xs
xsm
sm
md
lg

สัญญาณเตือน....ก่อน-หลังคำพิพากษา

เผยแพร่:   โดย: วิทยา วชิระอังกูร

กำหนดวันอ่านคำพิพากษาคดี 7.6 หมื่นล้านบาท ใกล้เข้ามาทุกขณะ ทำให้เดือนกุมภาพันธ์ทั้งเดือนในขณะนี้ กลายเป็นเดือนแห่งความร้อนระอุระทึกขวัญของคนไทยทั้งมวล โดยผู้คนต่างหวาดหวั่นว่าจะมีการก่อเหตุร้ายรุนแรงจากฝ่ายที่ไม่ยอมรับคำตัดสินพิพากษาคดีประวัติศาสตร์นี้

  ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดายยิ่ง ที่ปี 2553 นี้ เดือนกุมภาพันธ์น่าจะเป็นเดือนแห่งความสงบสุข เพราะเป็นทั้งเดือนแห่งเทศกาลความรักของชาวคริสต์ (วันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์) เป็นทั้งเดือนแห่งการขึ้นปีใหม่ของชาวจีน (วันตรุษจีน 14 กุมภาพันธ์) และยังเป็นเดือนแห่งมาฆบูชาของชาวพุทธ (วันมาฆบูชา 28 กุมภาพันธ์)

คงไม่บ่อยครั้งนัก ที่จะมีวันดีๆ มาประจวบเหมาะพ้องพานในเดือนเดียวกันเช่นนี้ และโดยเฉพาะล้วนเป็นวันที่ควรจะมีแต่รอยยิ้ม อิ่มเอมใจ ทั้งชาวพุทธชาวคริสต์ รวมทั้งชาวจีนในประเทศไทยที่ส่วนใหญ่สายเลือดหล่อหลอมกลมกลืนกับความเป็นไทยอย่างแทบจะแยกกันไม่ออกแล้ว

  ว่ากันตามจริง คดียึดทรัพย์ผู้นำประเทศ ได้เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ถ้ายังจำกันได้ ครั้งแรกคือการฟ้องยึดทรัพย์จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในวงเงินสองพันกว่าล้านบาท ครั้งที่สอง หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในยุคนายกฯ สัญญา ธรรมศักดิ์  ก็มีคดีฟ้องยึดทรัพย์ จอมพลถนอม กิตติขจร,จอมพลประภาส จารุเสถียร และ พันเอกณรงค์ กิตติขจร ในวงเงินหลายร้อยล้านบาท และครั้งล่าสุด ในยุคการยึดอำนาจของ รสช. ก็มีการฟ้องยึดทรัพย์ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ กับคณะรัฐมนตรีร่วมคณะ ในวงเงิน 1,600 ล้านบาท

  ที่ผ่านมา ผู้นำประเทศที่ถูกฟ้องยึดทรัพย์ทุกรายต่างก็ยอมรับ และเข้าต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมโดยปกติ คดียึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แม้เจ้าตัวจะถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว ทายาทก็ตั้งทนายสู้คดี ซึ่งผลการตัดสินจากวงเงินสองพันกว่าล้านบาท ก็ถูกยึดได้เพียงสี่ร้อยกว่าล้านบาท คดีจอมพลถนอม กิตติขจร และคณะก็สู้คดีจนถึงที่สุด แม้อุทธรณ์คดีไม่เป็นผลก็ยอมรับสภาพการถูกยึดทรัพย์โดยดุษณี ส่วนคดีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และคณะ ก็ต่อสู้จนได้รับทรัพย์สินที่ถูกยึดคืนทั้งหมด

ประวัติศาสตร์คดียึดทรัพย์ผู้นำประเทศที่ต้องหาว่าทุจริต ก็พ้นผ่านมาด้วยดีตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายต่อสู้คดีตามสิทธิอย่างถึงที่สุดโดยเปิดเผย ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา ก็ไม่เคยมีคนไทยคนไหนลุกขึ้นมาตีโพยตีพายขัดขืนไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมทางศาลอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้

ซึ่งจะว่าไปแล้ว  แม้ทักษิณ ชินวัตร และพวกจะร้องแรกแหกกระเชออยู่ตลอดเวลา ว่ากระบวนการยุติธรรมทางศาลไม่ยุติธรรม มีสองมาตรฐาน แต่ก็ยังแต่งตั้งทนายนำพยานหลักฐาน ทั้งพยานเอกสาร พยานบุคคลมาต่อสู้ตามกระบวนการอย่างไม่ลดละไม่ขาดตอน ซึ่งย่อมส่อแสดงให้เห็นว่า ยังหวังที่อาจจะชนะคดี และการกระทำเช่นนี้ก็แปลความได้ว่า หากวันใดศาลตัดสินพิพากษาให้ทักษิณเป็นฝ่ายชนะคดี ก็เป็นอันว่า กระบวนการยุติธรรมทางศาลมีความยุติธรรมแล้ว ตามระบบคิดของคนที่ชอบอ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยอย่างกลุ่มคนเสื้อแดงและหัวโจกเสื้อแดงอย่างทักษิณ

สรุปก็คือ วิธีคิดที่เอาแต่ได้ตามแบบฉบับของระบอบทักษิณขนานแท้และดั้งเดิมนั่นเอง เพราะฉะนั้น ที่ทักษิณชอบพูดกับกลุ่มคนเสื้อแดง ว่าตนถูกกลั่นแกล้งรังแก อำนาจรัฐฝ่ายอำมาตย์สองมาตรฐานไม่ยุติธรรม โดยสำรากว่า “พวกกูทำอะไรก็ผิด พวกมึงทำอะไรก็ถูก” ถ้อยคำนี้ทักษิณน่าจะต้องสำรากใหม่ว่า “ถ้าพวกมึงตัดสินให้กูถูก พวกมึงถูก แต่ถ้าพวกมึงตัดสินว่ากูผิด พวกมึงผิด” อย่างนี้จะถูกต้องตรงประเด็นกว่าไหม?

  ทักษิณ และพวกจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ คนไทยทั้งประเทศ ก็จะได้รับฟังคำตัดสินพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท อันมีผลสะเทือนต่อวงการเมืองไทยทั้งระบบอย่างแน่นอน

  แม้ว่าจะมีความพยายามทุกวิถีทางที่จะใช้การข่มขู่ คุกคาม กดดัน เพื่อยับยั้งการอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ เหมือนฝ่ายผู้กระทำการจะรู้ถึงความผิดที่ตนก่อและหวาดกลัวผลกรรมที่จะต้องได้รับจากการกระทำของตน จึงคิดแต่จะใช้ความรุนแรง

แม้จะต้องก่อการจลาจลเผาบ้านเผาเมือง โดยหวังเพียงว่า อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองที่จะชำระล้างความผิดที่ตนก่อได้ ไม่ว่าจะฝืนกระแสความชอบธรรมเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะถึงวันอ่านคำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญนี้ คนไทยทั้งมวลที่ติดตามสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในขณะนี้ ย่อมตกอยู่ในภาวะอกสั่นขวัญแขวนจากการปล่อยข่าวข่มขู่ คุกคาม และการใช้อาวุธสงครามยิงเข้าสถานที่ราชการ การวางระเบิดศาลฎีกา และการก่อเหตุก่อกวนเป็นระยะๆ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย

หากนายกฯ อภิสิทธิ์ และกลไกฝ่ายความมั่นคง ยังวางตนตั้งรับอยู่ในความประมาท โดยประเมินกำลังฝ่ายป่วนบ้านป่วนเมืองต่ำ ไม่มีมาตรการตัดไฟแต่ต้นลม หรือแม้แต่มาตรการป้องกันก็ยังหละหลวมไม่มีประสิทธิภาพเพียงพออย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็ไม่แน่นักว่า ขบวนการถ่อยเถื่อนสะเปะสะปะที่เรากำลังดูถูกดูแคลน อาจเป็นตัวจุดชนวนที่อาจระเบิดบ้านระเบิดเมืองให้พังพินาศเสียหายได้อย่างคาดไม่ถึง

เราเคยมีบทเรียนจากวันสงกรานต์เลือด ที่รถเมล์ถูกนำมาเผาเล่นกลางเมืองหลวงตามใจชอบหลายสิบคัน และเดชะบุญที่ทั้งรถแก๊ส และถังแก๊ส ไม่เกิดการระเบิดซึ่งอาจเป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งรถบรรทุกแก๊สพลิกคว่ำที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เมื่อหลายปีก่อน

  การวางแผนก่อความรุนแรงครั้งนั้น ซึ่งมารู้ภายหลังจากการทะเลาะด่าทอกันของแกนนำคนเสื้อแดง ว่าปฏิบัติการไม่สำเร็จตามเป้าประสงค์ เพราะกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่วางแผนนัดหมายกันแล้ว ไม่มาตามนัด จนถูกประณามเย้ยหยันว่าเป็นนักรบของปลอม และเป็นหมาเน่าลอยน้ำมานั่นเอง  

แล้วมาในครั้งนี้ คนไทยที่เหมือนถูกจับเป็นตัวประกันอยู่นี้ ก็คงอยากจะถามไถ่ว่า การข่าวฝ่ายความมั่นคงของรัฐ สืบทราบบ้างแล้วหรือยังว่าขบวนการก่อนหรือหลังวันอ่านคำพิพากษาที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ ฝ่ายกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเขาได้มีการนัดหมายวางแผนปรับแผนการปฏิบัติการกันอย่างไร?

  ปีที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศ หวาดผวา เสียความรู้สึกกับบรรยากาศวันฉลองสงกรานต์ ที่ถูกทำลายด้วยภาพที่เหมือนฉากหนังสงครามกลางเมือง จนหมดกะจิตกะใจที่จะเล่นน้ำสงกรานต์กัน

มาปีนี้ จึงใคร่ขอวิงวอนท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ และกลไกฝ่ายความมั่นคงของรัฐ ช่วยกรุณารักษาบรรยากาศวันมาฆบูชา วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ให้พุทธศาสนิกชาวไทยและทุกชนชาติที่นับถือศรัทธาพุทธศาสนาในประเทศไทย ได้มีโอกาสทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม ฟังธรรมเทศนา และร่วมเวียนเทียนกันตามปกติสุขเถิดนะครับ พระคุณท่าน

และขอให้ “โอวาทปาฏิโมกข์” อันเป็นหัวใจของพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงธรรมเทศนาไว้ในวันมาฆบูชา ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลเป็นหลักธรรมคำสอน ให้มนุษย์ละเว้นจากความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม ด้วยการปฏิบัติทั้ง กาย วาจา ใจ จงแผ่ไปให้ถึงคนไทยทุกผู้ทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่กำลังคิดมิดีมิชอบต่อบ้านเมืองได้น้อมรับโอวาทปาฏิโมกข์ เพื่อกลับตัวกลับใจเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมไทย เถิดเทอญ

โกโธ สตฺถมลํ โลเก (ความโกรธเป็นดั่งสนิมศัสตราในโลก)
โกธํ ฆตฺวา สฺขํ เสติ (ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมเป็นสุข)
 
กำลังโหลดความคิดเห็น