เดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ เป็นเดือนพิเศษที่นานๆ จะมีเรื่องราวหลายเรื่องมาซ้ำซ้อนกันอยู่ในเดือนเดียวกัน จึงจัดว่าเป็นเดือนที่น่าสนใจมากที่สุดเดือนหนึ่งในรอบหลายๆ สิบปี
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 จะเป็นวันเทศกาลแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ของฝรั่ง และในวันเดียวกันนี้ก็เป็นวันตรุษจีนของผู้มีเชื้อสายจีนทั้งปวง
แต่เพราะปีนี้เป็นปีอธิกมาส คือเป็นปีที่มีเดือน 8 สองหน ดังนั้นจึงแทนที่วันมาฆบูชาของชาวพุทธจะตกอยู่ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ก็จะต้องเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 แทน ซึ่งก็ยังตกอยู่ในเดือนกุมภาพันธ์นั่นเอง แต่เป็นวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553
เพียงเท่านี้ก็จะเห็นได้ว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2553 เป็นทั้งเดือนเทศกาลแห่งความรักของชาวคริสต์ เป็นทั้งเดือนขึ้นปีใหม่ของชาวจีน และเป็นเดือนมาฆมาสของชาวพุทธ
สำหรับผู้ที่นับถือเรื่องเจ้าก็ยังมีวันที่เกี่ยวข้องอีก 3 วัน เพราะในเทศกาลเดือน 3 นั้นถือกันว่าเป็นเดือนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผีเรื่องเจ้าอยู่เป็นอันมาก
เป็นเดือนที่จะมีการประชุมสมัชชาเจ้าบนสรวงสวรรค์ที่มีเง็กเซียนฮ่องเต้ทรงเป็นองค์ประธาน เป็นเทศกาลที่เจ้าทั้งหลาย เทพยดาทั้งหลาย รวมทั้งพระภูมิเจ้าที่เจ้าป่าเจ้าเขาจะต้องขึ้นไปประชุมกันบนสรวงสวรรค์เพื่อรายงานกิจการทั้งปวงที่เป็นมาในรอบปี
โดยถือว่าวันแรม 8 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันแรกของการประชุมสมัชชาใหญ่บนสรวงสวรรค์ และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 4 ดังนั้นจึงเป็นวันเวลาที่ประชุมสมัชชาเจ้าจริงๆ ตั้งแต่วันแรม 8 ค่ำ เดือน 3 จนถึงวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 4 รวม 10 วัน ซึ่งเท่าๆ หรือมากกว่าการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศจีนเล็กน้อย
ดังนั้นในวันแรม 8 ค่ำ จึงมีธรรมเนียมที่จะต้องไหว้ส่งเจ้า และมีธรรมเนียมที่จะต้องไหว้รับเจ้า ในวันขึ้น 3 ค่ำ เป็นทำนองว่าไหว้ส่งเจ้าให้ไปรายงานเรื่องดีๆ ครั้นกลับมาแล้วก็ไหว้รับเจ้าเป็นการประจบเอาอกเอาใจ
อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ เพราะเคยมีตำนานเล่าขานว่าสมัยหนึ่งมีพระภูมิเจ้าที่องค์หนึ่งประจำบ้านของชาวนาที่ยากจนและยากไร้ แต่ตั้งมั่นในความดี เคารพศรัทธาต่อเจ้ายิ่งนัก แต่เพราะความยากจน ไม่สามารถซื้อของ 3 สิ่งหรือที่เรียกว่าซาแซมาไหว้ส่งเจ้าได้ มีเงินเหลือติดบ้านเล็กน้อย จึงได้นำไปซื้อน้ำต้มไก่เอามาไหว้ส่งเจ้า
ปรากฏว่าเจ้าท้องเสีย ขึ้นไปประชุมบนสวรรค์ล่าช้า ซึ่งขณะนั้นเริ่มประชุมไปแล้ว เง็กเซียนฮ่องเต้ได้ถามว่าทำไมจึงมาประชุมล่าช้า พระภูมิเจ้าที่ก็รายงานว่าลูกหลานเป็นคนดีมากแต่ยากจน ไม่มีเงินซื้อของไหว้ จึงไปซื้อน้ำต้มไก่มาไหว้ ทำให้ท้องเสีย
เง็กเซียนฮ่องเต้ได้ฟังรายงานก็เห็นอกเห็นใจในความศรัทธา ในความตั้งมั่น ในคุณงามความดี จึงมีประกาศิตให้พระภูมิเจ้าที่ไปดำเนินการให้ชาวนาผู้ยากไร้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ซึ่งตำนานนี้ก็ยังเล่าขานกันมาจนถึงทุกวันนี้
เพราะเหตุที่เจ้ากลับจากประชุมบนสรวงสวรรค์แล้วอาจได้รับการเลื่อนขั้น อาจได้รับการมอบหมายให้มาประทานพร ดังนั้นเพื่อกันเจ้าหลงลืม จึงมีพิธีการอีกพิธีหนึ่งคือพิธีไหว้ฉลองเจ้า ซึ่งจะทำหลังวันตรุษจีนไป 15 วัน เป็นทำนองเตือนความจำเจ้าขี้ลืม แต่เป็นวิธีการที่แนบเนียนมาก ดังนั้นหลังวันตรุษจีนไป 15 วัน การไหว้เจ้าจะเป็นพิธีการใหญ่โดยเฉพาะการไหว้เจ้าประจำศาลเจ้าต่างๆ
ในบางภาคของประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ พิธีการไหว้ฉลองเจ้าจะทำกันเป็นพิธีใหญ่โตมโหฬาร มีการแห่เจ้าออกเลียบเมืองเพื่อความเป็นสิริมงคล บ้างมีพิธีการลงน้ำ ลุยไฟ และแสดงอภินิหารต่างๆ
ใครอยากดูพิธีการแบบนี้ก็ลองไปดูพิธีการไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง จังหวัดปัตตานี ดูก็ได้ จะได้เห็นถึงวัฒนธรรมและความยิ่งใหญ่ของพิธีการฉลองเจ้าว่าเป็นอย่างไร
ส่วนวันมาฆบูชานั้น จัดเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา ถือกันว่าเป็นวันของพระสงฆ์ เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประชุมพระอรหันต์ครั้งใหญ่ที่สุดในโพธิกาล ซึ่งเป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพื่อประกาศวิธีการในการอบรมสั่งสอนพระพุทธศาสนา ตลอดจนการประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ ซึ่งจะเขียนเรื่องนี้เป็นการเฉพาะอีกเรื่องหนึ่ง ในโอกาสที่วันมาฆบูชามาถึง
แต่เพราะว่าเป็นวันสำคัญที่จะมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ก็ต้องกล่าวเสียหน่อยหนึ่งว่าวันมาฆบูชานั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นวันแห่งความรักอันบริสุทธิ์ ที่มนุษย์พึงมีต่อมนุษยชาติด้วยกัน เป็นความรักที่เปี่ยมด้วยความเสียสละเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของผู้อื่นโดยแท้
เป็นความรักที่ภาษาธรรมเรียกว่าเมตตากรุณานั่นเอง เพราะสิ่งที่เรียกว่าความรักเป็นถ้อยคำที่เกิดทีหลัง ถ้อยคำเก่าดั้งเดิมก็คือความเมตตาและกรุณา ซึ่งเป็นสององค์ธรรมสำคัญในพรหมวิหารสี่
จัดเป็นผลอย่างหนึ่งของการศึกษาและปฏิบัติธรรม ในขณะที่คำว่า “ความรัก” นั้นเกิดขึ้นทีหลัง โดยในยุคก่อนหน้านั้นจะใช้คำว่า “กาม” หรือ “ราคะ” ซึ่งจัดเป็นพวกเหตุ คือเหตุแห่งทุกข์นั่นเอง
วันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์เป็นวันที่สมมติขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่นักบุญวาเลนไทน์ในคริสต์ศาสนา เพื่อเป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักอันบริสุทธิ์ต่อมนุษยชาติ
ความรักอันบริสุทธิ์ในความหมายแท้ที่อนุสรณ์ถึงนักบุญวาเลนไทน์และเป็นความหมายแท้ของวันวาเลนไทน์ก็คือความหมายแห่งความเมตตากรุณา ทำนองเดียวกับความเมตตากรุณาในพระพุทธศาสนา
แต่ครั้นเวลาผ่านไป สิ่งที่เรียกว่าวันแห่งความรักก็ผิดเพี้ยนเบี่ยงเบนกลายเป็นวันแห่งความใคร่
และเมื่อล่วงเลยมาถึงยุคสมัยที่ทุนนิยมครอบงำโลก อิทธิพลของทุนก็ได้รณรงค์ส่งเสริมให้วันแห่งความใคร่นี้ค่อยๆ พัฒนาไป กลายเป็นวันแห่งการเสียตัว ที่หนุ่มสาวเตรียมอกเตรียมใจที่จะเสียตัวให้แก่กัน
จนถึงกับบางปีเพื่อปกป้องเยาวชนของชาติ ทางราชการถึงกับต้องจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเฝ้าตามหน้าโรงแรมม่านรูดให้เป็นที่อับอายขายหน้ากันมาแล้ว แต่กระนั้นถึงวันนี้ค่านิยมวันแห่งความรักที่ผิดเพี้ยนกลายเป็นวันเสียตัวก็ยังมีกระแสสูงอยู่ในสังคมของเรา
คนที่เป็นพ่อเป็นแม่และมีความห่วงใยลูกจึงจำต้องนัดหมายพาลูกไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดหรือไปต่างประเทศเสียบ้าง หรือพ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดก็มักที่จะเรียกลูกกลับไปบ้าง อ้างว่าไปทำบุญสุนทานเสียบ้าง เนื้อแท้ก็คือความรักหวงห่วงใยที่ต้องการปกป้องลูกหลานเยาวชนไม่ให้เสียตัว เสียผู้เสียคน ในวัยอันไม่สมควร
ดังนั้นในวันนี้เมื่อความหมายของวันแห่งความรักเบี่ยงเบนไปไกลถึงปานนี้ หากดวงวิญญาณของนักบุญวาเลนไทน์บนสรวงสวรรค์สามารถรับรู้ได้ด้วยญาณวิถีใดย่อมต้องสลดใจในความผิดเพี้ยนที่ไปไกลได้ถึงเพียงนี้
เป็นความผิดเพี้ยนที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ เพราะเมื่อปฏิบัติผิดเพี้ยนไปเช่นนี้แล้วก็ได้กลายเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาสังคม จนกระทั่งหลายครอบครัวต้องย่อยยับอับจนและบ้างก็เสียคนเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร
ดังนั้นชาวโลกจึงพึงฟื้นคืนองค์ธรรมอันเป็นอนุสรณ์แห่งนักบุญวาเลนไทน์ให้กลับคืนสู่ความหมายอันแท้จริง คือเป็นวันแห่งความรักที่บริสุทธิ์ ที่เต็มไปด้วยความเสียสละและเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของผู้อื่น ตลอดจนชาวโลกเป็นส่วนรวม
และในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ศกนี้ ก็เป็นวันตรุษจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามคติความเชื่อของชาวจีน ซึ่งวันนี้ในปีเจี้ยนอันศกปีที่สิบสองก็เป็นวันที่เล่าปี่ทำพิธีเสี่ยงทายตามคัมภีร์อี้จิง และเป็นวันเริ่มต้นของผลสำเร็จในการไปเชิญจูกัดเหลียงขงเบ้ง พญามังกรซุ่มให้เลื้อยลงจากเทือกเขามังกรหลับเพื่อกอบกู้ราชวงศ์ฮั่น
วันที่ 1 ของปีใหม่จีนหรือวันตรุษจีน เป็นวันหลังจากวันไหว้บรรพบุรุษ 1 วัน ซึ่งกระทำในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 3 เพื่อรำลึกและแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการีทั้งปวงที่ล่วงลับแล้ว เป็นวันกระทำกตัญญูกตเวทิตาและเป็นวันชุมนุมลูกหลานสายเลือดในตระกูล
เป็นวันแห่งความสามัคคีที่คนสายเลือดเดียวกันจะกระทำกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อบุพการีทั้งปวง จึงเท่ากับเป็นวันประกาศคุณงามความดีของบุตรหลานทั้งหลาย ดังนั้นจึงเป็นวันประทานพรและของขวัญหรือที่เรียกว่า “แต๊ะเอีย” ที่ผู้เป็นใหญ่จะพึงให้แก่ลูกหลานด้วย
จะเรียกว่าเป็นวันเสียตังค์ก็ได้ แต่เสียตังค์เพื่อความสามัคคีของผู้มีสายเลือดเดียวกัน เพื่อประกาศความดีคือกตัญญูกตเวทิตาธรรมนั่นเอง
แล้วในปีนี้คนไทยสายเลือดไทยจะไม่สามัคคีร่วมกันประกาศคุณงามความดีและความกตัญญูรู้คุณแผ่นดินที่ได้ให้ที่เกิด ที่กิน ที่อยู่ และที่ตายแก่ผองเราดอกหรือ?
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 จะเป็นวันเทศกาลแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ของฝรั่ง และในวันเดียวกันนี้ก็เป็นวันตรุษจีนของผู้มีเชื้อสายจีนทั้งปวง
แต่เพราะปีนี้เป็นปีอธิกมาส คือเป็นปีที่มีเดือน 8 สองหน ดังนั้นจึงแทนที่วันมาฆบูชาของชาวพุทธจะตกอยู่ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ก็จะต้องเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 แทน ซึ่งก็ยังตกอยู่ในเดือนกุมภาพันธ์นั่นเอง แต่เป็นวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553
เพียงเท่านี้ก็จะเห็นได้ว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2553 เป็นทั้งเดือนเทศกาลแห่งความรักของชาวคริสต์ เป็นทั้งเดือนขึ้นปีใหม่ของชาวจีน และเป็นเดือนมาฆมาสของชาวพุทธ
สำหรับผู้ที่นับถือเรื่องเจ้าก็ยังมีวันที่เกี่ยวข้องอีก 3 วัน เพราะในเทศกาลเดือน 3 นั้นถือกันว่าเป็นเดือนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผีเรื่องเจ้าอยู่เป็นอันมาก
เป็นเดือนที่จะมีการประชุมสมัชชาเจ้าบนสรวงสวรรค์ที่มีเง็กเซียนฮ่องเต้ทรงเป็นองค์ประธาน เป็นเทศกาลที่เจ้าทั้งหลาย เทพยดาทั้งหลาย รวมทั้งพระภูมิเจ้าที่เจ้าป่าเจ้าเขาจะต้องขึ้นไปประชุมกันบนสรวงสวรรค์เพื่อรายงานกิจการทั้งปวงที่เป็นมาในรอบปี
โดยถือว่าวันแรม 8 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันแรกของการประชุมสมัชชาใหญ่บนสรวงสวรรค์ และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 4 ดังนั้นจึงเป็นวันเวลาที่ประชุมสมัชชาเจ้าจริงๆ ตั้งแต่วันแรม 8 ค่ำ เดือน 3 จนถึงวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 4 รวม 10 วัน ซึ่งเท่าๆ หรือมากกว่าการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศจีนเล็กน้อย
ดังนั้นในวันแรม 8 ค่ำ จึงมีธรรมเนียมที่จะต้องไหว้ส่งเจ้า และมีธรรมเนียมที่จะต้องไหว้รับเจ้า ในวันขึ้น 3 ค่ำ เป็นทำนองว่าไหว้ส่งเจ้าให้ไปรายงานเรื่องดีๆ ครั้นกลับมาแล้วก็ไหว้รับเจ้าเป็นการประจบเอาอกเอาใจ
อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ เพราะเคยมีตำนานเล่าขานว่าสมัยหนึ่งมีพระภูมิเจ้าที่องค์หนึ่งประจำบ้านของชาวนาที่ยากจนและยากไร้ แต่ตั้งมั่นในความดี เคารพศรัทธาต่อเจ้ายิ่งนัก แต่เพราะความยากจน ไม่สามารถซื้อของ 3 สิ่งหรือที่เรียกว่าซาแซมาไหว้ส่งเจ้าได้ มีเงินเหลือติดบ้านเล็กน้อย จึงได้นำไปซื้อน้ำต้มไก่เอามาไหว้ส่งเจ้า
ปรากฏว่าเจ้าท้องเสีย ขึ้นไปประชุมบนสวรรค์ล่าช้า ซึ่งขณะนั้นเริ่มประชุมไปแล้ว เง็กเซียนฮ่องเต้ได้ถามว่าทำไมจึงมาประชุมล่าช้า พระภูมิเจ้าที่ก็รายงานว่าลูกหลานเป็นคนดีมากแต่ยากจน ไม่มีเงินซื้อของไหว้ จึงไปซื้อน้ำต้มไก่มาไหว้ ทำให้ท้องเสีย
เง็กเซียนฮ่องเต้ได้ฟังรายงานก็เห็นอกเห็นใจในความศรัทธา ในความตั้งมั่น ในคุณงามความดี จึงมีประกาศิตให้พระภูมิเจ้าที่ไปดำเนินการให้ชาวนาผู้ยากไร้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ซึ่งตำนานนี้ก็ยังเล่าขานกันมาจนถึงทุกวันนี้
เพราะเหตุที่เจ้ากลับจากประชุมบนสรวงสวรรค์แล้วอาจได้รับการเลื่อนขั้น อาจได้รับการมอบหมายให้มาประทานพร ดังนั้นเพื่อกันเจ้าหลงลืม จึงมีพิธีการอีกพิธีหนึ่งคือพิธีไหว้ฉลองเจ้า ซึ่งจะทำหลังวันตรุษจีนไป 15 วัน เป็นทำนองเตือนความจำเจ้าขี้ลืม แต่เป็นวิธีการที่แนบเนียนมาก ดังนั้นหลังวันตรุษจีนไป 15 วัน การไหว้เจ้าจะเป็นพิธีการใหญ่โดยเฉพาะการไหว้เจ้าประจำศาลเจ้าต่างๆ
ในบางภาคของประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ พิธีการไหว้ฉลองเจ้าจะทำกันเป็นพิธีใหญ่โตมโหฬาร มีการแห่เจ้าออกเลียบเมืองเพื่อความเป็นสิริมงคล บ้างมีพิธีการลงน้ำ ลุยไฟ และแสดงอภินิหารต่างๆ
ใครอยากดูพิธีการแบบนี้ก็ลองไปดูพิธีการไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง จังหวัดปัตตานี ดูก็ได้ จะได้เห็นถึงวัฒนธรรมและความยิ่งใหญ่ของพิธีการฉลองเจ้าว่าเป็นอย่างไร
ส่วนวันมาฆบูชานั้น จัดเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา ถือกันว่าเป็นวันของพระสงฆ์ เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประชุมพระอรหันต์ครั้งใหญ่ที่สุดในโพธิกาล ซึ่งเป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพื่อประกาศวิธีการในการอบรมสั่งสอนพระพุทธศาสนา ตลอดจนการประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ ซึ่งจะเขียนเรื่องนี้เป็นการเฉพาะอีกเรื่องหนึ่ง ในโอกาสที่วันมาฆบูชามาถึง
แต่เพราะว่าเป็นวันสำคัญที่จะมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ก็ต้องกล่าวเสียหน่อยหนึ่งว่าวันมาฆบูชานั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นวันแห่งความรักอันบริสุทธิ์ ที่มนุษย์พึงมีต่อมนุษยชาติด้วยกัน เป็นความรักที่เปี่ยมด้วยความเสียสละเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของผู้อื่นโดยแท้
เป็นความรักที่ภาษาธรรมเรียกว่าเมตตากรุณานั่นเอง เพราะสิ่งที่เรียกว่าความรักเป็นถ้อยคำที่เกิดทีหลัง ถ้อยคำเก่าดั้งเดิมก็คือความเมตตาและกรุณา ซึ่งเป็นสององค์ธรรมสำคัญในพรหมวิหารสี่
จัดเป็นผลอย่างหนึ่งของการศึกษาและปฏิบัติธรรม ในขณะที่คำว่า “ความรัก” นั้นเกิดขึ้นทีหลัง โดยในยุคก่อนหน้านั้นจะใช้คำว่า “กาม” หรือ “ราคะ” ซึ่งจัดเป็นพวกเหตุ คือเหตุแห่งทุกข์นั่นเอง
วันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์เป็นวันที่สมมติขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่นักบุญวาเลนไทน์ในคริสต์ศาสนา เพื่อเป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักอันบริสุทธิ์ต่อมนุษยชาติ
ความรักอันบริสุทธิ์ในความหมายแท้ที่อนุสรณ์ถึงนักบุญวาเลนไทน์และเป็นความหมายแท้ของวันวาเลนไทน์ก็คือความหมายแห่งความเมตตากรุณา ทำนองเดียวกับความเมตตากรุณาในพระพุทธศาสนา
แต่ครั้นเวลาผ่านไป สิ่งที่เรียกว่าวันแห่งความรักก็ผิดเพี้ยนเบี่ยงเบนกลายเป็นวันแห่งความใคร่
และเมื่อล่วงเลยมาถึงยุคสมัยที่ทุนนิยมครอบงำโลก อิทธิพลของทุนก็ได้รณรงค์ส่งเสริมให้วันแห่งความใคร่นี้ค่อยๆ พัฒนาไป กลายเป็นวันแห่งการเสียตัว ที่หนุ่มสาวเตรียมอกเตรียมใจที่จะเสียตัวให้แก่กัน
จนถึงกับบางปีเพื่อปกป้องเยาวชนของชาติ ทางราชการถึงกับต้องจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเฝ้าตามหน้าโรงแรมม่านรูดให้เป็นที่อับอายขายหน้ากันมาแล้ว แต่กระนั้นถึงวันนี้ค่านิยมวันแห่งความรักที่ผิดเพี้ยนกลายเป็นวันเสียตัวก็ยังมีกระแสสูงอยู่ในสังคมของเรา
คนที่เป็นพ่อเป็นแม่และมีความห่วงใยลูกจึงจำต้องนัดหมายพาลูกไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดหรือไปต่างประเทศเสียบ้าง หรือพ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดก็มักที่จะเรียกลูกกลับไปบ้าง อ้างว่าไปทำบุญสุนทานเสียบ้าง เนื้อแท้ก็คือความรักหวงห่วงใยที่ต้องการปกป้องลูกหลานเยาวชนไม่ให้เสียตัว เสียผู้เสียคน ในวัยอันไม่สมควร
ดังนั้นในวันนี้เมื่อความหมายของวันแห่งความรักเบี่ยงเบนไปไกลถึงปานนี้ หากดวงวิญญาณของนักบุญวาเลนไทน์บนสรวงสวรรค์สามารถรับรู้ได้ด้วยญาณวิถีใดย่อมต้องสลดใจในความผิดเพี้ยนที่ไปไกลได้ถึงเพียงนี้
เป็นความผิดเพี้ยนที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ เพราะเมื่อปฏิบัติผิดเพี้ยนไปเช่นนี้แล้วก็ได้กลายเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาสังคม จนกระทั่งหลายครอบครัวต้องย่อยยับอับจนและบ้างก็เสียคนเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร
ดังนั้นชาวโลกจึงพึงฟื้นคืนองค์ธรรมอันเป็นอนุสรณ์แห่งนักบุญวาเลนไทน์ให้กลับคืนสู่ความหมายอันแท้จริง คือเป็นวันแห่งความรักที่บริสุทธิ์ ที่เต็มไปด้วยความเสียสละและเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของผู้อื่น ตลอดจนชาวโลกเป็นส่วนรวม
และในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ศกนี้ ก็เป็นวันตรุษจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามคติความเชื่อของชาวจีน ซึ่งวันนี้ในปีเจี้ยนอันศกปีที่สิบสองก็เป็นวันที่เล่าปี่ทำพิธีเสี่ยงทายตามคัมภีร์อี้จิง และเป็นวันเริ่มต้นของผลสำเร็จในการไปเชิญจูกัดเหลียงขงเบ้ง พญามังกรซุ่มให้เลื้อยลงจากเทือกเขามังกรหลับเพื่อกอบกู้ราชวงศ์ฮั่น
วันที่ 1 ของปีใหม่จีนหรือวันตรุษจีน เป็นวันหลังจากวันไหว้บรรพบุรุษ 1 วัน ซึ่งกระทำในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 3 เพื่อรำลึกและแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการีทั้งปวงที่ล่วงลับแล้ว เป็นวันกระทำกตัญญูกตเวทิตาและเป็นวันชุมนุมลูกหลานสายเลือดในตระกูล
เป็นวันแห่งความสามัคคีที่คนสายเลือดเดียวกันจะกระทำกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อบุพการีทั้งปวง จึงเท่ากับเป็นวันประกาศคุณงามความดีของบุตรหลานทั้งหลาย ดังนั้นจึงเป็นวันประทานพรและของขวัญหรือที่เรียกว่า “แต๊ะเอีย” ที่ผู้เป็นใหญ่จะพึงให้แก่ลูกหลานด้วย
จะเรียกว่าเป็นวันเสียตังค์ก็ได้ แต่เสียตังค์เพื่อความสามัคคีของผู้มีสายเลือดเดียวกัน เพื่อประกาศความดีคือกตัญญูกตเวทิตาธรรมนั่นเอง
แล้วในปีนี้คนไทยสายเลือดไทยจะไม่สามัคคีร่วมกันประกาศคุณงามความดีและความกตัญญูรู้คุณแผ่นดินที่ได้ให้ที่เกิด ที่กิน ที่อยู่ และที่ตายแก่ผองเราดอกหรือ?