xs
xsm
sm
md
lg

มาช่วยกันสร้างเกราะแก้วให้กระบวนยุติธรรม

เผยแพร่:   โดย: อุษณีย์ เอกอุษณีษ์

ในบทความเรื่อง “จุดจบคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน” ที่ตีพิมพ์ในมติชนเมื่อ 15มกราคม เจ้าของนามปากกา “ประสงค์ วิสุทธิ์” ผู้เปิดปมซุกหุ้นคนแรกๆ จนสะเทือนเลื่อนลั่นวงการการเมืองไทยเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ได้เอ่ยถึงภาพยนตร์ชื่อดังของ ฮอลีวูด เรื่อง SWAT: สวาท หน่วยตำรวจมะกันที่รับหน้าที่คุมตัวผู้ต้องหาค้ายาเสพติดรายใหญ่จากโรงพักนิวยอร์กไปส่งเรื่องจำของรัฐ แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดความวุ่นวายตามมาก็คือ ผู้ต้องหา (ไม่รู้หน้าเหลี่ยมไม่เหลี่ยม) ดันมีโอกาสให้สัมภาษณ์นักข่าวทีวี มันเลยประกาศว่า “ถ้าใครช่วยตนออกไปได้จะให้ 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4 พันล้านบาท” แล้วอำนาจเงินก็ทำให้แก๊งอาชญากรรมทั้งนิวยอร์กผนึกกำลังขนอาวุธหนัก มาช่วยมันแหกคุก กลายเป็นภาระให้กับหน่วย SWAT

ที่เด็ดยิ่งไปกว่า คือคนเขียนบทเจ้ากรรม ตั้งใจจะทรมานใจคนดู เขียนให้หนึ่งในสมาชิกหน่วย SWAT คิดคดทรยศต่อหน้าที่การงานของตัวเอง คือ หวังจะพาคนร้ายหนี แลกกับเงิน 100 ล้าน ผลสุดท้ายจบลงที่คนทรยศถูกยิงตาย ท่ามกลางเสียงสาปแช่ง และนักโทษชายปราชัย...

คุณประสงค์ วิสุทธิ์ เขียนเพื่ออะไร ไม่มีความจำเป็นต้องไปก้าวล่วง แต่สิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงใจความสำคัญของภาพยนตร์ที่คอลัมนิสต์ท่านนี้ยกมา ต้องการจะสอนให้เห็นถึงความเลวร้ายของผู้คิดคดทรยศต่อหน้าที่

“คนก่อกรรมทำเข็ญนั้น ย่อมถูกสังคมประณามว่าเป็นคนชั่วช้าอยู่แล้วแต่คนที่ทรยศต่อหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือคนชั่ว เพราะหวังเงิน ชั่วช้าและน่ากลัวยิ่งกว่า”

จบจากเรื่องภาพยนตร์ฮอลีวูด หันมาดูเรื่องบ้านเมืองกันบ้าง เมื่อวันพุธที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพิ่งเดินทางไปให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา กรณีมีบุคคลภายนอกรู้ล่วงหน้าคำพิพากษาคดีทุจริตซื้อต้นกล้ายางพารา มูลค่า1,440 ล้านบาท ก่อนที่องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะ อ่านคำพิพากษา

…พูดง่ายๆ ก็คือ สอบหาที่มาข่าวลือ เลขล็อก 8 ต่อ 1 นั่นเอง …

ตามข่าวนั้น หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ได้ให้ข้อมูล และตอบคำถามคณะกรรมการของศาลอย่างเต็มที่ นานถึง 3 ชั่วโมง โดยที่ทนาย สุวัตร อภัยภักดิ์ ระบุว่า ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนได้เกรงจะไม่เหมาะสม

หากจะย้อนรอยปรากฏการณ์ ผลสอบคดีกล้ายางรั่วจริงหรือ?

คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองนัดฟังคำพิพากษาคดีในวันที่ 17 สิงหาคม 2552 แต่พอถึงวันจริง กลับมีเหตุที่ทำให้คณะผู้พิพากษาชุดที่มีท่าน บุญรอด ตันประเสริฐ เป็นประธานไม่สามารถอ่านคำพิพากษาได้ อันเนื่องมาจากจำเลยทั้ง 44 คนมาปรากฏตัวต่อศาลไม่ครบ ศาลจึงนัดอ่านคำพิพากษาอีกครั้ง ในวันที่ 20 กันยายน 2552

ขณะที่มติ 8 ต่อ 1 เนวินรอด!!! ดังอื้ออึงไปแล้วทั่วทั้งสังคมตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม 2552 ไม่ใช่แค่จากตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล แม้แต่แกนนำเสื้อแดงที่ไม่ใช่ระดับที่มีความสลักสำคัญอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ ก็ยังเอาเรื่องนี้ไปปราศรัย

ถือเป็นเรื่องดีที่ศาลยุติธรรมวันนี้ไม่นิ่งนอนใจแต่ลุกขึ้นมาหาคำตอบลบข้อครหา ผลคดีรั่วจริงหรือไม่ ด้วยการตั้งคณะกรรมการเพื่อแสวงหาคำตอบที่แท้จริง ต้องยอมรับว่า วันนี้สิ่งที่สังคมตั้งคำถามกับปรากฏการณ์ดังกล่าว มีความสำคัญต่อสถานะของสถาบันที่ผดุงความยุติธรรม

คนทั่วไป ไม่ได้อยากรู้ว่า สนธิ เก่งมาจากไหนถึงรู้ไปทุกเรื่อง กระทั่งผลคดีกล้ายาง และคนทั่วไปไม่ได้อยากรู้ว่า สนธิรู้แล้วทำไมไม่เก็บไว้ เอามาพูดทำไม ไม่เหมาะสม

แต่ที่คนทั้งประเทศต้องการคำตอบ และต้องตอบให้ได้คือ

คำพิพากษารั่วจริงหรือไม่?

หากรั่วจริง ก็ต้องสืบต่อให้ได้ว่ารั่วเพราะอะไร? ในขั้นตอนไหน?

การรั่วออกมาก่อนหน้าคำพิพากษาจะถูกอ่านถึงเกือบเดือนส่งผลกระทบต่อความยุติธรรมและความเชื่อมั่นในคดีดังกล่าว หรือไม่?

และคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นนี้จะมีอำนาจมากน้อย สามารถสอบถามองค์คณะผู้พิพากษาคดีทุจริตกล้ายางทั้งคณะได้หรือไม่ หรือสามารถเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้หรือไม่ มีอำนาจมากแค่ไหน?

อย่าไประแวงว่าการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจฝ่ายยุติธรรมเยี่ยงนี้จะเข้าทางคนเสื้อแดง เพราะตราบใดที่กระบวนการยุติธรรมมีความโปร่งใส การตรวจสอบและการชี้แจงลักษณะนี้มีแต่จะช่วยลบคำสบประมาทของพวกไม่หวังดีต่อบ้านต่อเมืองได้ ในทางตรงข้าม การตรวจสอบก็จะเป็นทางสร้างเกราะแก้วคุ้มภัย ให้กับสถาบันสำคัญของชาติให้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ให้มีพวกเหลือบ ลิ้น เรไรเข้ามาแสวงหาประโยชน์ ด้วยการใช้เงินซื้อ หรือใช้ขนมซื้อก็ตาม

การตรวจสอบครั้งนี้ ยิ่งควรจะทำให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วยว่า หากตรวจสอบแล้วพบข้อพิรุธ ความไม่ถูกไม่ต้องในหมู่บุคลากรของกระบวนการยุติธรรม ผู้มีอำนาจก็พร้อมจะตัดเนื้อร้ายนั้นทิ้งทำลาย และลงโทษไม่ให้ลุกลามไปได้ เป็นการสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ เป็นการลงโทษบุคคลผู้มีความผิด เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันให้คงอยู่เป็นที่พึ่งพาของประชาชน

อย่าให้ซ้ำรอยกรณีสินบนคดียุบพรรค ที่ลำพังคนระดับอดีตเลขาธิการประธานศาลฎีกายุคตุลาการภิวัฒน์อย่าง นายจรัญ ภักดีธนากุล ถึงขั้นออกมาเปิดข้อมูลว่า มีนักการเมืองบางพรรคมอบหมายให้กับข้าราชการบางคนไปเสนอให้สินบนแก่ตุลาการรัฐธรรมนูญบางท่าน แต่เจอคนดีที่ท่านปฏิเสธไม่รับ จึงทำให้คดีซุกหุ้นภาค 2 ไม่ซ้ำรอยคดีเก่าๆ (ดูเพิ่มจากรายงานพิเศษ : “สินบนตุลาการฯ” ต้องเคลียร์...ไม่มี “ผู้รับ” จริงหรือ? ผู้จัดการออนไลน์ 20 มิ.ย. 50)

สิ้นความจากปากอาจารย์จรัญ นอกจากกระทรวงยุติธรรมจะนำตัว “นายหน้าม้าใช้” ที่ว่ามาลงโทษไม่ได้ เพราะผลการสอบของคณะกรรมการฯ ระบุว่า พยานหลักฐานอ่อน เอาผิดไม่ได้ (ดู พินิจ สุเสารัจ พ้นผิดคดีให้สินบนตุลาการ รธน.คดียุบพรรคการเมือง, สำนักข่าวไทย 4 ธ.ค. 50) เรื่องนี้กลับมีความไม่ชอบมาพากล เมื่อรองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมในขณะนั้น ออกมาข่มขู่ผู้เปิดเผยอย่างท่านจรัญ ภักดีธนากุล และนายวีระ สมความคิดว่า จะแจ้งความกลับ

ผลลัพธ์แบบนี้ นอกจากจะทำให้สังคมไม่คลายความสงสัยแล้ว ยังจะพลอยเป็นการกีดกันไม่ให้คนดีๆ เสนอตัวออกมาทำหน้าที่ช่วยสอดส่องดูแลความถูกต้องในสังคม เพราะคนจะกลัวเดือดร้อน และพูดเสียงเดียวกันว่า อย่าไปยุ่งเลย เดี๋ยวก็เจ็บตัวเหมือน สนธิ จรัญ หรือวีระ หรอก ...
เคาะข่าวริมโขง : “พิภพ” ดักทางเฒ่าร้อยเล่ห์ ตั้งฉายาร่างฯ หมอเหวง “ฉบับกู้ชีพ นช.แม้ว”
พิภพ ดักทาง เฒ่าร้อยเล่ห์ จับยัดร่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับกู้ชีพ นช.แม้ว เข้าสู่สภา ชี้ เข้าข่ายใช้อำนาจมิชอบ ขัดมาตรา 270 ที่ระบุชัดเจน ให้ถามเสียงประชาชน แจง เหตุยื่นถอดถอน เพราะไม่ทำหน้าที่สมเป็นประธานสภา คิดนำร่างแก้รธน. ฉบับหมอเหวง ใช้สภาฟอกบาป นช.แม้ว แก้ไขมาตรา 390 ช่วยนักโทษชายหนีคุก ยัน จุดยืนพันธมิตรฯ ไม่เคยกดดัน แต่ต้องการแสดงเจตนารมย์แน่วแน่ ต้านแก้รัฐธรรมนูญทุกรูปแบบ พร้อมชวน ปชช. ที่เห็นด้วย ดาวน์โหลดแบบฟอร์มถอดถอน เฒ่าชัย-ส.ส.102 คน กระสันอยากแก้รัฐธรรมนูญตัวสั่น
กำลังโหลดความคิดเห็น