ผมจำได้ว่า ในห้วงเวลาที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมยืดเยื้อต่อต้านระบอบทักษิณอย่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ในท่ามกลางกลไกรัฐที่อยู่ภายใต้รัฐบาลนอมินีของทักษิณถึงสองรัฐบาล ที่ใช้วิธีการตอบโต้รังควานทั้งการใช้ตัวบทกฎหมาย และการใช้อาวุธทำร้ายทำลายกระบวนการภาคประชาชน ผ่านการขับเคลื่อนบงการจากทักษิณ ชินวัตร ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างต่อเนื่อง
และนับวันก็เร่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ด้วยการปลุกปั่นให้เกิดการแบ่งแยกประชาชนเป็นสีเหลืองและสีแดงถึงขั้นจวนเจียนจะปะทุเป็นสงครามประชาชน โดยเป้าหมายหลักเพียงเพื่อปกป้องทักษิณให้พ้นผิดจากการเป็นนักโทษหลบหนีคดีความแลให้กลับมามีอำนาจรัฐดังเดิม โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
ในฐานะผู้สังเกตการณ์ทางการเมือง ที่เชื่อมั่นต่อพลังทางศีลธรรมผ่านการเมืองภาคประชาชน ผมได้เคยพยายามใช้หลักทางศีลธรรมเตือนสติ ทักษิณ ชินวัตร ผ่านบทกลอนของ ว.แหวนลงยา อยู่หลายครั้งหลายครา ด้วยความปรารถนาดี ว่า
ค่อยค่อยคลี่ ทีละเปลาะ วิเคราะห์คิด
ค่อยค่อยแก้ ทีละผิด ให้ถูกต้อง
ค่อยค่อยถือ ทีละธรรม ตามครรลอง
ค่อยค่อยส่อง สว่างใจ ให้เห็นธรรม
เธอจะเห็น ความเป็นไป ในชีวิต
ถูก-ผิด ชั่ว-ดี และสูงต่ำ
มีมืด มีสว่าง มีขาว-ดำ
ทุกสิ่งล้วน โลกธรรม ธรรมดา
สรรพสิ่ง ทั้งมวล ล้วนว่างเปล่า
สมมุติเรา สมมุติเขา สมมุติค่า
ล้วนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เกิดมา ตั้งอยู่ และดับไป
แต่ถ้าใจ ยังร้อนเร่า จะเอาชนะ
ด้วยโมหะ โทสะ ที่ลุกไหม้
ต่อให้เธอ หลบลี้ หนีไปไกล
ก็หนีไป ไม่พ้น ใจตนเอง
(คำเตือน ทักษิณ ชินวัตร www.oknation.net/blog/wachira89)
ผมเคยแอบมีความหวังเล็กๆ ว่า สักวันหนึ่ง คนที่เคยฉลาดปราดเปรื่องอย่าง ทักษิณ ชินวัตร น่าจะคิดได้ รู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี ยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วหันกลับมาแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด กลับตัวกลับใจมาสร้างคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองและสังคม ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดอย่างมีสติ
ผมเคยแอบดีใจเล็กๆ ทุกครั้ง ที่ได้ยินทักษิณเอ่ยอ้างหลักธรรมเป็นภาษาบาลี ต่อสื่อและต่อสาธารณชนหลายต่อหลายครั้ง จนทำให้เชื่อว่า ลึกๆ ในใจของทักษิณน่าจะยังมีหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์หลงเหลืออยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย
แต่ก็น่าเสียดายยิ่งนัก ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลับส่อแสดงตอกย้ำให้ความหวังและความเชื่อเล็กๆ ของผมหดหายไปเป็นลำดับ จนแทบจะไม่หลงเหลือให้หวังให้เชื่ออีกต่อไปแล้ว เพราะพฤติกรรมที่ ทักษิณ ชินวัตร แสดงออกทั้งคำพูดและการกระทำ ล้วนแต่ส่อไปในทางที่ไม่ยินดียินร้ายต่อทำนองคลองธรรม เยี่ยงคนที่ขาดหิริโอตตัปปะอย่างไม่น่าเชื่อ
พฤติกรรมที่ตอกย้ำการขาดไร้หลักธรรมอย่างชัดแจ้งของผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ก็คือ การไม่ยอมรับหลักความถูกต้องชอบธรรม เมื่อกระทำผิดและถูกจับได้ไล่ทันแล้ว นอกจากจะไม่ยอมรับผิด ไม่กล้าหาญพอที่จะเข้าสู่การพิจารณาถูกผิดในกระบวนการยุติธรรมตามปกติเยี่ยงวิญญูชนทั่วไปแล้ว ยังกลับพยายามบ่ายเบนบ่ายเบี่ยงและกระทำการย่ำยีต่อหลักการอำนวยความยุติธรรมของบ้านของเมืองอยู่ตลอดเวลา
ใช้ทั้งวิธีการกล่าวร้าย ทำลายสถาบันสำคัญของชาติต่อสื่อมวลชนต่างประเทศ ทั้งการใช้สื่อ ทวิตเตอร์ทางอินเทอร์เน็ต และทั้งการวิดีโอลิงก์หรือการโฟนอินปลุกปั่นยุยงกลุ่มคนเสื้อแดงให้ต่อต้านอำนาจรัฐเพื่อช่วยให้ตนพ้นผิด ด้วยการก่อกวน ก่อเหตุสร้างความวุ่นวาย และความรุนแรง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อบ้านเมืองและสังคมโดยส่วนรวม
ล่าสุดเมื่อถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินพิพากษาว่าใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบ เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจในเครือและวงศาคณาญาติจนร่ำรวยผิดปกติ โดยศาลพิพากษายึดทรัพย์ในส่วนที่ได้มาโดยมิชอบจำนวน 46,373 ล้านบาท แทนที่จะสงบนิ่งค่อยๆไตร่ตรองทบทวนคำพิพากษา ซึ่งน่าจะเป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์กระบวนการยุติธรรมไทยที่เขียนคำพิพากษาแบบแจกแจงรายละเอียดทุกข้อกล่าวหาทุกข้อต่อสู้ของโจทย์และจำเลยอย่างกระจะกระจ่างถึงขั้นอธิบายนิยามคำจำกัดความถ้อยคำทางกฎหมายด้วยซ้ำไป จนเป็นคำพิพากษาคดีความที่ใช้เวลาอ่านคำพิพากษายาวนานที่สุดถึง 7 ชั่วโมง
ทักษิณ ชินวัตร กลับลุแก่โทสะตอบโต้สวนคำพิพากษาทันควัน ว่าคำพิพากษาไม่เป็นธรรม ศาลถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง, มีคนปักธง, ดุลอำนาจทั้งหมด อยู่ที่อำมาตย์สามารถกดปุ่มสั่งการให้ระบบหนึ่งมีอำนาจเหนืออีกระบบหนึ่งได้อย่างง่ายดาย, และ...... “กฎหมายไทยเหมือนเล่นติ๊ต่าง ถ้าเป็นพวกผม ผมก็จะไม่ใช้บังคับกับคุณ ถ้าคุณไม่ใช่พวกผม กฎหมายจะเดินเร็ว ตีความให้คุณเดือดร้อน ขาดมาตรฐานสากลอย่างรุนแรง ไม่สมกับการที่ประเทศไทยได้พัฒนามาถึงจุดนี้ และมี คนเพียงคนเดียว กระชากประเทศไทยถอยหลังได้อย่างน่ากลัวมาก”
ผมเชื่อว่า สาธุชนคนไทยที่รับฟังคำพิพากษาประวัติศาสตร์ 7 ชั่วโมง เมื่อวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ แม้จะมีความคิดเห็นต่อคำพิพากษาแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ พื้นฐานความรู้ที่แตกต่างกัน มีบ้างว่าเมื่อผิดแล้วก็น่าจะต้องยึดทั้งหมด และก็มีบ้างที่เห็นคล้อยว่ายึดตามส่วนที่พิสูจน์ได้ว่าไม่ชอบอย่างนี้ถูกต้องสมควรแก่เหตุแล้ว
แต่ทั้งสิ้นทั้งปวง ก็หาได้มีผู้หนึ่งผู้ใดบังอาจลุกขึ้นมาตอบโต้ดูหมิ่นดูแคลนศาลอย่างสาดเสียเทเสียเหมือนอย่างที่ทักษิณกระทำไม่ (ยกเว้นกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วน และสมุนรับใช้ทางการเมืองของทักษิณบางคนเท่านั้น)
แต่ก็เอาเถอะครับ ไม่ว่าฝ่ายที่ยังหลงใหลได้ปลื้มกับ ทักษิณ ชินวัตร จะฟาดงวงฟาดงาวางแผนก่อกวนป่วนบ้านป่วนเมืองตามวิสัยไม่รู้ดีรู้ชั่ว ในรูปแบบใดๆ อีกต่อไป คุณูปการที่คนไทยผู้รักความเป็นธรรมได้รับจากคดียึดทรัพย์ในครั้งนี้ ก็คือ การได้มีโอกาสรับรู้และเรียนรู้ ถึง กลไกฉ้อฉลอันสลับซับซ้อนของระบบธุรกิจการเมือง และหลักการพิจารณาข้อเท็จจริงกับข้อกฎหมายอย่างกระจะกระจ่าง
และคดียึดทรัพย์ครั้งนี้ถือเป็นกรณีศึกษาที่มีคุณค่าทั้งทางวิชาการด้านกฎหมาย และด้านการเมืองการปกครอง อย่างน้อยที่สุด ก็น่าจะเป็นบทเรียนสำหรับนักการเมืองไทย ที่จะต้องพึงสังวรรับรู้ว่า การคิดจะเข้ามาใช้อำนาจรัฐฉ้อฉลปล้นชาติ ด้วยเล่ห์กลซับซ้อนซ่อนเงื่อนพิสดารพันลึกอย่างไร ก็ไม่อาจจะหลุดรอดพ้นจากการตรวจสอบ ด้วยการฟื้นตื่นขึ้นมาของพลังทางศีลธรรมและการเมืองภาคประชาชน ที่นับวันจะขยายตัวเป็นกระบวนการที่เข้มแข็งเข้มข้นมากยิ่งขึ้นตลอดเวลานับจากนี้ไป
ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ที่ได้รับคุณูปการจากการตัดสินพิพากษาคดีประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ ผมขอน้อมคารวะและขอบพระคุณองค์คณะตุลาการและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ด้วยบทกวีเล็กๆ บทนี้ครับ
ชัดถ้อย ชัดคำ วินิจฉัย
แจงทุกเหตุ เลศนัย ทุกข้อหา
เรียงหลัก ตรรกะ ทุกกติกา
กลั่นเป็น คำพิพากษา ธรรมาภิบาล
ชูธรรม ชูค่า แห่งตราชู
วินิจฉัย ให้เรียนรู้ ทุกรอบด้าน
ยุติธรรม กอบกู้ วิกฤตการณ์
เป็นหลักเมือง หลักบ้าน หลักฐานธรรม
(คำพิพากษาธรรมาภิบาล http://www.oknation.net/blog/wachira89))
และผมอยากจะเตือนสติ ทักษิณ ชินวัตร ด้วยว่า การที่จะแสวงหาความเป็นธรรมทั้งในนรก และบนสวรรค์นั้น ทุกหนทุกแห่งย่อมมีความเป็นธรรมแน่นอนครับ เพียงแต่ว่าผู้ที่จะแสวงหาความเป็นธรรม ต้องมีใจเป็นธรรมเสียก่อนเท่านั้นเอง