xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เป้าหมาย “นช.แม้ว”ไม่ใช่แค่ทวง 7.6 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แม้ว่านายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง ได้แถลงเอาไว้ว่า ในวันที่ 26 ก.พ.ซึ่งเป็นวันอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของทักษิณ ชินวัตร กลุ่มคนเสื้อแดงจะไม่จัดชุมนุม ก็ไม่ได้หมายความว่า เหตุการณ์ในวันดังกล่าวจะเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย

เพราะนายวีระเอง ก็ได้พูดเปิดทางไว้ว่า หากประชาชนคนเสื้อแดงจะเดินทางไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในวันดังกล่าว แกนนำคนเสื้อแดงก็ไม่อาจห้ามได้

ขณะที่ ข้อเท็จจริง ก็ปรากฏชัดว่า ยิ่งใกล้วันพิพากษาเท่าไหร่ ลิ่วล้อ-บริวารของทักษิณ ชินวัตร ก็ยิ่งหาประเด็นมาเคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนให้กับการบริหารงานของรัฐบาลอย่างถี่ยิบ โดยไม่สนใจว่า ประเด็นเหล่านั้นจะมีน้ำหนัก หรือสมเหตุสมผลมากน้องเพียงใด

ขอให้มีหลักฐานพื้นๆ สักชิ้น 2 ชิ้น แกนนำระดับ “หัวขวด” ก็สามารถใช้เป็นหัวเชื้อ โดยใช้เทคนิคทางคำพูดบิดเบือนประเด็น ขยายความปลุกปั่นคนเสื้อแดงให้เกิดความฮึกเหิมพร้อมที่จะแตกหักกับรัฐบาลได้ทุกเมื่อ

ทั้งประเด็น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษรับเช็คจากกลุ่มบุคคลในนาม “คณะ11” ที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รับบทบาทเดินเกม และประเด็น เอกสารลับฝ่ายความมั่นคงเตรียมการสังหารคนเสื้อแดง ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ รับบทเป็นผู้เปิดโปงนั้น แทบจะหาสาระอะไรไม่ได้เลย

กรณีนางกัลยาณี พรรณเชษฐ์ ประธานบริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล สมาชิกคณะ 11 จ่ายเช็คให้ พล.อ.เปรม จำนวน 1.8 ล้านบาท 2 ใบ เมื่อปี 2547 ที่นายณัฐวุฒิ พยายามประดิษฐ์ประดอยคำพูดมาอธิบายว่า นี่คือ “ท่อน้ำเลี้ยงของอำมาตย์” นั้น แท้ที่จริงเป็นเพียงเงินบริจาคที่ผ่าน พล.อ.เปรม เพื่อสร้างอาคาร “บ้านทักษะชีวิต”ที่พักให้คนต่างจังหวัดในวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ของพระพยอม กัลยาโนเท่านั้น

เมื่อนายวัชระ พรรณเชษฐ์ บุตรชายของนางกัลยาณีออกมาชี้แจงดังกล่าว นายณัฐวุฒิก็เฉไฉหันไปตั้งข้อสังเกตเล็กๆ น้อยเกี่ยวกับเช็ค ว่า ทำไมไม่สั่งจ่ายผู้รับเหมา ทำไมสั่งจ่าย พล.อ.เปรม และใช้สำบัดสำนวนเล่นลิ้นเหน็บแนม พล.อ.เปรม ว่าเป็นองคมนตรีผู้รับเหมา

แถมเลยเถิดไปว่า การที่ พล.อ.เปรมรับเช็คจากภาคเอกชนนั้นเท่ากับว่า พล.อ.เปรมมีรายได้โดยไม่เสียภาษี แล้วนำเอาไปเล่นวาทกรรมตลบตะแลงอย่างไม่บังควรว่า เรามีรัฐบุรุษเป็นสินค้าหนีภาษี และเป่าหูคนเสื้อแดงชักชวนกันไปประท้วงกรมสรรพากร

จากประเด็นการจ่ายเช็คให้ พล.อ.เปรม แกนนำหัวขวดของคนเสื้อแดง เชื่อมโยงเรื่องราวเป็นตุเป็นตะ ว่าใครจะเป็น ผบ.ทบ.ต้องหาเงินมาให้ พล.อ.เปรมเดือนละ 2 แสนบาท โดยอ้างอย่างเลื่อนลอยเพียงว่า มีนายพลคนหนึ่งมาเล่าให้ฟัง แล้วก็เดินตามบทละครที่เขียนต่อไป ด้วยการนัดชุมนุมหน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงเทพในวันที่ 19 ก.พ.โดยใช้ข้ออ้างแบบข้างๆ คูๆ ว่า ธนาคารกรุงเทพคือแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนอำมาตย์และมีส่วนในการบุกรุกป่าสงวนเขาสอยดาว จ.จันทบุรี

เท่านั้นยังไม่พอยังข่มขู่จะเปิดเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.เปรมหน้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ทั้งที่ระดับแกนนำเหล่านั้น ยังมีคดีติดตัว กรณีก่อความวุ่นวายหน้าบ้านสี่เสาฯ เมื่อปี 2550

ส่วนเอกสารลับ 37 แผ่นที่นายจตุพร อ้างว่าเป็นแผนสังหารคนเสื้อแดงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไปเป็นประธานการประชุมฝ่ายความมั่นคงเมื่อวันที่ 12 ก.พ. โดยมีแผนการจะสร้างความวุ่นวายเพื่อปราบปรามคนเสื้อแดงที่โรงพยาบาลศิริราช และจะจัดการกับแกนนำ 1 คนต่อการลดจำนวนผู้ชุมนุมลง 1 พันคนนั้น

เอาเข้าจริงก็เป็นแค่เอกสารการรักษาความปลอดภัยในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดงจากที่ประชุมของฝ่ายความมั่นคงเมื่อวันที่ 4 ก.พ. แต่นายจตุพรได้บิดเบือนว่าเป็นแผนปราบปรามคนเสื้อแดง โดยกรณีที่โรงพยาบาลศิริราช ในเอกสารระบุเพียงว่า จะมีการเพิ่มกำลังเพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณโรงพยาบาลศิริราชเท่านั้น นายจตุพรกลับนำไปขยายความว่า จะมีการให้คนปลอมตัวเป็นคนเสื้อแดงแล้วโยนระเบิดเข้าไปในโรงพยาบาลศิริราช เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการปราบปรามคนเสื้อแดง

นายจตุพรยังนำเรื่องเอกสารลับ ไปเป็นหัวเชื้อสร้างวาทกรรมต่อเนื่องว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปเป็นประธานการประชุมวางแผนฆ่าประชาชนได้อย่างไร แถมยังข่มขู่ว่า ถ้าทำให้คนเสื้อแดงไม่ปลอดภัย ก็อย่าหวังว่านายอภิสิทธิ์ บิดานายอภิสิทธิ์ และประธานองคมนตรีจะมีความปลอดภัย

เอกสารลับของนายจตุพร จึงเป็นเพียงเรื่องโกหก ที่สร้างขึ้นมาเพื่อปั่นกระแสให้คนเสื้อแดงออกมาร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็สอดคล้องกับการที่โทรทัศน์คนเสื้อแดงนำคลิปเสียงตัดต่อของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่อ้างว่าเป็นบันทึกเสียงการสั่งฆ่าประชาชนเมื่อเดือนเมษายน 2552 มาเปิดซ้ำอีกครั้ง

นายจตุพรยังกุเรื่องต่ออีกว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ 6,000 คนพร้อมอาวุธออกมาสกัดคนเสื้อแดงไม่ให้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งก็ถูกปฏิเสธจากนายสุวิทย์ คุณกิตติ เจ้ากระทรวงนี้อย่างทันควันว่าไม่มีการสั่งแน่นอน โดยที่ก่อนหน้านั้นนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ก็เคยแถลงว่ามีการใช้งบประมาณนับพันล้านบาทเพื่อส่งคนเข้าแทรกซึมกลุ่มคนเสื้อแดงแล้วก่อเหตุความรุนแรงขึ้นระหว่างการชุมนุม ก็ถูกปฏิเสธจากฝ่ายความมั่นคนโดนทันทีเช่นเดียวกัน

เมื่อประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของบริวารทักษิณในนามคนเสื้อแดงรอบนี้ แม้จะอยู่ในช่วงใกล้วันตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน แต่เป้าหมายคงไม่ได้อยู่ที่การกดดันการตัดสินของศาลอย่างแน่นอน เพราะประเด็นการเคลื่อนไหวต่างๆ ล้วนพุ่งเป้าไปที่การปลุกปั่นให้ประชาชนเกิดความเกลียดชังต่อรัฐบาลและสถาบันองคมนตรี ที่ทักษิณมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการคืนสู่อำนาจของเขา

ส่วนคำพิพากษาคดียึดทรัพย์นั้น ทักษิณจะใช้ให้เป็นประโยชน์สำหรับยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวในภาพรวม หากมีการคืนทรัพย์สิน ก็จะนำไปอ้างว่า เขาไม่มีความผิด ที่ผ่านมาถูกกลั่นแกล้งมาตลอด แต่ถ้ามีการยึดทรัพย์สินก็จะนำไปใช้ประโยชน์ในการปลุกระดมว่า ระบบยุติธรรมไทยมี 2 มาตรฐาน ปราศจากความยุติธรรม และถูกครอบงำโดยอำมาตยาธิปไตย

ทิศทางการเคลื่อนไหวของทักษิณและบริวารหลังจากนี้ คงต้องจับตาการใช้ความรุนแรง หลังจากที่แกนนำ 3 เกลอหัวขวด โหมปลุกปั่นด้วยเรื่องราวที่โกหกมดเท็จ บวกกับผลตัดสินคดียึดทรัพย์ บ่มเพาะความเกลียดชังที่มีต่อรัฐบาลและสิ่งที่เขาเรียกว่าอำมาตยาธิปไตยอย่างเต็มที่

คำพูดของทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาทางทวิตเตอร์และทางรายการวิทยุอินเทอร์เน็ต ที่เปรียบเทียบตัวเองเป็น “หนู”ตัวหนึ่งที่คุยง่าย และพร้อมจะเจรจากับรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่ยอมเจรจา กลับจะเผาบ้านเพื่อกำจัดหนูเพียงตัวเดียวนั้น

ต้องตีความว่าการ“เผาบ้าน”นั้น ใครจะเป็นคนเผา ซึ่งเมื่อประเมินจากสถานการณ์ในช่วงเวลานี้ คนที่จะเผาก็คือฝ่ายทักษิณและบริวารเท่านั้น โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การโค่นล้มสิ่งพวกเขาเรียกว่า "อำมาตย์"ที่ยังขัดขวางการกลับเข้าสู่อำนาจของทักษิณ ชินวัตร
กำลังโหลดความคิดเห็น