ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญ 4 เหตุการณ์ด้วยกัน และเป็นเหตุการณ์ที่ต้องบอกว่า น่าสะพรึงกลัวยิ่ง เพราะนั่นเป็นสัญญาณให้เห็นถึงสถานการณ์ที่เขม็งเกลียวเข้ามาทุกทีก่อนจะถึงวันพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร”
เริ่มตั้งแต่การพยายามขับรถแทรกเข้าไปในขบวนรถของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ขณะอยู่บนทางด่วน ตามต่อด้วยการยิงเอ็ม-79 เข้าไปที่บริเวณ ม.เทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพาณิชยการพระนคร ซึ่งต้องบอกว่าเป็นการยิงที่พลาดเป้า เพราะจริงๆ แล้ว เป้าหมายน่าจะเป็นทำเนียบรัฐบาลมากกว่า และอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมงถัดมาก็มีการตรวจพบ “ระเบิดซีโฟร์” ขนาด 3 ปอนด์ถูกนำไปวางไว้ใต้ต้นคูนภายในรั้วของศาลฎีกา
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ผิดไปจากที่มีการคาดหมายเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทุกฝ่ายต้องจับตาทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วง 7 วันอันตรายว่า บนเส้นทางที่จะนำไปสู่การทำสงครามครั้งสุดท้ายนั้น 3 กลุ่มอำนาจที่ทรงพลังและทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศไทยจะกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการขับเคลื่อนอย่างไร และสุดท้ายใครจะสามารถ “ชิงดำ” เพื่อคว้าชัยชนะมาครอบครองได้
ทั้งกลุ่มอำมาตย์ กลุ่มคนเสื้อแดงและนช.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้ง “กลุ่มอำนาจใหม่” ที่มี “กองกำลังผสมจากกลุ่มบูรพาพยัคฆ์” และพลพรรคที่นำโดย “ยี้ห้อยแห่งเมืองบุรีรัมย์” และ “กำนันบ้านนอก” จากเมืองหอยใหญ่ รวมทั้งการชิงไหวชิงพริบแก้ทั้งเกมรุกและเกมรับของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
สำหรับกลุ่มอำมาตย์คงต้องบอกว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะกระทำการอะไรบางอย่างเพื่อกำราบ “ศัตรู” ฝ่ายตรงข้ามให้ราบคาบชนิดล้างให้สิ้นไม่ให้เหลือซาก เพราะไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น สังคมส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นฝีมือของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ทุกอย่างจะเป็นใจ แต่การทำอะไรอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจำเป็นที่จะต้องมีสถานการณ์พิเศษที่เหมาะสมเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมากเกมของกลุ่มอำมาตย์ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไปว่า หมากเด็ดที่จะนำมา “รุกฆาต”ศัตรูนั้นคืออะไร เพราะเชื่อว่า ไม่มีห้วงเวลาไหนที่เหมาะสมเท่ากับช่วงนี้อีกแล้ว
และผลพวงของการออกมาแฉเรื่อง “ไม้ล้างป่าช้า GT200” อาจทำให้การจัดทัพง่ายขึ้นโดยไม่ต้องรอให้ถึงฤดูกาลโยกย้าย ยิ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.มีท่าทีที่สวนกับนายอภิสิทธิ์เช่นนี้แล้ว ก็ยิ่งทำให้การแต่งตั้ง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ยิ่งมีความชอบธรรมมากขึ้น
ส่วนฝ่ายรัฐบาลจะเห็นได้ว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาบรรดา “ขุนพล” ฝ่ายรัฐบาล ต่างงัดและหยิบประเด็นแรงๆ ออกมาโจมตีกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลจากฝั่งรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับการต่อท่อน้ำเลี้ยงด้วยการส่งเงินเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อให้ป่วนบ้านป่วนเมือง ทั้งนี้ โดยมีบุคคลสำคัญที่รับท่อดังกล่าว 5 คนด้วยกันคือ 2 ส.1ว.1พ.และ 1ป. รวมกระทั่งถึงการออกมาให้ข่าวเกี่ยวกับการจับตาจุดอันตราย 8 จุดด้วยกัน
ขณะที่เมื่อหันไปมอง “ยุทธศาสตร์” และ “ยุทธวิธี” ของกลุ่มคนเสื้อแดงบ้าง ก็จะเห็นว่า พวกเขาระดมสรรพกำลังเร่งพลิกสถานการณ์จากฝ่ายรับให้ตกมาอยู่ในฝ่ายรุกบ้าง แต่ยุทธวิธีของพวกเขาก็ยังคงตอกย้ำเรื่องเดิมๆ คือการกล่าวโจมตี “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยประเด็นล่าสุดคือความพยายามที่จะเปิดแผลเรื่องท่อน้ำเลี้ยงของ พล.อ.เปรม ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มบุคคลใกล้ชิด หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “คณะ 11”
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นำเช็ค 2 ฉบับที่นางกัลยาณี พรรณเชษฐ์สั่งจ่ายให้กับพล.อ.เปรมในการ สร้างบ้านทักษะชีวิตที่วัดสวนแก้วของพระพยอม กัลยาโณ ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของท่อน้ำเลี้ยง จากนั้นก็ระดมพลไปชุมนุมกันที่หน้าแบงก์กรุงเทพสำนักงานใหญ่ สีลม ในวันที่ 19 ก.พ. เพื่อต้องการเปิดเผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพล.อ.เปรมกับ “นายชาตรี โสภณพนิช”
ส่วนเรื่องการใช้ความรุนแรงนั้น ต้องบอกว่าได้กลายเป็นภาพลักษณ์ที่ติดตัวกลุ่มคนเสื้อแดงไปเสียแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มีคำข่มขู่และสัญญาณกระตุ้นให้ใช้ความรุนแรงที่น่าสนใจจากบุคคลสำคัญ 2 คนคือ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารบก ญาติผู้พี่ของนช.ทักษิณ รวมทั้ง “นายมานิต จิตต์จันทร์กลับ” อดีตผู้พิพากษาเสื้อแดง
นี่ไม่นับรวมถึงแผนการจัดตั้ง “กองทัพผีบ้า” ที่จุดกระแสขึ้นมาโดย พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ก่อนที่จะถูกปฏิเสธ แต่หน่วยงานด้านความมั่นคงก็ยังเชื่อว่า การติดอาวุธของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นมีอยู่จริง เพียงแต่มีปัญหาแย่งชามข้าวและมีข้อผิดพลาด ทำให้ต้องปฏิเสธการจัดตั้งอย่างเป็นทางการ หากยังคงมีการเคลื่อนไหวในทางลับ โดยประจักษ์พยานคือการเคลื่อนไหวของ เสธ.แดงที่ยังคงยืนยันเรื่องการไฟเขียวให้ใช้ความรุนแรงจากนายใหญ่เป็นระยะๆ
ขณะเดียวกันเพื่อตีโต้ข้อครหาเรื่องการใช้ความรุนแรง พวกเขาก็พยายามสรรสร้างยุทธวิธีที่ดูเหมือนจะต้องการลดทอนภาพลักษณ์ที่ย่ำแย่ในเรื่องของการใช้ความรุนแรง แต่สุดท้ายก็กลายเป็นยุทธวิธีที่บ้องตื้นและสะเปะสะปะหนักเข้าไปอีก นั่นคือ การที่กลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 ออกล่ารายชื่อเพื่อยื่นถอดถอนนายพงษ์เทพ ศิริพงศ์กิตานนท์ และนายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ดังนั้น จึงยังคงต้องจับตากันต่อไปว่า หมากสุดท้ายของกลุ่มคนเสื้อแดงคืออะไรถึงจะสามารถช่วงชิงชัยชนะให้มาอยู่กับฝ่ายตนเองได้
ส่วนกลุ่มอำนาจใหม่ “เสื้อสีน้ำเงิน” นั้น ต้องบอกว่าเวลานี้เป็นห้วงเวลาที่พวกเขามีความสุขที่สุด เพราะสามารถยืนดูเสือ 2 ตัวห้ำหั่นเข้าใส่กันได้อย่างสบายใจ ขณะที่ตัวเองก็สามารถเก็บผลประโยชน์ได้เรื่อยๆ เนื่องจากไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง พร้อมอาศัยช่องว่างที่เกิดขึ้นเร่งสะสม “เสบียงกรัง” กันอย่างมูมมาม เช่น การวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ การซื้อข้อสอบเข้า ร.ร.นายอำเภอ การวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในการโยกย้ายนายตำรวจ และล่าสุดกับการจ้องเขมือบงบภัยหนาวและภัยแล้ง
ที่สำคัญคือ ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอำมาตย์หรือฝ่ายกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะสามารถเข้ามาสอดแทรกช่วงชิงสถานการณ์กลายเป็นได้ทั้ง “ตาอยู่” ในการดูด ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยเข้ามาร่วมสังกัด หรือสามารถขยับขยายสถานะตัวเองให้ก้าวขึ้นไปเป็น “ป๋า2” ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แม้ว่าหลายคนจะไม่ให้ราคากับ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) แต่ต้องยอมรับในมุมมองของเขาเกี่ยวกับการวางระเบิดบริเวณศาลฎีกา และยิงเอ็ม 79 ไปที่พาณิชย์พระนครว่า มีเค้าลางของความจริงอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้ “เป็ดเหลิม” ฟันธงลงไปชัดๆ ว่า งานนี้คนที่ทำก็คือ “มือที่ 3” ซึ่งก็คือ กลุ่มคนเสื้อแดงเดิมที่ไปเปลี่ยนใส่เสื้อสีน้ำเงิน
ด้วยเหตุดังกล่าว สังคมจึงไม่อาจมองข้ามเกมที่จะถูกสรรค์สร้างออกมาจากกลุ่มเสื้อน้ำเงินได้เลยแม้แต่น้อย
กระนั้นก็ดี ดูเหมือนว่า ล่าสุด “สมรภูมิรบ” ในสงครามครั้งสุดท้ายที่สุ่มเสี่ยงยิ่งของทุกกลุ่มได้ปรากฏโฉมให้เห็นแล้ว นั่นก็คือ การออกมาปูดข่าวของนายจตุพร พรหมพันธุ์เกี่ยวกับเรื่อง “ศิริราช” โดยนำมาโยงกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 19
ประเด็นนี้ ต้องถือว่า เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายสำหรับทุกฝ่าย เนื่องจากแม้จะเกิดเหตุการณ์แม้จะเพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ และจับได้ว่าฝ่ายไหนเป็นคนกระทำ ฝ่ายนั้นจะตกเป็นผู้พ่ายแพ้ และฝ่ายที่ชนะจะมีความชอบธรรมในการจัดการขั้นเด็ดขาดทันที
โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ศิริราชถือเป็นจุดเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่พวกเขาหวาดกลัวมากที่สุด ขณะที่รัฐบาล หวยก็สามารถออกได้ทั้ง 2 ทางคือ สามารถนำ พ.ร.บ.ความมั่นคงและ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจัดการกับผู้ก่อความไม่สงบได้ในทันที หรือไม่ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วย “การลาออก” ที่ปล่อยให้มีเหตุการณ์เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ ในมุมกลับกันศิริราชอาจก่อให้เกิดประโยชน์กับการทำสงครามครั้งสุดท้ายของกลุ่มคนเสื้อแดงก็เป็นได้ เพราะอาจมีการสร้างสถานการณ์โดยใช้มวลชนคนเสื้อแดงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เป็นเครื่องสังเวยชัยชนะ จากนั้นก็ปลุกระดมว่า ฝ่ายอำมาตย์ ฝ่ายเสื้อสีน้ำเงิน ฝ่ายรัฐบาลสร้างสถานการณ์ และเรียกระดมคนเพื่อก่อการจลาจลทั่วทั้งประเทศ สุดท้ายก็ยื่นเงื่อนไขขอ “เจรจา” เพื่อทำให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนประการเดียวคือ ขอให้นช.ทักษิณสามารถกลับเข้ามาในประเทศโดยไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย
นี่คือช่วงจังหวะเวลาที่น่าหวาดเสียวที่สุด และสุดท้ายสังคมคงต้องจับตากันต่อไปว่า ในช่วง 7 วันอันตรายก่อนถึงวันที่ 26 ก.พ.นี้ โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินหรือไม่ และกลุ่มอำมาตย์ กลุ่มอำนาจใหม่ หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ใครจะเป็นผู้ช่วงชิงความได้เปรียบเอาไว้ได้
และไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า ขณะนี้กลิ่น “รัฐประหาร” ได้กลับมาแพร่สะพัดอย่างมีนัยสำคัญอีกครั้ง