ถ้าหากเปรียบกับมวยแล้ว คงต้องบอกว่า เวลานี้ “กลุ่มอำนาจใหม่” กำลังตกอยู่ในสภาพบอบช้ำยิ่ง เพราะถูกคู่ต่อสู้ประเคนทั้งหมัด ศอก เข่า เข้าใส่จนต้องถอยกรูดไปยืนพิงเชือกแล้วเด้งเชือกหลบสารพัดอาวุธที่ระดมเข้าใส่ไม่ยั้ง แถมแต่ละดอกที่ยิงเข้าใส่นั้น ก็ล้วนแล้วแต่รุนแรงถึงขั้นที่รอวันถูกน็อกกลางอากาศหรือไม่ก็รอเสียงระฆังหมดยกจากรรมการช่วยเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นศึกใหญ่ฝ่ายขุนทหารที่แม่ทัพบกต้องเผชิญจากเครื่อง GT200 จนออกอาการแต๋วแตกเป็นครั้งที่ 2 หรือศึกใหญ่ที่ “กระทรวงมหาดไทย” อันเป็นผลงานชิ้นโบว์ดำของ “ยี้ห้อยจูเนียร์” ที่มูมมามสะสมเสบียงกรังอย่างประเจิดประเจ้อเจริญรอยตามผู้เป็นพี่ชาย จนผู้รักความเป็นธรรมไม่อาจอยู่นิ่งเฉยทนต่อพฤติกรรมดังกล่าวได้
งานนี้ คงต้องบอกว่า พ่ายแพ้อย่างหมดรูปและดับความฝันที่จะตั้งตนเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ไปทีละน้อย
GT200 : บทพิสูจน์กึ๋นแม่ทัพป็อก
เริ่มจากกรณีเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT200 ที่สุดท้ายก็มีบทสรุปทางวิทยาศาสตร์ชัดแล้วว่า เป็นได้แค่ “ไม้ล้างป่าช้า” ที่ไม่น่าจะมีราคาค่างวดแพงลิ่วนับแสนนับล้านบาท กระทั่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีต้องออกโรงมาสั่งให้ระงับการซื้อเอาไว้ก่อน แต่ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” แม่ทัพใหญ่ของกลุ่มอำนาจใหม่กลับไม่สนใจใยดีในทำท้วงติงของนายกรัฐมนตรี มิหนำซ้ำยังออกอาการ “แต๋วแตก” ครั้งที่ 2 ด้วยการสั่งการให้ช่อง 5 ซึ่งเป็นสถานีของทหารถ่ายทอดสดการขนขุนทหารออกมารับประกันการทำงานของไม้ล้างป่าช้าจนผู้คนตกอกตกใจกันทั้งบ้านทั้งเมืองเพราะนึกว่าทหารทำรัฐประหาร
เหตุที่ “บิ๊กป๊อก” ต้องตัดสินใจ “งัดข้อ” นายอภิสิทธิ์ คงไม่มีอะไรในก่อไผ่ นอกเสียจากว่า เกรงว่าความผิดจะมาถึงตัวเพราะสืบไปสืบมาพบว่า มีการซื้อเครื่อง GT200 ในยุคที่ตนเองเป็น ผบ.ทบ.มากที่สุด
แต่สุดท้าย พล.อ.อนุพงษ์ก็มีอันต้องหน้าแตกชนิดหมดไม่รับเย็บเพราะหลังจากดันทุรังใช้แล้ว เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมาหลังจากทหารใช้เครื่องล้างป่าช้าไปตรวจสอบหาระเบิดที่ตลาดนัดแห่งหนึ่งใน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เครื่องระบุว่า ไม่มีระเบิดอยู่ในบริเวณนั้น แต่พอคล้อยหลังไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็เกิดระเบิดขึ้นมาจนเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บถึง 2 ราย
จากนั้นก็ถูกหมัดเด็กชกเข้าไปอีกดอกจากการออกมาเปิดเผยของ “นายสิทธิพงษ์ จันทรวิโรจน์” เลขาธิการศูนย์ทนายความมุสลิม ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จ.ยะลา ที่บอกว่า ปี 2552 มีการร้องเรียนจากญาติและครอบครัวของผู้ต้องสงสัย-ผู้ต้องหามากกว่า 1,300 คดี โดย 500 คดีนั้นมีสาเหตุมาจากการใช้เครื่องมือในการตรวจสอบสารขั้นต้นระเบิด หรือจีที200 ที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ ทำให้มีการควบคุมตัวบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง สูญเสียอิสรภาพ และได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายใจ อีกทั้งจนถึงขณะนี้ก็ยังมีบางหน่วยงานที่เดินหน้าใช้เครื่องมือนี้ต่อไปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
งานนี้ ทำให้สังคมเห็นว่า ฝีมือของ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” นั้นยังห่างชั้นที่จะก้าวขึ้นมาเป็นคีย์แมนที่กำหนดทิศทางและชะตากรรมความเป็นไปของบ้านเมืองได้ และผลพวงจากคดีนี้ทำท่าว่า จะกลายเป็น “หมากเด็ด” ที่อาจถูกนำมาขยายผลเพื่อเขี่ย “พล.อ.อนุพงษ์ให้พ้นไปจากเก้าอี้ ผบ.ทบ. ก่อนเกษียณอายุราชการ แล้วดัน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ขึ้นมาสืบแทน
ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์
สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ดูเหมือนจะไม่ดูดำดูดีอีกต่างหาก
**สิงห์น้ำเงินใหญ่คับมหาดไทย
ตามติดมาด้วยความฉาวโฉ่ที่เกิดขึ้นภายใน “กระทรวงมหาดไทย” ที่แต่ละเรื่องแต่ละประเด็นที่ถูกนำมาเปิดเผยนั้นล้วนแล้วแต่พุ่งเป้าไปที่กล่องดวงใจของ “ยี้ห้อยแห่งเมืองบุรีรัมย์” ทั้งสิ้น เพราะงานนี้มีการกล่าวหาว่า “ม.สยาม” น้องรักของพี่ห้อยคือหัวโจกของการสวาปามที่มูมมามและตระกะตะกลามจนน่าขยะแขยง จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่วทั้งมหาดไทยว่า คนที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้ในยุคนี้นั้นต้อง จบ “ม.สยาม” และสำเร็จหลักสูตร “เน” เท่านั้นถึงจะก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ได้
ไล่เรื่อยมาตั้งแต่ โครงการเช่าระบบการให้บริการประชาชนด้านการทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนแบบใหม่วงเงิน 3.4 พันล้านบาทที่ส่อเค้าไม่โปร่งใส เพราะมีการกล่าวหาว่าแก้ไขทีโออาร์เพื่อเอื้อให้กับบริษัทเอกชนบางรายตามใบสั่งของนักการเมือง
การส่อทุจริตงบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยเฉพาะงบภัยหนาวที่จังหวัดใช้เงินทดรองราชการได้ครั้งละ 1 ล้านบาท
ตามต่อด้วยการเปิดข้อมูลลับจากอนุกรรมการของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เกี่ยวกับผลสอบกรณีการทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอที่ระบุว่ามี “ข้อสอบรั่ว” โดยกล่าวหาว่ามีการเมืองเข้าไปช่วยเหลือ 140 ปลัดให้สอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอได้ แลกกับการเรียกรับผลประโยชน์รายละกว่าล้าน
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ทั้ง 140 คนจะตอบข้อสอบเหมือนกันทุกข้อ แถมมีผู้สอบนายอำเภอได้ที่บุรีรัมย์ได้ถึง 17 คน
มาจนถึงกรณีที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้คือการซื้อขายตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอตามสูตร 20-17-10 หรือถ้าอยากเป็นผู้ว่าฯ ก็ต้องจ่าย 20 ล้าน ถ้ารองผู้ว่าฯ ก็ 17 ล้าน และถ้าเป็นนายอำเภอก็ 10 ล้าน ที่นายไพฑูรย์ บุญวัฒน์ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทยออกมาเป็นผู้เปิดเผย พร้อมกับให้ข้อมูลที่น่าตกใจด้วยว่า การซื้อขายตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นถึงขั้นต้องผ่อนส่งกันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวถูกตอกย้ำให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อ “นายจาดุร อภิชาตบุตร” หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยออกมาเปิดเผย ข้อมูลเรื่องการแต่งตั้งอธิบดีที่เกี่ยวกับการก่อสร้างทาง มีการจ่ายเงินหรือเรียกรับเงินกันถึง 300-400 ล้านบาทจนทำให้ “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ตัดสินใจฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาทและเรียกค่าเสียหายสูงถึง 50 ล้านบาท
ที่เด็ดกว่านั้นคือ ไม่ได้มีแต่นายจาดุร เพียงคนเดียวเท่านั้น หากแต่ยังมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนอื่นร่วมวงด้วย เช่น นายพงศ์โพยม วาศะภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือนายศิวะ แสงมณี อดีตอธิบดีกรมการปกครองที่ยกพลมามอบดอกไม้ให้กำลังใจนายจาดุร พร้อมประกาศเตรียมจัดตั้งชมรมราชสีห์ผู้ภักดีต่อแผ่นดิน
นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรีถึงกับกล่าวว่า “มีคนพูดว่า ผู้ว่าฯ เปรียบเสมือนราชสีห์ดูแลสรรพสัตว์ในพื้นที่ ดังนั้น อยากให้ราชสีห์เดินสง่า ไม่ใช่เดินคอตกตามสุนัขจิ้งจอก”
สำหรับการตอบโต้เพื่อแก้ข้อกล่าวหาต่างๆ ของผู้มีอำนาจในกระทรวง ไม่ว่าจะเป็น “ปู่จิ้น-ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือจำเลยอย่าง “ม.สยาม” ยังไม่สามารถทำให้สังคมเกิดความกระจ่างได้ เพราะการออกมาแก้ตัวอย่างตีขลุมว่าพวกที่ออกมาแฉเป็นพวกอกหักเก้าอี้ เป็นฝ่ายตรงข้ามหรือการเมือง ดูเหมือนจะไม่มีน้ำหนักที่เพียงพอ
ขณะที่การปกป้องนายจากคนมท. เริ่มตั้งแต่นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยข้าราชการระดับสูงในกระทรวง เช่น นายอุดม พัวสกุล อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายมงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมพัฒนาชุมชน นายขวัญชัย วงศ์นิติกร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมสั่งให้นายจาดุรชี้แจงภายใน 7 วัน รวมถึงการขนผู้ว่าราชการจังหวัด 21 แห่งออกมาแถลงข่าวว่า ไม่มีการซื้อขายตำแหน่งที่หวังว่าจะบรรเทาความร้อนแรงลงไปได้ ก็ไม่เข้าเป้า เพราะสืบไปสืบมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นเครือข่ายของ “ม.สยาม” ทั้งสิ้น
เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่ถาโถมเข้าใส่กลุ่มอำนาจใหม่ทำให้ความฝันในการจัดทัพให้มีความเข้มแข็งต้องสะดุดและหยุดลงอย่างน่าใจหาย การกรุยทางสู่ความยิ่งใหญ่ก็มีอันเป็นไป เพราะต้องยอมรับว่าจุดอ่อนของกลุ่มอำนาจใหม่ก็คือ ไม่มีมวลชนเป็นของตัวเอง ในการปฏิบัติงานหรือการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งล้วนแล้วแต่ต้องอาศัย “เงิน” เป็นพลังในการขับเคลื่อนทั้งสิ้น
และถ้าหากยังไม่มีการแก้เกม ปล่อยให้โดนกระหน่ำซ้ำเติมไปเรื่อยๆ ความเข้มขลังของกลุ่มอำนาจใหม่ก็จะค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ และในไม่ช้าบรรดาขุนทหารที่เคยตกปากรับคำจะร่วมหัวจมท้ายอาจย้ายกลับไปซบนายเก่าก็เป็นได้
ยิ่งถ้า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ว่าที่ผบ.ทบ.ไม่สนใจจะร่วมหัวจมท้ายกับ “พี่ป้อม” ด้วยแล้ว เป็นอันว่า กลุ่มอำนาจใหม่ก็ม้วนเสื่อกลับบ้านไปคนละทางสองทางได้ทันที
ไม่ว่าจะเป็นศึกใหญ่ฝ่ายขุนทหารที่แม่ทัพบกต้องเผชิญจากเครื่อง GT200 จนออกอาการแต๋วแตกเป็นครั้งที่ 2 หรือศึกใหญ่ที่ “กระทรวงมหาดไทย” อันเป็นผลงานชิ้นโบว์ดำของ “ยี้ห้อยจูเนียร์” ที่มูมมามสะสมเสบียงกรังอย่างประเจิดประเจ้อเจริญรอยตามผู้เป็นพี่ชาย จนผู้รักความเป็นธรรมไม่อาจอยู่นิ่งเฉยทนต่อพฤติกรรมดังกล่าวได้
งานนี้ คงต้องบอกว่า พ่ายแพ้อย่างหมดรูปและดับความฝันที่จะตั้งตนเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ไปทีละน้อย
GT200 : บทพิสูจน์กึ๋นแม่ทัพป็อก
เริ่มจากกรณีเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT200 ที่สุดท้ายก็มีบทสรุปทางวิทยาศาสตร์ชัดแล้วว่า เป็นได้แค่ “ไม้ล้างป่าช้า” ที่ไม่น่าจะมีราคาค่างวดแพงลิ่วนับแสนนับล้านบาท กระทั่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีต้องออกโรงมาสั่งให้ระงับการซื้อเอาไว้ก่อน แต่ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” แม่ทัพใหญ่ของกลุ่มอำนาจใหม่กลับไม่สนใจใยดีในทำท้วงติงของนายกรัฐมนตรี มิหนำซ้ำยังออกอาการ “แต๋วแตก” ครั้งที่ 2 ด้วยการสั่งการให้ช่อง 5 ซึ่งเป็นสถานีของทหารถ่ายทอดสดการขนขุนทหารออกมารับประกันการทำงานของไม้ล้างป่าช้าจนผู้คนตกอกตกใจกันทั้งบ้านทั้งเมืองเพราะนึกว่าทหารทำรัฐประหาร
เหตุที่ “บิ๊กป๊อก” ต้องตัดสินใจ “งัดข้อ” นายอภิสิทธิ์ คงไม่มีอะไรในก่อไผ่ นอกเสียจากว่า เกรงว่าความผิดจะมาถึงตัวเพราะสืบไปสืบมาพบว่า มีการซื้อเครื่อง GT200 ในยุคที่ตนเองเป็น ผบ.ทบ.มากที่สุด
แต่สุดท้าย พล.อ.อนุพงษ์ก็มีอันต้องหน้าแตกชนิดหมดไม่รับเย็บเพราะหลังจากดันทุรังใช้แล้ว เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมาหลังจากทหารใช้เครื่องล้างป่าช้าไปตรวจสอบหาระเบิดที่ตลาดนัดแห่งหนึ่งใน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เครื่องระบุว่า ไม่มีระเบิดอยู่ในบริเวณนั้น แต่พอคล้อยหลังไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็เกิดระเบิดขึ้นมาจนเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บถึง 2 ราย
จากนั้นก็ถูกหมัดเด็กชกเข้าไปอีกดอกจากการออกมาเปิดเผยของ “นายสิทธิพงษ์ จันทรวิโรจน์” เลขาธิการศูนย์ทนายความมุสลิม ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จ.ยะลา ที่บอกว่า ปี 2552 มีการร้องเรียนจากญาติและครอบครัวของผู้ต้องสงสัย-ผู้ต้องหามากกว่า 1,300 คดี โดย 500 คดีนั้นมีสาเหตุมาจากการใช้เครื่องมือในการตรวจสอบสารขั้นต้นระเบิด หรือจีที200 ที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ ทำให้มีการควบคุมตัวบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง สูญเสียอิสรภาพ และได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายใจ อีกทั้งจนถึงขณะนี้ก็ยังมีบางหน่วยงานที่เดินหน้าใช้เครื่องมือนี้ต่อไปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
งานนี้ ทำให้สังคมเห็นว่า ฝีมือของ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” นั้นยังห่างชั้นที่จะก้าวขึ้นมาเป็นคีย์แมนที่กำหนดทิศทางและชะตากรรมความเป็นไปของบ้านเมืองได้ และผลพวงจากคดีนี้ทำท่าว่า จะกลายเป็น “หมากเด็ด” ที่อาจถูกนำมาขยายผลเพื่อเขี่ย “พล.อ.อนุพงษ์ให้พ้นไปจากเก้าอี้ ผบ.ทบ. ก่อนเกษียณอายุราชการ แล้วดัน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ขึ้นมาสืบแทน
ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์
สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ดูเหมือนจะไม่ดูดำดูดีอีกต่างหาก
**สิงห์น้ำเงินใหญ่คับมหาดไทย
ตามติดมาด้วยความฉาวโฉ่ที่เกิดขึ้นภายใน “กระทรวงมหาดไทย” ที่แต่ละเรื่องแต่ละประเด็นที่ถูกนำมาเปิดเผยนั้นล้วนแล้วแต่พุ่งเป้าไปที่กล่องดวงใจของ “ยี้ห้อยแห่งเมืองบุรีรัมย์” ทั้งสิ้น เพราะงานนี้มีการกล่าวหาว่า “ม.สยาม” น้องรักของพี่ห้อยคือหัวโจกของการสวาปามที่มูมมามและตระกะตะกลามจนน่าขยะแขยง จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่วทั้งมหาดไทยว่า คนที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้ในยุคนี้นั้นต้อง จบ “ม.สยาม” และสำเร็จหลักสูตร “เน” เท่านั้นถึงจะก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ได้
ไล่เรื่อยมาตั้งแต่ โครงการเช่าระบบการให้บริการประชาชนด้านการทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนแบบใหม่วงเงิน 3.4 พันล้านบาทที่ส่อเค้าไม่โปร่งใส เพราะมีการกล่าวหาว่าแก้ไขทีโออาร์เพื่อเอื้อให้กับบริษัทเอกชนบางรายตามใบสั่งของนักการเมือง
การส่อทุจริตงบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยเฉพาะงบภัยหนาวที่จังหวัดใช้เงินทดรองราชการได้ครั้งละ 1 ล้านบาท
ตามต่อด้วยการเปิดข้อมูลลับจากอนุกรรมการของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เกี่ยวกับผลสอบกรณีการทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอที่ระบุว่ามี “ข้อสอบรั่ว” โดยกล่าวหาว่ามีการเมืองเข้าไปช่วยเหลือ 140 ปลัดให้สอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอได้ แลกกับการเรียกรับผลประโยชน์รายละกว่าล้าน
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ทั้ง 140 คนจะตอบข้อสอบเหมือนกันทุกข้อ แถมมีผู้สอบนายอำเภอได้ที่บุรีรัมย์ได้ถึง 17 คน
มาจนถึงกรณีที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้คือการซื้อขายตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอตามสูตร 20-17-10 หรือถ้าอยากเป็นผู้ว่าฯ ก็ต้องจ่าย 20 ล้าน ถ้ารองผู้ว่าฯ ก็ 17 ล้าน และถ้าเป็นนายอำเภอก็ 10 ล้าน ที่นายไพฑูรย์ บุญวัฒน์ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทยออกมาเป็นผู้เปิดเผย พร้อมกับให้ข้อมูลที่น่าตกใจด้วยว่า การซื้อขายตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นถึงขั้นต้องผ่อนส่งกันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวถูกตอกย้ำให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อ “นายจาดุร อภิชาตบุตร” หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยออกมาเปิดเผย ข้อมูลเรื่องการแต่งตั้งอธิบดีที่เกี่ยวกับการก่อสร้างทาง มีการจ่ายเงินหรือเรียกรับเงินกันถึง 300-400 ล้านบาทจนทำให้ “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ตัดสินใจฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาทและเรียกค่าเสียหายสูงถึง 50 ล้านบาท
ที่เด็ดกว่านั้นคือ ไม่ได้มีแต่นายจาดุร เพียงคนเดียวเท่านั้น หากแต่ยังมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนอื่นร่วมวงด้วย เช่น นายพงศ์โพยม วาศะภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือนายศิวะ แสงมณี อดีตอธิบดีกรมการปกครองที่ยกพลมามอบดอกไม้ให้กำลังใจนายจาดุร พร้อมประกาศเตรียมจัดตั้งชมรมราชสีห์ผู้ภักดีต่อแผ่นดิน
นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรีถึงกับกล่าวว่า “มีคนพูดว่า ผู้ว่าฯ เปรียบเสมือนราชสีห์ดูแลสรรพสัตว์ในพื้นที่ ดังนั้น อยากให้ราชสีห์เดินสง่า ไม่ใช่เดินคอตกตามสุนัขจิ้งจอก”
สำหรับการตอบโต้เพื่อแก้ข้อกล่าวหาต่างๆ ของผู้มีอำนาจในกระทรวง ไม่ว่าจะเป็น “ปู่จิ้น-ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือจำเลยอย่าง “ม.สยาม” ยังไม่สามารถทำให้สังคมเกิดความกระจ่างได้ เพราะการออกมาแก้ตัวอย่างตีขลุมว่าพวกที่ออกมาแฉเป็นพวกอกหักเก้าอี้ เป็นฝ่ายตรงข้ามหรือการเมือง ดูเหมือนจะไม่มีน้ำหนักที่เพียงพอ
ขณะที่การปกป้องนายจากคนมท. เริ่มตั้งแต่นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยข้าราชการระดับสูงในกระทรวง เช่น นายอุดม พัวสกุล อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายมงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมพัฒนาชุมชน นายขวัญชัย วงศ์นิติกร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมสั่งให้นายจาดุรชี้แจงภายใน 7 วัน รวมถึงการขนผู้ว่าราชการจังหวัด 21 แห่งออกมาแถลงข่าวว่า ไม่มีการซื้อขายตำแหน่งที่หวังว่าจะบรรเทาความร้อนแรงลงไปได้ ก็ไม่เข้าเป้า เพราะสืบไปสืบมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นเครือข่ายของ “ม.สยาม” ทั้งสิ้น
เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่ถาโถมเข้าใส่กลุ่มอำนาจใหม่ทำให้ความฝันในการจัดทัพให้มีความเข้มแข็งต้องสะดุดและหยุดลงอย่างน่าใจหาย การกรุยทางสู่ความยิ่งใหญ่ก็มีอันเป็นไป เพราะต้องยอมรับว่าจุดอ่อนของกลุ่มอำนาจใหม่ก็คือ ไม่มีมวลชนเป็นของตัวเอง ในการปฏิบัติงานหรือการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งล้วนแล้วแต่ต้องอาศัย “เงิน” เป็นพลังในการขับเคลื่อนทั้งสิ้น
และถ้าหากยังไม่มีการแก้เกม ปล่อยให้โดนกระหน่ำซ้ำเติมไปเรื่อยๆ ความเข้มขลังของกลุ่มอำนาจใหม่ก็จะค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ และในไม่ช้าบรรดาขุนทหารที่เคยตกปากรับคำจะร่วมหัวจมท้ายอาจย้ายกลับไปซบนายเก่าก็เป็นได้
ยิ่งถ้า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ว่าที่ผบ.ทบ.ไม่สนใจจะร่วมหัวจมท้ายกับ “พี่ป้อม” ด้วยแล้ว เป็นอันว่า กลุ่มอำนาจใหม่ก็ม้วนเสื่อกลับบ้านไปคนละทางสองทางได้ทันที