xs
xsm
sm
md
lg

รวนทั้งนอกทั้งใน ทำ “แม้ว” กุมขมับ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ผ่าประเด็นร้อน”

แม้แต่บรรดาแกนนำ 3 เกลอที่ออกมาใช้ข้อมูลกล่าวหาในลักษณะ “ปั้นน้ำเป็นตัว” ในกรณีเอกสารลับ หรือแม้แต่เลยเถิดไปถึงการข่มขู่บิดาและคนในครอบครัวของนายกรัฐมนตรี และที่สำคัญที่สร้างความโกรธเคืองจนแทบรับไม่ได้ก็คือคำพูดในลักษณะที่พาดพิงในกรณีการสร้างสถานการณ์ป่วนที่โรงพยาบาลศิริราช เหมือนกับเป็นการย่ำยีหัวใจยิ่งทำให้คนไทยรับไม่ได้

การได้เป็นข่าวแทบทุกวันใช่ว่าจะส่งผลบวกเสมอไป ตรงกันข้ามอาจยิ่งทำให้ตัวเองหรือฝ่ายของตัวเองติดลบ เข้ารกเข้าพงมากขึ้นเรื่อยๆ

หากเปรียบเทียบก็เหมือนกับ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายทั้งหลายหากไล่เรียงกันไปตั้งแต่พรรคเพื่อไทย เสื้อแดงสารพัดกลุ่ม หรือแม้แต่แนวร่วมนอกประเทศทางทิศตะวันออก อย่าง “ฮุนเซน” ทุกด้านล้วนมีแต่เรื่องติดลบ ทั้งสิ้น แทนที่จะรุกกดดันไปข้างหน้าอย่างมีพลัง กลับทำให้สังคมเริ่มชิงชังรังเกียจมากขึ้นทุกวัน

หากจะเริ่มจากพรรคเพื่อไทยก่อนก็จะเห็นว่าเวลานี้ข้างในเกิดความปั่นป่วนจนแทบจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ เพราะสภาพในปัจจุบันมีการแบ่งก๊กแบ่งเหล่าฟาดฟันกันเละ ไม่มีใครยอมใคร ระดับหัวขบวนต่างแย่งชิงการนำ ส่งผลกระทบต่อการเดินเกมในสภาอย่างหนัก

เห็นได้ชัดว่า ความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงถึงขั้นกล่าวถ้อยคำหยาบคายใส่กันระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กับ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เพื่อแย่งชิงบทบาทในพรรคและในพื้นที่ ก็ได้เกิดความระสำระสายกันไปพักหนึ่งแล้ว

ต่อมายังเกิดเรื่องกรณีที่ ปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่ออกมาแถลงระบุว่าจะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลภายในปลายเดือนนี้ ก่อนการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง แต่ถูก ส.ส.ของพรรคหลายคน เช่น สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ รวมไปถึง พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาก่อนตีแสกหน้ากลับไปว่านั่นเป็นแค่คำพูดของคนเพียงคนเดียว ทำนอง “ล้ำเส้น” ไม่ดูตาม้าตาเรือ พร้อมกับยืนยันว่าญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจจะยื่นภายหลังจากการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆไม่ทันภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้อย่างแน่นอน

ล่าสุด ในการประชุมพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 16 ก.พ. ร.ต.อ.เฉลิม ก็ไม่ได้เข้าประชุมด้วย และเมื่อวานนี้ (17 ก.พ.) ก็ได้ให้สัมภาษณ์ข่มขู่พรรค โดยคราวนี้กดดันไปถึงเจ้าของพรรคโดยตรงคือ ทักษิณ ชินวัตร ทำนองให้รีบตัดสินใจเคาะชื่อตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แนบไปกับญัตติซักฟอก ไม่เช่นนั้นอาจ “ทางใครทางมัน” เนื่องจากมีความเคลื่อนไหวที่จะผลักดันคนอื่นที่เป็น ส.ส.เช่น มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน รวมไปถึง ส.ส.นอกพรรคขึ้นมาเสียบแทน

ซึ่งก็น่าเห็นใจสำหรับ เฉลิม เนื่องจากดีดลูกคิดแล้วเชื่อว่าเมื่อมองเข้าไปภายในพรรคเพื่อไทยเวลานี้คงไม่มีใครเทียบเทียมตัวเองได้ในเรื่องของความโดดเด่น แม้ว่าจะคนละเรื่องกับความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ ทำให้คิดฝันไปไกลถึงนายกรัฐมนตรี แต่ในความเป็นจริงแล้วที่ ทักษิณ ยังรีรอ ส่วนหนึ่งก็คงยังตัดใจไม่ขาดเพราะรู้อยู่ว่าถ้าขืนเสนอชื่อ เฉลิม อยู่บำรุง ขึ้นไปเทียบกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ลองหลับตาดูเอาก็แล้วกันว่ากระแสสังคมจะตีกลับไปทางไหน

เมื่อหันไปมองภายในฝ่ายคนเสื้อแดงบ้างสังคมก็ได้เห็นภาพกันมาเป็นระยะแล้ว “แตกกันยับ” เละไม่มีชิ้นดี มีการแบ่งแยกกันสารพัดแดง ทั้ง “แดงสามเกลอ-หัวขวด” หรือ “แดงทหารหมาเน่า-ฮาร์ดคอร์” รวมไปถึงแดงหัวเมืองที่แยกย่อยซอยออกไปสารพัดกลุ่ม ต่างฝ่ายต่างเคลื่อนไหวเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน และกำลังช่วงชิงการนำ เคลื่อนไหวเป็นรายวันเพื่อสร้างผลงานเข้าตานายใหญ่ แล้วแต่จะคิดสรรหาวิธีการให้โดดเด่น

ที่ต้องจับตาก็คือการเคลื่อนไหวในนามกลุ่มสามเกลอ ที่กำลังเดินสายไปกดดันตามสถานที่สำคัญต่างๆเป็นรายวัน ทั้งกองทัพบก กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ล่าสุดเตรียมขยายผลไปถึงหน่วยงานธุรกิจภาคเอกชนอย่างธนาคารกรุงเทพที่อ้างว่าเป็นกลุ่มทุนของอำมาตย์

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตามความเป็นจริงเสียงสะท้อนที่กลับเข้ามาไม่ได้ทำให้เกิดภาพเป็นบวกเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเริ่มมีเสียงรำคาญและชิงชังรังเกียจมากขึ้นทุกวัน เพราะการชุมนุมที่ยืดเยื้อ ที่ทำสัญเป็นการชุมนุมเพื่อช่วยเหลือคนเพียงคนเดียวคือ ทักษิณ ชินวัตร ให้กลายเป็น “อภิสิทธิชน” ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด แต่มักกล่าวหาคนอื่นว่า “สองมาตรฐาน”

ประกอบกับการตั้งรับของฝ่ายรัฐบาล ที่เริ่มใช้สื่อของรัฐ รวมไปถึงการใช้บุคคลที่มีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือกว่าออกมาชี้แจงและให้ข่าว ทั้งตัวนายกฯ อภิสิทธิ์ และ ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่โฆษกรัฐบาลในกรณีท่อน้ำเลี้ยงจากต่างประเทศมาให้คนเสื้อแดงเพื่อสร้างความปั่นป่วนทั้งก่อนและหลังวันพิพากษายึดทรัพย์

ช่วยไม่ได้ที่มีปฏิกิริยาตีกลับมาแบบนั้น เพราะภาพลักษณ์ของความรุนแรงยังคงปรากฎให้เห็นทั้งในแง่ของตัวบุคคลที่เข้าร่วมไม่ว่าจะเป็น “เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี รวมไปถึงภาพของ “คนทรยศชาติ” อย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์ยิงระเบิด เอ็ม 79 ไปตกที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตพาณิชย์พระนคร และการลอบวางระเบิดที่ศาลฎีกาสนามหลวงก็ยิ่งทำให้คนอีกไม่น้อยที่ชี้หน้าไปที่กลุ่มนี้ แม้ว่าในข้อเท็จจริงจะเป็นฝีมือใครก็ตามที่ลงมือเพื่อสร้างสถานการณ์

หรือแม้แต่บรรดาแกนนำสามเกลอที่ออกมาใช้ข้อมูลกล่าวหาในลักษณะ “ปั้นน้ำเป็นตัว” ในกรณีเอกสารลับ หรือแม้แต่เลยเถิดไปถึงการข่มขู่บิดาและคนในครอบครัวของนายกรัฐมนตรี และที่สำคัญที่สร้างความโกรธเคืองจนแทบรับไม่ได้ก็คือคำพูดในลักษณะที่พาดพิงในกรณีการสร้างสถานการณ์ป่วนที่โรงพยาบาลศิริราช เหมือนกับเป็นการย่ำยีหัวใจยิ่งทำให้คนไทยรับไม่ได้

กลายเป็นว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงยิ่งนานวันไปยิ่งไร้เอกภาพขาดพลัง ในทางกลับกันแรงกดดันกลับพุ่งเข้าใส่พวกเขามากขึ้นทุกวัน ยิ่งชุมนุมก็ยิ่งเหมือนกับป่วนรายวัน เป็นตัวการในการขัดขวางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทำให้บ้านเมืองเสียโอกาส และสภาพติดลบแบบนี้มาเกิดขึ้นก่อนจะถึงช่วงดีเดย์สำคัญก่อนถึงวันพิพากษาคดียึดทรัพย์ในวันที่ 26 ก.พ.ก็ยิ่งไปกันใหญ่

แม้ว่าเหตุการณ์ร้ายต่างๆที่เคยเกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้าจะเป็นฝีมือของฝ่ายใดก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการจุดชนวนมาจากคนเสื้อแดง

ดังนั้น หากให้สรุปสภาพในเวลานี้ก็ถือได้ว่า “รวน” ทั้งนอกและในสภาจนไม่สามารถขับเคลื่อนให้เป็นขุมพลังใหญ่อย่างมีประสิทธิภาพตามที่คาดหวังเอาไว้ ทำได้อย่างมากก็เพียงแค่ขบวนกลุ่มย่อยสร้างความรำคาญรายวัน ยิ่งติดลบ ภาพลักษณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจะไม่ทำให้ ทักษิณ กุมขมับได้ไง!!


กำลังโหลดความคิดเห็น