นายจาดุร อภิชาตบุตร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย กล่าวกับนักข่าวเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นี้ว่า ไม่ได้วิตกกังวลกับเรื่องที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอหมายให้ทนายความไปแจ้งความที่ สน.พระราชวัง ให้ดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีที่ไปกล่าวในวงสัมมนาที่รัฐสภา ทำนองว่าทุกวันนี้กระทรวงมหาดไทยเป็นดินแดนน่าสะพรึงกลัว การโยกย้ายข้าราชการต้องใช้เงินจำนวนมาก โดยเฉพาะตำแหน่งระดับสูง ต้องใช้เงินวิ่งเต้นถึง 300-400 ล้านบาท แต่กังวลกับการที่มีความรู้ แต่ไม่ได้ใช้เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากกว่า
“ในวันนั้นผมพูดภาพรวม ถ้าระบบไม่มีธรรมาภิบาล จะเปลี่ยนนักการเมืองกี่ยุคก็แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องแก้ที่ตัวข้าราชการเอง ต้องรวมกลุ่มให้มีความเข้มแข็ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 64 ที่เปิดช่องให้แล้ว และให้ ก.พ.ทำหน้าที่เป็นที่ตั้ง ให้นำคนดีมีความสามารถมาใช้ประโยชน์ แต่อาจจะมีกระแสเดิมเรื่องความไม่ชอบมาพากลการแต่งตั้งโยกย้ายของกระทรวงมหาดไทย จึงทำให้โยงกันเมื่อมีการฟ้องร้อง ผมจะทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับสมาคม ส่วนที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยให้ชี้แจงที่พูด ก็ชี้แจงไป” นายจาดุร บอกนักข่าว
มีข้าราชการประจำไม่กี่คนหรอกครับที่ องอาจ กล้าหาญ อย่างที่นายจาดุรทำอยู่ขณะนี้ ที่เห็นเป็นส่วนใหญ่ก็คือ ก้มหน้ารับชะตากรรม ถือว่าดวงไม่ดี นายไม่รัก และถ้าหากมีโอกาสที่จะประจบสอพลอ มีโอกาส และมีเงินที่จะซื้อตำแหน่งก็ทำกัน
การที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการแต่งตั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การมีข่าวว่าการเข้าโรงเรียน นายอำเภอต้องจ่าย 1 ล้านบาท ยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
ไม่แต่กระทรวงมหาดไทย ไม่แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติหรอกครับที่มีเรื่องพรรค์อย่างนี้ มีทุกกระทรวง ทบวง กรม ทุกหน่วยงานราชการนั่นแหละครับ ที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม (ตุลาการอาจจะน้อยหน่อย เพราะมี กต.ควบคุม ดูแล และเป็นหน่วยงานที่ระมัดระวังมากในการข้ามอาวุโส)
การขาดธรรมาภิบาลในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการนั้น เกิดจากความเข้มแข็งของประชาธิปัตย์ที่มีการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องยาวนาน กล่าวคือ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เช่น การปฏิวัติ รัฐประหาร ในที่สุดก็จะมีการเลือกตั้ง ในที่สุดนัการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็จะได้เป็น รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ หรือเป็นเลขานุการ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี คนเหล่านี้จะเป็นผู้กำกับดูแลข้าราชการระดับสูง คือ ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ถึงตอนนี้แหละครับที่ข้าราชการระดับสูงทั้งหลายต่างก็ถือว่า ตัวมีความรู้ความสามารถที่จะดำรงตำแหน่งนั้นๆ ได้ เป็นต้นว่า ตำแหน่งปลัดกระทรวงว่างต่างก็วิ่งที่จะเป็นปลัดกระทรวง วิ่งเป็นอธิบดี ถ้าหากเป็นหน่วยงานที่มีโครงการใหญ่มีงบประมาณมาก ก็พร้อมที่จะรับใช้นักการเมือง โครงการใหญ่ๆ หากจะต้องประมูลหรือจะต้องจัดหาจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ ก็ตกปากรับคำว่าจะพิจารณาให้บริษัทบริวารของนักการเมืองที่มอบตำแหน่ง ปลัดกระทรวง อธิบดีให้
ถ้าหากเป็นตำแหน่งที่พอจะหาเงินได้จากการบริหารจัดการแบบตามน้ำบ้าง หรือด้วยวิธีฉ้อฉลอันแยบยลบ้าง ถ้าหากจะต้องจ่ายเงินเพื่อตำแหน่งข้าราชการเหล่านี้ก็พร้อม
ที่ กทม.มีหลายรายไม่ได้ซื้อตำแหน่ง หากเป็นเมียน้อยไอ้คนเลวก็สามารถเป็น ซี 9 ซี 10 ได้สบายมาก
ยิ่งถ้าหากข้าราชการทั้งหลายคิดเสียว่า ธุระไม่ใช่ หรือถ้าหากมีโอกาส มีช่องทางประจบสอพลอ มีเงินมีช่องทางที่จะซื้อ ก็จะซื้อกับเขาเหมือนกัน ก็ยิ่งทำให้นักการเมืองยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ระบบที่ไม่เป็นธรรมนี้เติบโตแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผลเสียก็จะเกิดขึ้นกับข้าราชการทั้งหลายทั้งปวง แทนที่จะใช้ความรู้ความสามารถในการทำงาน กลับต้องไปประจบสอพลอ กลับต้องไปหาเงินมาซื้อตำแหน่ง และกลับจะต้องทุจริตเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง และเป็นผลเสียกับประเทศชาติแทนที่จะได้ ข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถกลับได้ข้าราชการที่ประจบสอพลอนาย ยอมนายทุกอย่างแม้บางเรื่องผิดกฎหมาย เป็นต้นว่า อาจจะต้องช่วยเหลือนักการเมืองให้ได้รับเลือกตั้ง หรือช่วยพรรคของนักการเมืองนั้นในการเลือกตั้ง อาจจะต้องหาวิธีพลิกแพลงให้นักการเมือง บริษัทบริวารของนักการเมืองได้งานจากทางราชการ หรือจะต้องแสวงหาผลประโยชน์กับการที่ต้องจ่ายเงินไปเพื่อตำแหน่งกลับคืนมา ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องทุจริต คอร์รัปชัน เสี่ยงต่อการที่จะต้องติดคุกติดตะราง
ถ้าหากบรรดาข้าราชการทั้งหลายเข้มแข็ง สามัคคี ด้วยการทำให้องค์กรของตนเข้มแข็งไม่ให้ใครมาดูถูกดูแคลนหน่วยงานของตน องค์กรที่ตนสังกัดอยู่ได้ด้วยการยอมรับกติกาในการแต่งตั้ง โยกย้าย ไม่วิ่งเข้าหานักการเมือง ไม่จ่ายเงินสักสลึงเดียวเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
หากแต่จะต้องเติบโตด้วยความรู้ ความสามารถของตนจริงๆ นักการเมืองก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปแทรกแซงได้ ข้าราชการก็จะมีเกียรติยศมีศักดิ์ศรี
ต่างกับที่เป็นอยู่ในขณะนี้ที่มักจะมีคนพูดว่า อ๋อ! ไอ้คนนี้มันจบสวนกุหลาบมาฯ อ๋อ! ไอ้คนนี้มันผ่านเน อ๋อ! ไอ้คนนี้มันเสียเงิน 20-30 ล้านบาทกว่าจะได้ตำแหน่งนี้
เสียเกียรติยศเสียศักดิ์ศรีหมด ไม่เพียงแต่ตัวเองเท่านั้นหรอกครับ ลูก เมีย ญาติพี่น้องก็พลอยอับอายขายหน้าไปด้วย
และไม่ต้องออกมาปฏิเสธหรอกครับว่า ไม่ได้ใช้เงินซื้อตำแหน่ง หรือได้ตำแหน่งมาด้วยความรู้ ความสามารถ ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก เพราะมันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว (นานเท่าที่ประชาธิปไตยโดยการเลือกตั้งเข้มแข็งนั่นแหละครับ)
เข้าใจละครับว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีข้อจำกัดที่จะต้องพึ่งพาเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย แต่การยอมไปเสียทุกเรื่องจนกระทั่งทำให้ขาดธรรมาภิบาล จะส่งผลเสียให้กับประเทศชาติในอนาคต จะทำให้คนชั่ว คนเลวคนหนึ่งหรืออาจจะชั่วเลวกันทั้งตระกูล หรือตระกูลที่ทรงอิทธิพล เป็นการทำร้ายประเทศไทยตั้งแต่วานนี้ไปจนถึงอนาคต
ถึงวันนั้น เสียใจ สายไปแล้ว
“ในวันนั้นผมพูดภาพรวม ถ้าระบบไม่มีธรรมาภิบาล จะเปลี่ยนนักการเมืองกี่ยุคก็แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องแก้ที่ตัวข้าราชการเอง ต้องรวมกลุ่มให้มีความเข้มแข็ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 64 ที่เปิดช่องให้แล้ว และให้ ก.พ.ทำหน้าที่เป็นที่ตั้ง ให้นำคนดีมีความสามารถมาใช้ประโยชน์ แต่อาจจะมีกระแสเดิมเรื่องความไม่ชอบมาพากลการแต่งตั้งโยกย้ายของกระทรวงมหาดไทย จึงทำให้โยงกันเมื่อมีการฟ้องร้อง ผมจะทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับสมาคม ส่วนที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยให้ชี้แจงที่พูด ก็ชี้แจงไป” นายจาดุร บอกนักข่าว
มีข้าราชการประจำไม่กี่คนหรอกครับที่ องอาจ กล้าหาญ อย่างที่นายจาดุรทำอยู่ขณะนี้ ที่เห็นเป็นส่วนใหญ่ก็คือ ก้มหน้ารับชะตากรรม ถือว่าดวงไม่ดี นายไม่รัก และถ้าหากมีโอกาสที่จะประจบสอพลอ มีโอกาส และมีเงินที่จะซื้อตำแหน่งก็ทำกัน
การที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการแต่งตั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การมีข่าวว่าการเข้าโรงเรียน นายอำเภอต้องจ่าย 1 ล้านบาท ยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
ไม่แต่กระทรวงมหาดไทย ไม่แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติหรอกครับที่มีเรื่องพรรค์อย่างนี้ มีทุกกระทรวง ทบวง กรม ทุกหน่วยงานราชการนั่นแหละครับ ที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม (ตุลาการอาจจะน้อยหน่อย เพราะมี กต.ควบคุม ดูแล และเป็นหน่วยงานที่ระมัดระวังมากในการข้ามอาวุโส)
การขาดธรรมาภิบาลในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการนั้น เกิดจากความเข้มแข็งของประชาธิปัตย์ที่มีการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องยาวนาน กล่าวคือ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เช่น การปฏิวัติ รัฐประหาร ในที่สุดก็จะมีการเลือกตั้ง ในที่สุดนัการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็จะได้เป็น รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ หรือเป็นเลขานุการ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี คนเหล่านี้จะเป็นผู้กำกับดูแลข้าราชการระดับสูง คือ ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ถึงตอนนี้แหละครับที่ข้าราชการระดับสูงทั้งหลายต่างก็ถือว่า ตัวมีความรู้ความสามารถที่จะดำรงตำแหน่งนั้นๆ ได้ เป็นต้นว่า ตำแหน่งปลัดกระทรวงว่างต่างก็วิ่งที่จะเป็นปลัดกระทรวง วิ่งเป็นอธิบดี ถ้าหากเป็นหน่วยงานที่มีโครงการใหญ่มีงบประมาณมาก ก็พร้อมที่จะรับใช้นักการเมือง โครงการใหญ่ๆ หากจะต้องประมูลหรือจะต้องจัดหาจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ ก็ตกปากรับคำว่าจะพิจารณาให้บริษัทบริวารของนักการเมืองที่มอบตำแหน่ง ปลัดกระทรวง อธิบดีให้
ถ้าหากเป็นตำแหน่งที่พอจะหาเงินได้จากการบริหารจัดการแบบตามน้ำบ้าง หรือด้วยวิธีฉ้อฉลอันแยบยลบ้าง ถ้าหากจะต้องจ่ายเงินเพื่อตำแหน่งข้าราชการเหล่านี้ก็พร้อม
ที่ กทม.มีหลายรายไม่ได้ซื้อตำแหน่ง หากเป็นเมียน้อยไอ้คนเลวก็สามารถเป็น ซี 9 ซี 10 ได้สบายมาก
ยิ่งถ้าหากข้าราชการทั้งหลายคิดเสียว่า ธุระไม่ใช่ หรือถ้าหากมีโอกาส มีช่องทางประจบสอพลอ มีเงินมีช่องทางที่จะซื้อ ก็จะซื้อกับเขาเหมือนกัน ก็ยิ่งทำให้นักการเมืองยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ระบบที่ไม่เป็นธรรมนี้เติบโตแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผลเสียก็จะเกิดขึ้นกับข้าราชการทั้งหลายทั้งปวง แทนที่จะใช้ความรู้ความสามารถในการทำงาน กลับต้องไปประจบสอพลอ กลับต้องไปหาเงินมาซื้อตำแหน่ง และกลับจะต้องทุจริตเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง และเป็นผลเสียกับประเทศชาติแทนที่จะได้ ข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถกลับได้ข้าราชการที่ประจบสอพลอนาย ยอมนายทุกอย่างแม้บางเรื่องผิดกฎหมาย เป็นต้นว่า อาจจะต้องช่วยเหลือนักการเมืองให้ได้รับเลือกตั้ง หรือช่วยพรรคของนักการเมืองนั้นในการเลือกตั้ง อาจจะต้องหาวิธีพลิกแพลงให้นักการเมือง บริษัทบริวารของนักการเมืองได้งานจากทางราชการ หรือจะต้องแสวงหาผลประโยชน์กับการที่ต้องจ่ายเงินไปเพื่อตำแหน่งกลับคืนมา ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องทุจริต คอร์รัปชัน เสี่ยงต่อการที่จะต้องติดคุกติดตะราง
ถ้าหากบรรดาข้าราชการทั้งหลายเข้มแข็ง สามัคคี ด้วยการทำให้องค์กรของตนเข้มแข็งไม่ให้ใครมาดูถูกดูแคลนหน่วยงานของตน องค์กรที่ตนสังกัดอยู่ได้ด้วยการยอมรับกติกาในการแต่งตั้ง โยกย้าย ไม่วิ่งเข้าหานักการเมือง ไม่จ่ายเงินสักสลึงเดียวเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
หากแต่จะต้องเติบโตด้วยความรู้ ความสามารถของตนจริงๆ นักการเมืองก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปแทรกแซงได้ ข้าราชการก็จะมีเกียรติยศมีศักดิ์ศรี
ต่างกับที่เป็นอยู่ในขณะนี้ที่มักจะมีคนพูดว่า อ๋อ! ไอ้คนนี้มันจบสวนกุหลาบมาฯ อ๋อ! ไอ้คนนี้มันผ่านเน อ๋อ! ไอ้คนนี้มันเสียเงิน 20-30 ล้านบาทกว่าจะได้ตำแหน่งนี้
เสียเกียรติยศเสียศักดิ์ศรีหมด ไม่เพียงแต่ตัวเองเท่านั้นหรอกครับ ลูก เมีย ญาติพี่น้องก็พลอยอับอายขายหน้าไปด้วย
และไม่ต้องออกมาปฏิเสธหรอกครับว่า ไม่ได้ใช้เงินซื้อตำแหน่ง หรือได้ตำแหน่งมาด้วยความรู้ ความสามารถ ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก เพราะมันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว (นานเท่าที่ประชาธิปไตยโดยการเลือกตั้งเข้มแข็งนั่นแหละครับ)
เข้าใจละครับว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีข้อจำกัดที่จะต้องพึ่งพาเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย แต่การยอมไปเสียทุกเรื่องจนกระทั่งทำให้ขาดธรรมาภิบาล จะส่งผลเสียให้กับประเทศชาติในอนาคต จะทำให้คนชั่ว คนเลวคนหนึ่งหรืออาจจะชั่วเลวกันทั้งตระกูล หรือตระกูลที่ทรงอิทธิพล เป็นการทำร้ายประเทศไทยตั้งแต่วานนี้ไปจนถึงอนาคต
ถึงวันนั้น เสียใจ สายไปแล้ว