” ไปถึงขั้นน่าเชื่อว่า “พยายามโค่นล้ม” สถาบันหลักๆ ของชาติ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ที่สร้างคุณูปการอเนกอนันต์ให้แก่ชาติบ้านเมืองมายาวนานนับร้อยปี ต่างมีการศึกษาระดับสูง เป็นทั้งนักการเมือง นักวิชาการ สื่อมวลชน และโดยเฉพาะ “ทหาร” ที่จบการศึกษาจากสถาบันทหาร แต่กลับสร้างพฤติการณ์พฤติกรรมที่ “ลบหลู่-ดูถูก-เหยียบย่ำ” ทั้ง “ศักดิ์ศรี-เกียรติยศ” สถาบันหลักของชาติ
“สถาบันเบื้องสูง” และ “สถาบันกองทัพ” เป็น “สถาบันศักดิ์สิทธิ์” ที่คนไทยทุกคนพึงต้องกตัญญูรู้คุณและซาบซึ้งในคุณูปการที่สร้างไว้กับชาติบ้านเมือง และทำให้แผ่นดินไทยอยู่รอดปลอดภัยตราบเท่าทุกวันนี้
“ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน” สมควรที่จะต้องมีการปลูกฝัง สั่งสอนแก่ลูกหลานไทยตั้งแต่เยาว์วัย โดยที่พวกเราที่รักชาติบ้านเมืองจะต้องพร่ำสอนให้เยาวชนรักหวงแหน ศักดิ์ศรี และเกียรติยศของความเป็นไทย มิใช่พยายามทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันสำคัญของชาติ
เดือนกุมภาพันธ์ น่าจะเป็น “เดือนแดง” ของ “ความสุข ความรัก และชัยชนะ ความสำเร็จ” แต่ปรากฏว่า เดือนกุมภาพันธ์ ตรุษจีน และวันวาเลนไทน์ ปี 2553 นี้จะเป็น “เดือนแดงดุ-แดงเดือด” ที่จะมีแต่ความอึดอัด หนักใจ แก่คนไทยทุกคน!
สัปดาห์นี้ จึงขอเลี่ยงเรื่อง “เด็ก-เยาวชน” ไปบ้าง แต่คงต้องพาดพิงเกี่ยวข้องกับรากฐานของพฤติกรรมคน ที่แน่นอนที่สุด ต้องพัฒนามาจากช่วงเด็ก ทั้งจากครอบครัว โรงเรียน สถานะทางสังคมเศรษฐกิจ และท้ายสุดคือ สังคมรอบด้านของคน
เดือนกุมภาพันธ์เป็น “เดือนแดง!” ในที่นี้หมายความถึง “แดงความสุข-แดงเฉลิมฉลอง” โดยเฉพาะปี 2553 นี้ เป็น “การฉลองเทศกาลปีใหม่” ของชาวจีน “วันตรุษจีน” ที่ “สีแดง” เป็นสัญลักษณ์ของ “ชนชาติจีน”
“สีแดง” ของชาวจีนนั้น เป็นสัญลักษณ์ของ “ความสดใส” และ “ความเข้มข้น” ของเลือด แต่จริงๆ แล้ว “สีแดง” ของชาวจีนที่เชื่อว่าเป็น “สีแห่งความสำเร็จ-สีแห่งชัยชนะ” ดังนั้น ชาวจีน ไม่ว่าจะทำมาหากินปักหลักอยู่ ณ ที่ไหนในโลก ต่างจะยึดถือ “สีแดง” เป็น “สีแห่งความยิ่งใหญ่!”
ในขณะเดียวกัน เดือนกุมภาพันธ์ทุกปี จะกำหนดไว้ว่า “วันที่ 14 กุมภาพันธ์” เป็น “วันวาเลนไทน์” สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ ก็ “สีแดง” เหมือนกัน โดยเฉพาะ “ดอกกุหลาบ” ที่มีนัยความหมายของ “ความรัก” และ “ความสดชื่น”
ดังนั้น เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ (2553-2010) จึงถือว่าเป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับกรณีสีแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วันตรุษจีน” และ “วันวาเลนไทน์” บังเอิญประจวบเหมาะมาตรงกันพอดิบพอดี ในรอบน่าจะหลายสิบปีจะเกิดขึ้นซักครั้ง
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า “สีแดง” เป็นสัญลักษณ์ของ “ชัยชนะ-ความสำเร็จ-ความรัก-ความสดใส-ความสดชื่น” แต่ปรากฏว่า “สีแดง” สำหรับสังคมไทยในปัจจุบันเป็น “สีแห่งการรบ-ความรุนแรง-เลือด!”
ในขณะเดียวกัน “สีแดง” ในทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะ “การเมือง” เป็นสีแห่งระบบการเมืองการปกครอง ที่เน้นเฉพาะเจาะจงของ “คอมมิวนิสต์ (Communist)” โดยเริ่มมาตั้งแต่สมัยการเปลี่ยนแปลงระบอบ และโครงสร้างทางการเมืองครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศรัสเซีย มาเป็นสหภาพโซเวียตช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1917) และประเทศจีนในเวลาต่อมา (ค.ศ.1949)
การเปลี่ยนแปลงระบอบและโครงสร้างทางการเมืองการปกครองของทั้งสองประเทศ ถือว่าเป็น “การปฏิวัติ (Revolution)” ทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ แบบครบวงจร สถาบันสำคัญของชาติบ้านเมือง ตลอดจน “วัฒนธรรม (Culture)” ต่างๆ ถูกรื้อ และปรับสร้างใหม่หมด
“หลักการและปรัชญา” ของ “อุดมการณ์คอมมิวนิสต์” นั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “สังคมไร้ชนชั้น (Classless Society)” และ “สังคมไร้ศาสนา” ที่สังคมจะประกอบ “ความเท่าเทียม” กับสถานะและฐานะต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมทุกด้าน กล่าวคือ การศึกษา ที่อยู่อาศัย สถานที่ทำกิน สถานะทางเศรษฐกิจ โดยทุกคนมุ่งทำงานให้แก่ “รัฐ-สังคม” มีการ “แบ่งปัน-จัดสรร” โดยรัฐและกลุ่มปกครองแต่เพียงอย่างเดียว เรียก “สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ (Socialist-Communist)”
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นจริงแล้ว การปฏิวัติในครั้งนั้น ถือได้ว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านการเมืองการปกครอง ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ตราบเท่าทุกวันนี้ แต่ประเด็นสำคัญที่จะวิพากษ์วิจารณ์ คือ “การเป็นสังคมไร้ชนชั้น” แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ แล้วก็ต้องยอมรับว่า “ชนชั้นปกครอง-ชนชั้นบังคับบัญชา” ยังคงปรากฏอยู่ในโครงสร้างและระบบการเมืองการปกครอง
กล่าวคือ “กลุ่มผู้ปกครอง-กลุ่มผู้บังคับบัญชา” ยังคงเป็น “กลุ่มบุคคล” ที่ทำการปฏิวัติ โดยมี “อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (Totalitarian)” กับการกำหนดทิศทาง นโยบาย และการตัดสินใจในการบริหารประเทศชาติ พร้อมทั้งกำหนดกฎหมายเพื่อเป็นกรอบในการปกครองและบริหารจัดการ
เพราะฉะนั้น โดยความเป็นจริงแล้ว แนวคิดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เป็นเพียง “อุดมการณ์” เท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า “ระบบการเมืองการปกครอง” ยังคงเป็น “เผด็จการ” ที่ “ชนชั้นผู้นำ (Elite)” เปลี่ยนสภาพจากกลุ่มบุคคลและประชาชนสามัญธรรมดา มามีสถานะเป็น “ผู้ปกครอง (Governor)” แทนที่ “ผู้ปกครอง-ชนชั้นผู้นำ” เดิม
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว วันเวลาผ่านไป “อุดมการณ์” เพื่อ “ความเท่าเทียม” ของประชาชนในสังคม ได้กลายพันธุ์ไปจากเดิมมาก ที่ “ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง” ก็ยังคงเกิดขึ้นในสภาพเดิม ที่ชนชั้นผู้นำในอดีตประพฤติปฏิบัติกัน ไม่ได้แตกต่างกันเลย ซ้ำร้ายจะยิ่งหนักข้อกว่าเดิมด้วยซ้ำไป!
ประเทศสหภาพโซเวียต ก่อนที่จะมีการล้มเลิกสังคมนิยมคอมมิวนิสต์มาเป็นประชาธิปไตยดังเช่นทุกวันนี้ ก็เกิดจากคนที่ “ชนชั้นปกครอง” มีการทุจริตคอร์รัปชันกันอย่างมากมาย จนประชาชนยากจนถ้วนหน้า แต่กลุ่มผู้ปกครองร่ำรวย ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนน้อย
แต่ต้องยอมรับ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ยังคงสภาพระบบการเมืองการปกครองที่เป็น “สังคมนิยม” จริงๆ โดย “ลัทธิคอมมิวนิสต์” ได้คลายและจางความเข้มข้นลงไปมาก และมุ่งพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจด้วย “ระบบทุนนิยม” แต่ยังควบคุม กำกับ ดูแลโดยภาครัฐ ทั้งนี้ ปัญหาทุจริตคดโกง เกิดขึ้นน้อยมาก
ตลอดระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา เป็นกรณีแทบไม่น่าเชื่อว่า “แนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง” จะผุดขึ้นมากับบรรดากลุ่มผู้มีอำนาจในช่วงนั้น โดยพยายามค่อยๆ สร้างความคิด และมุ่งสู่ประชาชนระดับรากหญ้า ด้วยการบ่อนแซะทำลายสถาบันหลักของชาติ ด้วย “การแยก” และ “ยก” ให้สถาบันเบื้องสูงไม่ให้มีบทบาทสำคัญกับโครงสร้างและระบบการเมืองการปกครองไทย
ด้านประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย ถ้าสนใจติดตามจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ประเทศไทยกับสถาบันการเมืองการปกครองไทยเรานั้น มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งมากกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” และ “สถาบันกองทัพ” ซึ่งคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า โครงสร้างและระบบของสังคม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสัมพันธ์ยาวนานต่อเนื่องมาโดยตลอด ที่ทางวิชาการ เรียกว่า “ราชาธิปไตย” กับ “อำมาตยาธิปไตย”
จะมีใครบ้างมากน้อยขนาดไหนเพียงใด ที่จะมีความรู้ความเข้าใจถึง “ประวัติศาสตร์การเมืองไทย” ตลอดระยะเวลานับหลายร้อยปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่มาที่ไป ความสำคัญ และความสัมพันธ์ของสถาบันหลักชาติไทย ที่ “ประคับประคอง-ค้ำจุน” ให้ชาติบ้านเมืองพ้นภัยมาได้ถึงทุกวันนี้
เพื่อความเป็นธรรม สำหรับคนไทยทั่วไป ว่าเราคงจะคาดหวังให้พี่น้องคนไทยทั่วไปได้ศึกษาเรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ไทยอย่างละเอียดอ่อนลึกซึ้งคงเป็นไปได้ยาก ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดของสังคม จริงๆ แล้ว ประชาชนระดับไฮโซจำนวนมาก ยังไม่มีความรู้มากเลยหรือแทบไม่มีเลยก็เป็นได้กับประวัติศาสตร์ไทย นับประสาอะไรกับพี่น้องประชาชนระดับกลางและล่างที่จะมีโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้
กระบวนการทางสังคมทั้งระบบ จำต้องพยายามให้คนไทยเกิดความสนใจในประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ระบบการศึกษา” และที่สำคัญที่สุด คือ “สื่อมวลชน” ที่ต้องเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่
เป็นกรณีที่ “ผิดหวัง-เสียใจ-เสียความรู้สึก” อย่างมากว่า “กลุ่มผู้คัดค้าน-ต่อต้าน” และ “คิดเลยเถิด!” ไปถึงขั้นน่าเชื่อว่า “พยายามโค่นล้ม” สถาบันหลักๆ ของชาติ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ที่สร้างคุณูปการอเนกอนันต์ให้แก่ชาติบ้านเมืองมายาวนานนับร้อยปี ต่างมีการศึกษาระดับสูง เป็นทั้งนักการเมือง นักวิชาการ สื่อมวลชน และโดยเฉพาะ “ทหาร” ที่จบการศึกษาจากสถาบันทหาร แต่กลับสร้างพฤติการณ์พฤติกรรมที่ “ลบหลู่-ดูถูก-เหยียบย่ำ” ทั้ง “ศักดิ์ศรี-เกียรติยศ” สถาบันหลักของชาติ
“สถาบันเบื้องสูง” และ “สถาบันกองทัพ” เป็น “สถาบันศักดิ์สิทธิ์” ที่คนไทยทุกคนพึงต้องกตัญญูรู้คุณและซาบซึ้งในคุณูปการที่สร้างไว้กับชาติบ้านเมือง และทำให้แผ่นดินไทยอยู่รอดปลอดภัยตราบเท่าทุกวันนี้
“ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน” สมควรที่จะต้องมีการปลูกฝัง สั่งสอนแก่ลูกหลานไทยตั้งแต่เยาว์วัย โดยที่พวกเราที่รักชาติบ้านเมืองจะต้องพร่ำสอนให้เยาวชนรักหวงแหน ศักดิ์ศรี และเกียรติยศของความเป็นไทย มิใช่พยายามทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันสำคัญของชาติ
เดือนกุมภาพันธ์ น่าจะเป็น “เดือนแดง” ของ “ความสุข ความรัก และชัยชนะ ความสำเร็จ” แต่ปรากฏว่า เดือนกุมภาพันธ์ ตรุษจีน และวันวาเลนไทน์ ปี 2553 นี้จะเป็น “เดือนแดงดุ-แดงเดือด” ที่จะมีแต่ความอึดอัด หนักใจ แก่คนไทยทุกคน!